Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 876
GGS:บทที่ 876 เกิดใหม่
กลับมายังเมืองจงหยุน ซูจิ้งได้ขนต้นยาสูบแห่งไซร์ที่เป็นต้นกล้าไปไว้บนรถเข็น และนำไปยังสถานีวิจัยขององค์การยาสูบแห่งรัฐสาขาย่อยในเมืองจงหยุน และได้ส่งมอบพวกมันให้คนคนหนึ่ง
ที่นั่นเองในตอนนี้ก็มีเหล่านักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกระทิรออยู่หลายคน ตอนแรกไม่ได้มีเยอะขนาดนี้แต่ด้วยการที่ผู้อำนวยการขององค์การยาสูบกลัวว่าคนจะไม่พอจึงส่งคนจากสาขาอื่นๆมาด้วย
โดยตั้งความหวังไว้ว่าจะสามารถขยายพันธุ์ยาสูบเหล่านี้ให้ได้มากและเร็วที่สุด
ซูจิ้งเองนั้นในเมื่อเขามีส่วนในเรื่องนี้แบบสุดๆเขาเลยช่วยเหลือในการเพาะและขยายพันธุ์ต้นยาสูบพวกนี้ด้วยอย่างไม่ออมแรงไว้เลยสักนิด
ในครั้งนี้ต่อให้เสียหยาดเหงื่อแรงกายมากแค่ไหนเขาก็ยอมเพราะสุดท้ายแล้วยังไงซะตัวเขาเองก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุด
และเขาเชื่ออีกว่าด้วยวิทยาการและความรู้ความเข้าใจในดินของโลกใบนี้จะทำให้การเพาะและขยายพันธุ์ต้นยาสูบใบนี้เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
และสิ่งเขานั้นสามารถเพาะพันธุ์พวกมันได้เร็วเท่าไหร่ ขยายพื้นที่การปลูกได้มากเท่าไหร่ ตัวเขาก็ผลกำไรเร็วขึ้นและมากขึ้นเท่านั้น
เขานั้นได้แต่หวังเพียงว่าทันทีที่ยาสูบแห่งไชร์วางตลาดจะทำให้คนทั้งประเทศนิยมจนสามารถเพาะขยายพันธุ์ยาสูบแห่งไชร์ไปได้ในทุกที่ทั่วประเทศทดแทนผลผลิตยาสูบเดิมๆ
นี่จึงจะคุ้มค่ากับส่วนแบ่งเพียง10%ที่เขานั้นตัดใจได้มา
หลังจากที่ได้รับเงินมาแล้วเขามีแผนว่าจะเอาเงินไปลงกับสถาบันวิจัยของเขาเพื่อที่จะขยายกำลังการผลิตปฏิสสารอีกสักสิบเท่า หรือก็คือต้องผลาญเงินหนึ่งหมื่นแปดพันล้านหยวนเพื่อให้ได้ปฏิสสารเพียง 0.6 กรับต่อเดือน
เขาเองก็ได้แต่นึกขำๆว่าหากพวกคนรวยในจีนรู้ว่าเขาต้องใช้เงินไปเท่านี้ในแต่ละเดือนพวกนั้นจะทำหน้ายังไงกันนะ
อย่างไรก็ตามนอกจากการพัฒนากำลังผลิตปฏิสสารแล้ว ซูจิ้งยังวางแผนที่จะพัฒนาธุรกิจอย่างอื่นของเขาให้ดีขึ้นกว่าเดิมยิ่งๆขึ้นไปในอนาคตด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าเรื่องต่อแต่นี้ขึ้นอยู่กับผลกำไรที่ได้จากอุตาสาหกรรมยาสูบเป็นที่ตั้ง แน่นอนว่าทั้งเงินห้าหมื่นล้านหยวนและหุ้น10%นั่นก็เช่นเดียวกัน นี่ยังไม่รวมถึงเงินที่ได้จากขยะห้วงเวลาฯที่จะเทลงมาในทุกเดือน
หากไม่มีทั้งสามอย่างนี้ล่ะก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะสามารถรองรับค่าใช้จ่ายที่มีมากกว่าหนึ่งหมื่นแปดพันล้านหยวนได้อย่างแน่นอน ซึ่งแน่นอนว่าเขานั้นไม่มีทางยอมให้กำลังการผลิตปฏิสสารตกลงแม้แต่เสี้ยวเดียวเป็นอันขาด
