Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 875
GGS:บทที่ 875 มาจากไหนกัน
หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมรัฐสภาและผลการประชุมได้เผยแพร่ออกมานั้น ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ถูกส่งต่อและแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วชนิดที่ไม่มีใครที่ไหนในเมืองหลวงไม่รู้เรื่องนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าชนชั้นสูงที่ก่อนหน้านี้ต่างจับจ้องมายังเมล็ดพันธุ์ยาสูบของซูจิ้งนั้นต่างก็ตกตะลึงไปตามๆกัน ก็เป็นเรื่องที่ซูจิ้งนี้มีไพ่ใบใหญ่อย่างพันธุ์ยาสูบที่ไม่เพียงมีกลิ่นหอมและรสชาติดีแล้ว
ยาสูบของซูจิ้งยังไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพแม้แต่น้อย กลับกันใบยาสูบของเขานั้นยังช่วยฟื้นฟูความเหนื่อยล้าของร่างกายและจิตใจได้ดียิ่ง
ต่อให้ราคาเพิ่มเป็นสองเท่ายังไงซะก็ต้องมีคนต้องการมากเทียบฟ้าอยู่ดี นี่คือเหตุผลที่ทำไมพวกเขานั้นถึงตั้งจัดประชุมรัฐสภากันทันทีเมื่อได้ทราบข่าว
อย่างไรก็ตาม การมอบค่าตอบแทนในการส่งมอบเมล็ดพันธุ์ยาสอบให้กับรัฐด้วยเงินกว่าห้าหมื่นล้านหยวนและหุ้นในกระบวนการยาสูบ10%นี้ถือได้ว่าไม่ใช่เรื่องปกติแม้แต่น้อย มันไม่เหมือนกับนิทานสุภาษิตอย่างเรื่องสิงโตปากใหญ่ หรืออย่างเรื่องงูกลืนช้าง ที่เมื่อได้อะไรมาก็ต้องเสียอะไรไป แต่กับกรณีของซูจิ้งนั้นเขานั้นกลับได้อยู่ฝ่ายเดียว
“เป็นไปได้ยังไงกัน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ด้วยอย่างนั้นเหรอ” จ้าวฮ่าวนั้นตะโกนออกมาด้วยโง่งม ตกตะลึง และไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“นี่หมายความว่าแผนการที่เราเตรียมกันไว้ก่อนหน้านี้นั้นไร้ค่าไปเลยสินะ ทั้งเรื่องเจียงถิงหยวนยอมเป็นม้าส่งข่าว ทั้งเรื่องที่รัฐสภาชวนเขาเข้าไปประชุมหารือ แค่สองเรื่องนี้ฉันก็ประหลาดใจเกินพอแล้ว แต่กับเรื่องนี้นี่มันช่าง….” จ้าวซือเฟิงพูดออกมา
เขานั้นพยายามคิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไงกันแน่ แต่พอคิดได้แล้วเขานั้นถึงกับหน้าซีดในทันที
พวกเขานั้นไม่ใช่คนโง่เลอะเลือนแต่อย่างใด พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าหากพวกเขาได้เมล็ดพันธุ์ยาสูบสุดวิเศษนี้ไปนั้นพวกเขาย่อมไม่ทางได้อะไรกลับมามากมายมหาศาลเหมือนซูจิ้งได้อย่างแน่นอน
อย่างมากเมื่อพวกเขาส่งลาภก้อนโตแบบนี้ไปให้ก็คงได้มาเพียงเศษเงินเล็กๆน้อยกลับคืนมา
หากพวกเขามุ่งหวังไปว่าจะได้ส่วนแบ่งในระดับหุ่นส่วนล่ะก็ ไม่เพียงจะไม่ได้อะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ชีวิตก็อาจจะไม่รอดกลับมา
ต่อให้ซูจิ้งนั้นมีตระกูลหวังหนุนหลังอยู่ เขาเองก็ไม่ควรจะได้มากกว่าคนทั่วไปซักเท่าไหร่นัก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะเกิดขึ้นได้นั้นเหลือความเป็นไปได้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
