Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 815
GGS:บทที่ 815 ไม่ใช่ศัตรู ก็ใช่ว่าจะอยู่ร่วมกันได้
“คุณซู แล้วมะละกออีกพันธุ์ที่ว่านั่นล่ะ” เตียนจงยี่อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“โปรดดูนี่” ซูจิ้งพูดพร้อมนำมะละกอเกล็ดงูออกมาจากถุงและวางไว้บนโต๊ะ
เตียนจงยี่ได้หยิบมะละกอขึ้นมาดูเพื่อตรวจสอบ เขาพบว่ามะละกอนี้มีลักษณะรูปทรงเหมือนมะละกอทั่วไป แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่เหมือนเช่นกัน
ทำให้เขาประหลาดใจจนต้องถามออกมาว่า “มะละกอพันธุ์นี้ช่างประหลาดจริงๆ ผมเองก็ไม่เคยเห็นมะละกอแบบนี้มาก่อน มะละกอนี้อร่อยงั้นหรอ”
“อร่อยโคตร อ่ะแฮ่ม เอ่อ… มันอร่อยก็จริงแต่ว่ามะละกอนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับการกินหรอกครับ
ผมจะบอกตรงๆกับคุณก็แล้วกันว่ามะละกอนี้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผงเสริมทรวงอก
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงบอกว่ามะละกอนี้ไม่ได้มีไว้ขาย สำหรับมะละกอนี้ผมจะให้ราคาที่สูงกว่าราคาท้องตลาดอย่างแน่นอน
อ้อเกือบลืมไปเลย ผมจะบอกว่าเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดของพืชทั้งสามชนิดนี้ผมถือครองไว้แต่เพียงผู้เดียว
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงกล้าบอกออกมาว่าเราจะกลายเป็นเจ้าตลาดการค้าแต่เพียงผู้เดียว” ซูจิ้งพูดออกมา
เตียนจงยี่เองแสดงท่าทางตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
พืชทั้งสามชนิดประกอบด้วย กุหลาบสีน้ำเงิน มะละกอหวาน และมะละกอเกล็ดงู
ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาร่วมมือสามารถที่จะมานั่งสักการะหน้าองค์อจละนี้ทุกวันวันละชั่วโมงข้อเสนอนี้ยากที่จะทำให้เขาปฏิเสธได้
หลังจากที่เขาครุ่นคิดนิดหน่อยเขาก็เอ่ยปากออกมาว่า “คุณซู ผมขอบอกความจริงกับคุณเลยก็แล้วกันนะว่าตอนนี้ผมเองก็มีปัญหาด้านธุรกิจพอสมควรจนทำให้ผมต้องมาที่วัดหลานเล่อนี่เกือบทุกวัน
ถึงแม้องค์พระอจละนี้จะช่วยให้ผมมีความกล้าพอในการที่จะเผชิญปัญหานี้ได้ก็ตาม
แต่ปัญหาของผมนั้นไม่ใช่แค่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้าก็สามารถแก้ปัญหาลงได้”
“ปัญหาของคุณเตียนที่ว่าก็คือซุนหยูเฮงใช่รึเปล่าครับ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ครับ ดูเหมือนคุณซูเองก็เตรียมตัวมาระดับหนึ่งแล้วสินะครับเนี่ย” เตียนจงยี่พยักหน้ารับ
ก่อนที่ซูจิ้งจะมาที่นี่ เขานั้นได้สืบประวัติของเตียนจงยี่มาเรียบร้อยชนิดที่ว่าหมดแม้แต่เปลือกเลยทีเดียว
เขานั้นได้ให้คนไปสืบประวัติเพื่อหาว่ามีบริษัทไหนบ้างที่มีความสามารถด้านธุรกิจการเกษตรแบบครบวงจรดูแล้วเขาก็พบกับบริษัทของเตียนจงยี่ที่มีความสามารถไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร
ถึงแม้ว่าช่วงนี้ผลประกอบการไม่สู้ดีนักแต่หลักๆแล้วนั่นเป็นเพราะคู่แข่งของเขานั้นซุนหยูเฮง นี่ทำให้ซูจิ้งประหลาดใจไม่น้อยเลย
หลายปีก่อนนั้นเตียนจงยี่ถือได้ว่าเป็นเจ้าตลอดภายในจังหวัดของเขา
แต่เมื่อปีที่แล้วซุนหยูเฮงได้ขยายกำลังการผลิตจนเข้ามาตั้งอยู่ภายในจังหวัด และกลายเป็นคู่แข่งของเขาในเวลาต่อมา
ตอนแรกนั้นก็เหมือนกับว่าเป็นการแข่งขันกันธรรมดา ด้วยการที่เขานั้นเป็นเจ้าบ้านทำให้ได้เปรียบพอสมควรโดยเขาเป็นเจ้าตลาดมาตลอดจนในที่สุดซุนหยูเฮงเริ่มโกรธจัดจนเริ่มเล่นตุกติกขึ้นมา
ในจังหวัดแห่งนี้เขานั้นถือได้ว่าเป็นเจ้าในทุกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรโดยไม่มีใครเทียบเคียงได้ และนั่นก็ถือได้ว่าเป็นข้อได้เปรียบเดียวของเขา
สำหรับเรื่องอื่นอย่าง อำนาจ ภูมิหลัง หรือแม้แต่เงินทอง เขานั้นเทียบเคียงซุนหยูเฮงไม่ได้เลย
ซุนหยูเฮงนั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตระกูลซุน ตระกูลอันน้อยนิดที่มีฐานอำนาจอยู่ที่เมืองหลวงได้
นั่นหมายความว่านอกจะมีอำนาจในมือแล้ว เขายังมีเส้นสายในหน่วยงานภาครัฐอย่างแน่นอน
แค่สองอย่างนี้เตียนจงยี่ก็ไม่มีทางสู้ได้แม้แต่น้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลใหญ่แล้วความสามารถของเขาไม่ได้มีค่าเทียบได้กับเส้นสายเลยแม้แต่ปลายก้อย ทำให้เขานั้นต้องถอยล่นมาเรื่อยๆเรื่อยๆ
ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าซุนหยูเฮงจะไม่แค่ต้องการบีบตลาดของเขาให้แคบลงแต่เหมือนเขานั้นต้องการทุกอย่างให้อยู่ในการครอบครองของเขา ไม่ว่าจะเป็นที่ดินแม้แต่บริษัทที่เขานั้นบ่มเพาะฝูมฝักสร้างมาทั้งชีวิตให้ได้
เหตุนี้เองที่ทำให้เขานั้นต้องจิตตกจนต้องมาสักการะอยู่หน้าองค์อจละอยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส
“ในเมื่อคุณซูด้วยสืบประวัติมาหมดแล้วละก็ คุณก็ควรจะรู้ว่าตอนนี้ด้วยสภาพของผมเองก็คงจะยากที่จะรักษาระดับในตลาดได้
ผมกลัวว่าจะไม่มีความสามารถพอที่จะเปลี่ยนผลผลิตทั้งหมดในตอนนี้เพื่อรองรับความต้องการของคุณได้
เฮ้อออ…หากเป็นปีก่อนล่ะก็ผมจะไม่ยึกยักแบบนี้หรอกครับ ผมพร้อมที่จะทำตามที่คุณซูว่าอย่างแน่นอน
แต่อย่างที่ว่าด้วยสถานการณ์ของผมในตอนนี้ผมกลัวจะทำให้ผลผลิตของคุณเสียหายเสียมากกว่า” เตียนจงยี่พูดออกมาอย่างหมดเปลือกด้วยท่าทีเศร้าสร้อย
“คุณเตียน ผมขอพูดตรงๆเลยนะว่า คุณสามารถช่างหัวไอ้บ้าตระกูลซุนไปได้เลย
นั่นก็เพราะว่าตระกูลที่ผมสังกัดอยู่นั้นเป็นตระกูลที่มาจากเมืองหลวงเช่นเดียวกัน และอำนาจของตระกูลนั้นบอกได้เลยว่าตระกูลซุนไม่มีทางหาเรื่องได้
หากคุณทำงานร่วมกับผมก็ถือว่าคุณทำงานร่วมกับตระกูลหวังด้วยเช่นกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถ้าหากยึดถือคำพูดของคุณได้ล่ะก็ นั่นถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ” ตาของเตียนจงยี่เป็นประกายมากที่สุดในชีวิตเมื่อเขาได้ยินคำพูดของซูจิ้ง
เขารู้ดีว่าสายสัมพันธ์ของซูจิ้งกับตระกูลหวังนั้นแน่นแฟ้นขนาดไหน
หากเขามีตระกูลหวังคอยหนุนหลังเขาก็ไม่ต้องกลัวซุนหยูเฮงอีกต่อไป เขารีบถามออกมาว่า “แล้วเราจะร่วมมีกันยังไงครับ”
“คุณเตียนผมของพูดตามตรงเลยว่าก่อนที่ผมมาที่นี่ผมนั้นได้วางแนวทางการร่วมมือไว้แล้วเหมือนกัน
แต่ดูเหมือนความคิดของผมเองก็ไม่ค่อยสันทัดเรื่องนี้ซักเท่าไหร่นักทำให้เสียเวลาพอสมควร
ในที่สุดผมก็คิดมาได้วิธีหนึ่ง ไม่รู้ว่าคุณจะเห็นด้วยรึเปล่า เราจะเริ่มจากผมจะลงทุนให้คุณ 300 ล้านหยวนพร้อมทั้งเมล็ดพันธุ์ทั้งของพืชทั้งสามชนิด และนั่นจะทำให้ผมเป็นหุ้นส่วนของคุณ
โดยคุณแบ่งส่วนแบ่งรายได้ให้ผม 70 % คุณคิดว่ายังไงครับ” ซูจิ้งพูดด้วยท่าทีตรงไปตรงมา
“นี่มัน…”เตียนจงยี่ถึงกับขมวดคิ้วในทันที เขาเองก็ไม่คิดว่าซูจิ้งจะกล้าขอส่วนแบ่งมากมายขนาดนี้
แต่เมื่อเขาคิดดีๆแล้วเขาก็รู้สึกได้ว่าเขานั้นไม่ใช่คนละโมบแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะอย่างแรกซูจิ้งพร้อมที่จะนำตัวเข้ามาร่วมวงในปัญหาของเขาอย่างเต็มใจ โดยยอมอาศัยเส้นสายของตระกูลช่วยคนนอกอย่างเขา
อย่างที่สอง เงินทุน 300 ล้านหยวนไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆเลย อย่างน้อยเขาเองก็หาไม่ได้ในหนึ่งปีแน่นอน
อย่างที่สาม ด้วยการที่พืชทั้งสามชนิดไม่มีคู่แข่งแต่ประการใด และจากการที่เขาสัมผัสมาแล้วนั้นบอกได้เลยว่าผลกำไรที่ได้รับนั้นเทียบกับพืชทั่วไปที่เขาปลูกแล้วไม่มีทางนำไปเทียบพืชสามอย่างนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่า 30 % จะฟังดูแล้วมันน้อย แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นตัวเงินแล้วแน่นอนว่ามากกว่าเงินที่เขาหาได้ในช่วงหลายปีนี้มากมายนัก
หากเป็นเมื่อไม่กี่ปีก่อนเขาเองก็คงจะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน
ไม่ใช่เพราะว่าเขาโลภมากแต่เป็นเพราะเขานั้นยังหนุ่มแน่นและมีความทะเยอทะยานอย่างมาก และด้วยสถานการณ์ตอนนั้นไม่ได้ทำให้เขากังวลต่อการเผชิญหน้ากับอนาคตแต่อย่างใด
กลับกันตอนนี้เขาเริ่มเหนื่อยหน่ายกับการดิ้นรนแล้ว
อีกทั้งเขายังมีภรรยาและลูกที่ต้องเลี้ยงดูนี่เองก็เป็นเหมือนกับจุดอ่อนของเขาที่ทำให้ไม่กล้าจะเสี่ยงกับโลกธุรกิจ
เหตุผลที่แท้จริงที่เขานั้นต้องการสักการะพระอจละอยู่ทุกวันนั่นเป็นเพราะการเผชิญหน้ากับซุนหยูเฮงได้นั้น หากไม่เสี่ยงก็จะไม่มีทางชนะได้
แต่นั่นเองก็อาจจะทำให้เขาพ่ายแพ้หมดรูปได้เช่นเดียวกัน เขาจึงต้องคอยข่มอารมณ์นี้ไว้โดยนึกถึงครอบครัวไว้เป็นที่ตั้ง
เตียนจงยี่ได้เงียบไปซักพักหนึ่งก่อนที่จะถามออกมาว่า “คุณซู ถ้าเราต้องร่วมมือกันจริงๆผมขอเปลี่ยนข้อเสนอหน่อยได้รึเปล่า
ผมอยากจะขอให้ผมและครอบครัวได้มานั่งอยู่ต่อหน้าองค์พระอจละวันละหนึ่งชั่วโมง”
“ไม่มีปัญหาครับ” ซูจิ้งไม่ขัดข้องกับเรื่องแค่นี้อย่างแน่นอน
“คุณซูนี่เหมาะสมแล้วที่เป็นชายที่นำพาความสุขมาให้ผู้คนซะจริงๆ เฮ้อออ…นี่สิถึงพอจะคุ้มค่าที่จะไปทะเลาะกับแม่ยายของผมเรื่องที่ดินหน่อย
แต่ยังไงซะก่อนอื่นผมขอดูความเหมาะสมของพื้นที่ก่อนนะครับว่าจะเหมาะสมกับการปลูกพืชทั้งสามนี่รึเปล่า” เตียนจงยี่พูดออกมา
“ได้ครับ” ซูจิ้งพยักหน้าเห็นด้วย ถ้าเตียนจงยี่ไม่ทดสอบดูนี่สิถึงเรียกว่าแปลก
“อ้ออีกเรื่องนึง อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดของผู้ว่าการจังหวัดโดยจะมีการจัดงานขึ้น แน่นอนว่าซุนหยูเฮงต้องเข้าร่วมงานปาร์ตี้
ถ้าเป็นไปได้ผมหวังว่าคุณซูพอจะไปร่วมงานกับผม จะดีกว่าถ้าพาคุณหวังซือหยาไปด้วยได้ยิ่งดีเข้าไปอีก”
เตียนจงยี่พูดออกมาอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก
“ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอนครับ อย่างน้อยๆผมต้องไปแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
เขารู้ดีว่าเตียนจงยี่กำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่
เขากลัวว่าหากไปคนเดียวแล้วจะกลายเป็นเขาต้องไปพูดกับอากาศเสียมากกว่า
หากว่าซูจิ้งผู้เป็นดั่งเสือและไปพร้อมกับหวังซือหยาที่เป็นมังกรในสายตาผู้คนล่ะก็จะทำให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้น
เพราะว่าซูจิ้งนั้นนอกจากจะถือได้ว่ามีฐานอำนาจเป็นของตัวเองแล้ว เขาเองก็ยังมีศักดิ์เป็นถึงคุณชายสี่แห่งตระกูลหวังอีกด้วย
แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ข่าวลือมิสู้เจอเอง เขาจึงเข้าใจทันทีว่าทำไมเตียนจงยี่ถึงอยากให้เขาไปด้วย
ยังไงซะในเมื่อซูจิ้งต้องการที่จะพัฒนาในจังหวัดของตัวเอง ย่อมเป็นการดีที่จะมีสายสัมพันธ์อันดีกับภาครัฐในพื้นที่
ซุนหยูเองเองก็มีเส้นสายกับหน่วยงานในพื้นที่ไม่น้อยเช่นกัน เตียนจงยี่เองก็หวังไว้ว่าการปรากฏตัวของซูจิ้งกับหวังซือหยาสามารถทำให้หน่วยงานภาครัฐไว้หน้ากันบ้าง
นั่นก็เพราะว่างานนี้เป็นการประชันระหว่างซูจิ้งกับซุนหยูเฮงไปแล้ว ถ้าซูจิ้งมีน้ำหนักมากกว่า เตียนจงยี่จะทำงานได้อย่างราบลื่น
เอาจริงๆซูจิ้งก็คิดจะหาโอกาสไปป้ะหน้ากับซุนหยูเฮงอีกซักหนอยู่แล้ว
เขานั้นอยากจะพูดตอกหน้าหนักๆซักทีสองทีให้หมอนั่นกระอักเลือดออกจากปากซักรอบ
ให้โอกาสทำเงินดีๆไม่ชอบ ยังมีหน้ายกเอามาเป็นข้ออ้างเข้าหาพี่สาวที่เคารพ คนแบบนี้คบไม่ได้
เขาเองก็เตรียมคำพูดตอกหน้าเอาไว้แล้วว่า ต่อให้ไม่ใช่ศัตรู ก็ใช่ว่าจะอยู่ร่วมกันได้