หลังจากหนึ่งวันผ่านไป ซูจิ้งได้โทรศัพท์ออกไปยังเบอร์หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ซูฉือ เธอกลับบ้านมาพร้อมกับไป๋ฮิตูได้แล้วล่ะ”
ซูฉือนิ่งอึ้งพักใหญ่ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ตอนนี้ตระกูลจ้าวยังควานหาตัวอยู่นะ ไม่มีทางที่ฉันจะกลับไปรนหาที่ตายถึงบ้านแน่นอน”
“ไม่เป็นไรน่า ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนแล้ว พวกนั้นสมควรไม่กล้าทำอะไรเธอแล้วล่ะ หลังจากกลับมาแล้วฉันจะเป็นคนเดินเรื่องฟื้นคืนสถานะของเธอให้เอง หรือเธอติดใจที่นู่นจนไม่อยากจะกลับแล้วกัน”
“อยากสิ ฉันรู้สึกอ้างว้างมากๆเลยเวลาฉันต้องอยู่ที่นี่ แต่นายแน่ๆใจจริงๆนะว่าตระกูลจ้าวจะไม่ทำอะไรถ้าฉันกลับไปบ้านแล้ว”
ซูฉือยังคงกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าเธอจะรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างมากมายขนาดไหน แต่เธอก็ยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ดีกว่าจะให้ตระกูลจ้าวตามล้างแค้นซึ่งแน่นอนว่าไม่จบอยู่ที่เธออย่างแน่นอน
“อืมมม นั่นเมื่อเธอว่ามาอย่างนั้น เอาเป็นว่าเดี๋ยวพอกลับมาแล้วเราไปหาพี่ใหญ่หยางและพี่สาวหวันเอ๋อเป็นพวกแรกเลยแล้วกัน”
ซูฉือนั้นเธอเชื่อใจซูจิ้งอย่างหมดใจอยู่แล้วเพราะซูจิ้งนั้นเป็นคนที่ช่วยเหลือเธอในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเรื่องให้เธอแกล้งตายได้สำเร็จ ไหนจะเรื่องการพาเธอออกนอกประเทศนี่อีก
นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่เมื่อเขารู้ว่าตระกูลจ้าวเจอร่องรอยของเธอ เขายังรีบส่งคนมาคุ้มกันเธออีก เธอในตอนนี้นั้นเชื่อในตัวซูจิ้งเพียงคนเดียวเท่านั้น และไม่มีทางที่จะเชื่อใจคนอื่นมากกว่าซูจิ้งอย่างแน่นอน
ซูฉือและไป๋ฮิตูกลับมายังเมืองจีนโดยไม่หลบซ่อนแต่อย่างใด รวมถึงยังฟื้นคืนสถานะให้ซูฉือเป็นที่เรียบร้อย ข่าวของเธอที่ว่าตายแล้วฟิ้นก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วอินเตอร์เน็ตเช่นเดียวกัน
“พี่หยาง พี่เห็นข่าวรึยัง” เถาหวันพี่งเข้ามาในสำนักงานด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ
“เรื่องอะไรกันล่ะนั่น” หยางเซียวถามออกมา
“เธอยังไม่ตาย เธอยังคงมีชีวิตอยู่” เถาหวันพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“พูดอะไรไร้สาระ รูปของเธอหลุดออกมาอีกแล้วรึไงกัน” หยางเซียวพูดออกมาด้วยท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดปนหดหู่ ซูฉือนั้นเป็นคนที่อยู่ในการปกครองของเขาแต่เขากลับปกป้องเธอเอาไว้ไม่ได้
เขาเองก็ไม่อยากรื้อฟื้นความจริงอันหดหู่ที่ฝังใจเขาอย่างนี้เช่นเดียวกันและเขาเองก็หวังให้ซูฉือนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ตามข่าวลือก่อนหน้าที่เขาได้มาเช่นเดียวกัน
แต่ตอนนั้นเขาได้รีบพาเธอไปโรงพยาบาลเพราะว่าเธอกินยาฆ่าตัวตาย
แม้แต่หมอเองก็ยังวินิจฉัยว่าเธอตายแล้ว เธอไม่มีทั้งลมหายใจ สัญญาณเต้นของหัวใจ และแม้แต่ชีพจรเลยสักนิดเมื่อพาเธอไปถึง ไม่มีทางที่คนที่ตายไปล้วว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างแน่นอน
ตอนแรกที่มีข่าวการมีชีวิตอยู่ของเธอในต่างประเทศนั้น รวมถึงรูปถ่ายของเธอนั้นด้วย เขาเองก็ได้เห็นแต่ก็ไม่เชื่อเรื่องนี้ เขาคิดว่าน่าจะเป็นรูปถ่ายตอนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็คนที่หน้าเหมือนมากๆเท่านั้นเอง
อีกอย่างไอ้พวกชาวเน็ตพวกนั้นมันไม่เคยยับยั้งช่างใจอยู่แล้ว แน่นอนว่ารูปคนตายพวกนั้นก็ไม่เคยจะเว้น
“มันเป็นเรื่องจริงนะ ถึงแม้ว่าฉันเองตอนแรกก็ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ฉือน้อยได้กลับไปบ้านและฟื้นคืนสถานะจากคนที่ตายเป็นมีชีวิตอยู่เรียบร้อยแล้วด้วย” พูดจบ เถาหวันก็หยิบโทรศัพท์ที่กำลังเปิดข่าวๆหนึ่งออกมา
มันเป็นภาพของซูฉือที่ปรากฎตัวอยู่ที่ที่ว่าการของเมืองเพื่อเดินรื้อฟิ้นสถานะจากคนที่ตายไปแล้วท่ามกลางนักข่าวที่ติดตามอย่างใกล้ชิด
“ปะ..ปะ..เป็นไปได้ยังไง” ลูกพี่หยางนั่งนิ่งพูดออกมาด้วยสายตาที่ตกตะลึงจนเบิกกว้าง ในฐานะหัวหน้าหน่วยเคลื่อนที่พิเศษ คนอย่างเขาลูกพี่หยางได้เห็นเรื่องเหลือเชื่อมามากมายด้วยสายตาตัวเอง
แต่กับเรื่องนี้เท่านั้นที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน เขาเองรู้สึกตื่นเต้นปนดีใจจนแทบอยากจะจัดงานเลี้ยงฉลองซะตอนนี้เลยจริงๆ เขาพยายามสงบสติอารมณ์แต่ก็ยังอดยิ้มออกมาไม่ได้ก่อนที่จะพูดว่า “ไปหาเธอกัน”
เถาหวันและหยางเซียวได้รีบออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้านของซูฉือในทันที
ระหว่างทางพวกเขาผ่านผู้คนมากมายที่คอยถามทั้งสองคน
“หัวหน้า เธอยังไม่ตายจริงๆเหรอ”
“ฉันไม่อยากเชื่อเลย มันคงดีมากๆหากเธอยังไม่ตาย”
“หากว่าเป็นซูฉือ ไม่ดีกว่าเหรอถ้าเธอจะซ่อนตัวอยู่นอกประเทศน่ะ ทำไมเธอถึงกลับมาล่ะ ที่นี่ยังอันตรายอยู่นะ”
“ในช่วงนี้พวกเรายังมั่นใจสถานการณ์ไม่ได้หรอก พวกเราควรที่จะจับตามองตระกูลจ้าวไว้ว่พวกมันมีความเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า ถ้านี่เป็นซูฉือจริงๆล่ะก็ ไม่มีทางที่ครั้งนี้เราจะปล่อยให้พวกมันทำร้ายเธอได้อีก”
หยางเซียวได้พูดออกมาเพียงเท่านั้นแต่ทุกคนกลับเคลื่อนไหวในทันที นั่นก็เพราะนั้นสำหรับพวกเขาแล้วซูฉือคือพวกพ้องคนสำคัญ
ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มคนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหาทุกคนและพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นสุดๆว่า “ฉือน้อยกลับมาแล้ว ฉือน้อยกลับมาแล้ว ฉือน้อยกลับมาแล้ว”
“พวกเรารู้แล้วว่าฉือน้อยจากในข่าวแล้ว แต่เรายังแน่ใจไม่ได้ว่าเป็นเธอจริงๆน่ะ” คนๆหนึ่งได้พูดออกมาด้วยท่าทางกึ่งดีใจกึ่งไม่แน่ใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมหมายถึงว่าฉือน้อยมาอยู่ที่หน้าประตูแล้วต่างหาก” ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ประตู” หยางเซียว เถาหวัน และคนอื่นๆต่างก็หนังตากระตุกในทันทีและรีบวิ่งไปที่ประตูกันหมดทุกคน
หลังจากพวกเขาได้เห็นสาวน้อยคนหนึ่งที่หน้าประตู พวกเขามั่นใจได้ในทันทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาคือซูฉือจริงๆ ทันทีที่เห็นซูฉือ หยางเซียวและเถาหวันนั้นดวงตาทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานในทันที
“เด็กน้อย เป็นเธอจริงๆเหรอ” หยางเซียวเองที่กำลังตะลึงก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำตาที่เริ่มจะไหลด้วยความดีใจ
“แหงสิ ถ้าไม่ใช่ฉือน้อยของเราแล้วจะเป็นใครอีกล่ะ” เถาหวันที่มองไปยังซูฉือก็ได้ร้องไห้ออกมาไม่ต่างกัน
“พี่หยาง พี่หวัน นี่ฉือน้อยจริงๆค่ะ” ซูฉือเองก็ร้องไห้ออกมาไม่ต่างกัน เธอเองก็รู้สึกยินดีอย่างมากที่ได้กลับมายังที่ๆเธอเรียกได้ว่าบ้านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องลาจากไปไกลและเนิ่นนานหลังจากภารกิจในครั้งนั้น
“เป็นฉือน้อยจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า..” หยางเซียวนั้นนั่งลงอย่างหมดแรงด้วยความดีใจและพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่สาวน้อย ทำไมเธอตายแล้วถึงกลับมามีชีวิตอยู่ได้อีกครั้งกัน ยิ่งไปกว่านั้นการที่เธอกลับมาแบบนี้จะไม่เป็นอะไรหรอกรึ นี่สมควรจะเป็นอันตรายแบบสุดๆถ้าไอ้พวกเวรตะไลตระกูลจ้าวนั่นรู้เข้าน่ะ”
เถาหวันในตอนนี้แสดงความโกรธต่อตระกูลจ้าวออกมาอย่างสุดใจและกังวลสุดเช่นเดียวกัน
“เรื่องที่ฉันตายแล้วฟื้นได้ยังไงนั้นเดี๋ยวขอฉันเล่าให้ฟังทีหลังก็แล้วกัน ส่วนเรื่องไอ้พวกสารเลวตระกูลจ้าวนั้นไม่ต้องกังวลหรอก พวกมันไม่กล้าทำอะไรฉันอีกแล้วล่ะ” ซูฉือพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ทำหน้างุนงงกันไปหมด พวกตระกูลจ้าวไปวางใจขนาดนั้นได้ยังไงกัน พวกนั้นอีกไม่นานก็น่าจะรู้เรื่องนี้แล้ว ทำไมซูฉือถึงมั่นใจตัวเธอเองได้ขนาดนั้นกัน นี่เธอไม่กลัวตระกูลจ้าวแล้วอย่างนั้นรึ
ต่อให้ตระกูลจ้าวจะไม่ได้เห็นกับแต่ไม่มีทางที่พวกนั้นจะปล่อยเธอไปได้อย่างแน่นอนเพราะยังไงซะเธอเองก็มีส่วนในการตายของจ้าวซือหลง