นั่นก็คือซูจิ้งในตอนนี้นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่รัฐจะทำอะไรได้ และยินดีที่จะทำตามโดยไม่อาจจะขัดอะไรเขาได้อีกต่อไป
หากเป็นเพราะเรื่องนี้จริงๆล่ะก็ การที่เจียงถิงหยวนถูกใช้เป็นม้าส่งข่าว และการที่รัฐสภาให้ซูจิ้งเข้าร่วมประชุมหารือเรื่องเมล็ดพันธุ์ใบยาสูบนี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว
หากเป็นแบบนี้ล่ะก็การที่ตระกูลของเขานั้นอยากจะหาเรื่องซูจิ้งเพียงเพราะต้องการเมล็ดพันธุ์ยาสูบนี้จริงก็ไม่ต่างจากรนหาที่แน่นอนแล้ว
“พ่อ ผมเกรงว่าเราต้องคิดเรื่องข้อความของซูจิ้งกันใหม่แล้วล่ะ” จ้าวซือเฟิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเชิงขอร้อง
“พวกเราไม่เพียงจะต้องคิดเรื่องข้อความของใหม่เพียงอย่างเดียว แต่พวกเรานั้นต้องเชื่อคำพูดของมันทุกประการด้วยซ้ำ
ไม่แปลกใจเลยที่มันจะไม่แยแสพวกเราเลยแม้แต่น้อย คำขู่ของมันไม่ใช่เรื่องผยองเลยสักนิด มันแข็งแกร่งพอที่จะล้างตระกูลเราได้จริงๆ” จ้าวฮ่าวพูดออกมาพลางถอนหายใจแบบหมดอาลัยตายอยาก
“แล้วเรื่องแม่…” จ้าวซือเฟิงถามออกมาอย่างพูดไม่เข้าคายไม่ออก
“เรื่องนั้นเดี๋ยวพ่อจัดการเอง แม่แกเกือบจะสร้างหายนะให้ตระกูลเราจนได้ ครั้งนี้หากแม่ของแกไม่ยอมฟังอีกล่ะก็ ฉันเกรงว่าถึงคราวที่ตระกูลจ้าวของเราต้องสิ้นชื่อแล้ว” จ้าวฮ่าวพูดออกมา
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเรื่องมันถึงออกมาเป็นแบบนี้ได้กัน” ณ ตระกูลซุน ชายแก่ที่หัวหงอกไปครึ่งหัวได้ตะโกนออกมาอย่างดังลั่น
ซุนหยูเฮงและบุคคลสำคัญในตระกูลเองที่ได้ยินข่าวของซูจิ้งนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก พวกเขานั้นไม่เพียงแต่ตกตะลึงผลที่ออกมา พวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบกลับไปได้ยังไง
สำหรับพวกเขาแล้วเรื่องนี้ยากเกินกว่าที่จะยอมรับได้จริงๆ ตอนแรกตามแผนการเดิมของพวกเขานั้นวางแผนไว้ว่าไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการไหนก็ต้องขุดเอาเมล็ดพันธุ์ใบยาสูบจากซูจิ้งให้ได้
แต่ตอนนี้ไม่เพียงซูจิ้งจะได้ค่าเมล็ดพันธุ์จำนวนห้าหมื่นล้านหยวนแล้ว ภาครัฐยังเสนอมอบหุ้น10%จากอุตสาหกรรมใบยาสูบอีก
นี่เท่ากับว่าแผนการที่พวกเขาวางเอาไว้อย่างดีนั้นถูกล้มพับหายไปในพริบตา
“ผมทึ่งจริงๆว่าทำไมรัฐบาลถึงได้ยอมรับข้อเสนอของซูจิ้งได้” ซุนหยูเฮงบ่นออกมาราวกับหมีกินผึ้ง
“ไอ้เด็กนี่แข็งแกร่งมากขนาดนี้เลยรึเนี่ย” ชายแก่ผมขาวครึ่งหัวพูดออกมาพลางขมวดคิ้ว
ความจริงนั้นในใจของพวกเขานั้นตอนที่ได้ยินข้อเสนอของซูจิ้งในตอนงานเลี้ยงต่างก็ตีค่าเขาไว้ว่าเป็นเพียงคนธรรมดาที่อยากจะขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึง
นั่นก็เพราะว่าหากไม่มีเรื่องยาสูบสายพันธ์สุดวิเศษนี้ ไม่มีทางที่เขานั้นจะมองเห็นเส้นทางขึ้นชั้นฟ้าได้อย่างแน่นอน
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนทุกเหล่าทุกฝ่ายต่างก็คิดว่าข้อเสนอของซูจิ้งนั้นก็แค่เรื่องเพ้อเจ้อเท่านั้น
แต่จากการสืบสวนเชิงลึกของพวกเขานั้นพบว่า ซูจิ้งเป็นเพียงเด็กบ้านนอกธรรมดาที่ได้มีโอกาสพบเจอตระกูลหวังและกลายเป็นคุณชายสี่แห่งตระกูลหวัง เรื่องราวที่เปรียบได้ดั่งนิยายแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ยังไงกัน ไม่มีทาง
“ซูจิ้งมีความสามรถถึงขนาดนี้เลยหรือเนี่ย น่าแปลกใจจริงๆ” เฉียนไจ่ไล สมาชิคคนหนึ่งของตระกูลเฉียนนั้นรู้สึกตกใจจนเผลอพูดออกมาลอยๆ
“ช่างเป็นผลลัพธ์ที่เกินคาดคิดนัก ฉันคิดว่าต่อแต่นี้คงไม่มีใครหยุดเขาไว้ได้อีกแล้ว” เฉียนไจ่บิ๋งเองก็ได้พูดออกมาทั้งที่ยังงงๆอยู่
“น่าจะเป็นพวกเราเองที่ดูถูกความสามารถของหนุ่มน้อยคนนี้มากเกินไป” ผู้อาวุโสเฉียนได้พูดออกมา
เฉียนหยินหนิงที่ตอนนี้กำลังเปิดปากอ้ากว้างเพราะความตกตะลึง เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเพียงแค่ย้อนกลับไปตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย
ตอนนั้น เธอเองก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา และในชั้นเรียนนั้นเขาก็เป็นแค่นักเรียนธรรมดาที่ได้มาอยู่ห้องเดียวกันก็เท่านั้นเอง
ส่วนเรื่องความสามารถนั้น เขานั้นสมควรที่จะคอยเกาะแข้งเกาะขาตระกูลหวังอยู่ไม่ใช่เหรอ แต่ถ้าเป็นสถานการณ์ตอนนี้นี่มันหมายความว่าตระกูลหวังนั้นเป็นฝ่ายคอยเกาะแข้งเกาะขาซูจิ้งอยู่เลยนะ สรุปความจริงเป็นแบบนี้งั้นหรือเนี่ย
ซูจิ้ง หวังจ้าว และหวังซือหยา ได้เดินทางกลับไปยังเมืองหลวง ที่นั่นมีหวังซวนจี้ หวังจุ่น หวังเจิ้ง หวังหลี่ หวังยี่ และคนอื่นๆที่รอการกลับมาของสัตว์ประหลาดแห่งยุคสมัยนี้
ก่อนหน้านี้ทุกคนในตระกูลต่างก็เชื่อกันว่าการคงอยู่ของซูจิ้งต่อตระกูลหวังนั้นเป็นเพียงการหาประโยชน์ของซูจิ้งเพียงฝ่ายเดียว สิ่งเรื่องนี้เป็นที่เข้าใจกันทั่วของคนเกือบทั้งตระกูล
แต่ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ตัวแล้วว่าการคงอยู่ของซูจิ้งในตระกูลหวังนั้นเปรียบได้ดั่งกับว่าพวกเขานั้นมีขุนเขาคอยหนุนตระกูลหวังเอาไว้
ตระการหวังในตอนนี้กลายเป็นตระกูลที่ทรงพลังแม้แต่ในเมืองหลวงตอนนี้พวกเขาคือตระกูลใหญ่ที่สุด ถ้าจะพูดให้ถูกจริงก็คือทั้งประเทศในตอนนี้ตระกูลหวังคือที่สุด
พวกเขาในตอนนี้เป็นที่นับหน้าถือตาของตระกูลใหญ่ที่เคยดูแคลนพวกเขามาโดยตลอด แม้แต่ประชาชนทั่วไปก็ยังรู้จักและชื่นชมในตระกูลหวัง
แต่เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้วตระกูลหวังเองก็ยังถือว่าห่างไกลนัก นั่นก็เพราะว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เพียงรวมตัวกันก็สามารถทำได้ แม้แต่หวังซวนจี้เองก็ไม่เคยขึ้นมาถึงระดับนี้ได้มาก่อน
พวกเขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าซูจิ้งนั้นมีความแข็งแกร่งมากมายขนาดนี้ กว่าจะรู้อีกทีก็ห่างไกลพวกเขามากแล้ว
“อาจิ้งจำตอนที่นายบอกว่นายนั้นเป็นใคร มาถึงตอนนี้หลังจากเห็นสถานการณ์แล้ว ฉันก็ยังสงสัยจนต้องถามนายอีกครั้งหนึ่งว่านายน่ะเป็นใครกันแน่”
หวังซวนจี้ได้จ้องมองไปยังซูจิ้งที่อยู่ตรงหน้า และพยายามอ่านเขาให้ออก
“คุณลุงครับ คุณลุงนั้นได้ปกป้องผมจริงๆ เรื่องนี้ลุงเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ผมเองนั้นเป็นเพียงแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เชื่อนายก็แปลกล่ะ” หวังซือหยาพูดออกมาในขณะที่จ้องมองไปยังซูจิ้ง เธอนั้นเชื่อใจซูจิ้งแบบสุดๆ แต่เธอเองก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องต่างๆที่ซูจิ้งเล่ามาสักเท่าไหร่
ต่อให้เธอนั้นไม่ใช่พวกที่เข้าสังคมมากสักเท่าไหร่นัก แต่เธอเองก็เป็นคนในเมืองหลวง และยังเป็นหนึ่งในอัจฉริยะของตระกูลหวัง
เธอนั้นรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นก่อหน้านี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่ง มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่เธอมั่นใจได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของซูจิ้ง
“น่าน่า ยังไงซะฉันก็ยังเป็นซูจิ้งอยู่ดีแหล่ะน่า ฉันจะมีความสุขและจะยิ่งดียิ่งหากว่าตระกูลหวังนั้นยังยอมเรียกฉันว่าเป็นคุณชายสี่เหมือนเดิมนะ”
ซูจิ้งเองพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขานั้นรู้สึกอึกอัดหรือยังไงก็ไม่ทราบได้ เขาก็เลยหาวิธีเปลี่ยนเรื่องคุย
“ฮ่าฮ่า แหงสิ นายน่ะเป็นที่ต้อนรับของตระกุลเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแน่นอนอยู่แล้ว” หวังซวนจี้ได้หลุดขำออกมาและไม่ถามอะไรอีกต่อไป
แม้แต่หวังจุ่น หวังเจิ้ง หวังจ้าว และหวังซือหยาเองต่างก็รับรู้ได้ในทันทีว่าพวกเขาต้องทำตัวยังไงและไม่ซักไซ้อะไรให้มากความอีก
แต่กับหวังหลี่และหวังยี่นั้นต่างออกไป ทั้งสองยังคงถามคำถามต่อไป แต่ด้วยการที่ทั้งสองยังเป็นเด็ก แน่นอนว่าต้องช่างสงสัยเป็นธรรมดานั่นคือเรื่องที่ดี และซูจิ้งเองก็ตั้งใจตอบทุกคำถามเท่าที่เขาจะสะดวกตอบได้
ซูจิ้งได้นอนค้างอยู่ที่ตระกูลหวังอีกคืนหนึ่ง ก่อนที่วันถัดมาเขา หวังซือหยา และหวังจ้าวจะบินกลับไปยังเมืองจงหยุน
ดูเหมือนว่าเพียงการไปเมืองหลวงของเขาในครั้งนี้จะทำให้คนในเมืองหลวงจะต้องจดจำเขาไว้ไปอีกนานแสนนาน
ทั้งเรื่องการปฏิรูปอุตสาหกรรมใบยาสูบที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะออกมาในทางนี้ไปได้ เอาจริงๆตัวเขาในตอนนี้น่าจะทำให้ทั้งประเทศตกตะลึงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว