Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 650
ตามหาภาพเขียนจีนคืนมา
เมื่อเห็นซูจิ้งและหวังจ้าวเดินไปทางคนญี่ปุ่น หวังซือหยา หลี่หยิง หลี่เหนียนหยิงและคนอื่นๆ หยุดคุยกัน พวกเขารู้ดีว่าในงานนี้ได้เชิญคนญี่ปุ่นมาด้วยเหตุผลพิเศษ และพวกเขาก็รู้ว่าซูจิ้งและหวังจ้าวกำลังจะเริ่มจัดการเรื่องนั้นแล้ว ในสายตาของหลี่หยิงและหลี่เหนียนหยิงนั้นหวังจ้าวคือผู้นำของเรื่องนี้ มีแต่หวังซือหยาเท่านั้นที่รู้ว่าผู้นำแผนการนี้เป็นซูจิ้ง ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงซูจิ้งเรื่องนี้ได้เลย
“เสี่ยวหยิง ช่วยเข้าไปดูและคอยช่วยพวกเขาอย่างเต็มความสามารถเลยนะ” หลี่เทียนเฮอสะบัดมือช้าๆไปยังหลี่หยิง ในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งที่รักชาติอย่างยิ่ง เขาไม่มีทางยอมให้ภาพเขียนจีนที่ถูกขโมยไปถูกนำไปที่ญี่ปุ่นอย่างแน่นอน
“ครับ” หลี่หยิงวางแก้วไวน์ลงและรีบเดินตามกลุ่มหวังจ้าวเข้าไป
“สวัสดีครับคุณมัตซึโมโตะและคุณจ้าว” ซูจิ้งและหวังจ้าวเดินเข้าร่วมวงสนทนา
“สวัสดีครับคุณหวัง คุณซู” มัตซูโมโตะ ชาวญี่ปุ่นตอบรับพร้อมกับที่จ้าวซือเฟิงและจ้าวหยวนพยักหน้าให้เล็กน้อย ตระกูลจ้าวและตระกูลหวังมีศักดิ์ฐานะเท่าเทียมกัน พวกเขาเลยไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไงต่อหวังจ้าวและซูจิ้งดี แต่เขาก็ยังคงแสดงท่าทางเป็นมารยาทพอเป็นพิธีเท่านั้น
“คุณซู ผมได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับคุณเลย ผมเพิ่งจะคุยเรื่องเกี่ยวกับคุณไปกันเองนะเนี่ย ไม่คิดเลยว่าคุณจะมาหาผมด้วยตัวเอง ช่างเป็นเกียรติจริงๆ” จ้าวซือเฟิงฟังพร้อมยิ้มแหยๆ ซูจิ้งเองก็ทำเหมือนชื่นชมพวกเขาแต่ก็แค่ภายนอกเท่านั้น เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าได้ถูกซูจิ้งแอบใช้พลังตรวจสอบพวกเขา ไว้เรียบร้อยแล้ว
“ถ้าเป็นอย่างนั้นหล่ะก็ ผมขอชนแก้วกันหน่อยแล้วกัน” ซูจิ้งพูดพร้อมยื่นถาดไวน์ให้ เขาและหวังจ้าวต่างก็มีไวน์ขาวไว้ในมืออยู่แล้ว ทั้งสามแก้วนั้นเป็นน้ำล้างตัวหนอนแดง อย่างไรก็ตามไม่มีใครสังเกตุเห็นสิ่งผิดปกติแน่นนอนเพราะว่ามันมีกลิ่นไวน์ที่แรงกว่าไวน์ทั่วไป ส่วนเรื่องรสชาตินั้น ซูจิ้งเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาได้แต่ลองให้สามคนทดสอบดู
“นี่มันนนน” มัตซูโมโตะ จ้าวซือเฟิง และจ้าวหยวน ต่างตาถลนออกมาเมื่อได้ดื่มไวน์จากแก้ว แม้แต่คนที่อยู่ใกล้ๆ ก็อดใจไม่ได้ที่จะหันมามอง กลิ่นของมันโชยไปไกลเป็นเมตรๆ
มัตซูโมโตะ จ้าวซือเฟิง และจ้าวหยวน ไม่ได้คิดสงสัยอีกต่อไป ในสถานที่สาธารณะอย่างนี้ไม่มีทางที่ซูจิ้งและหวังจ้าวจะวางยาพวกเขา เมื่อรวมถึงกลิ่นอันเย้ายวนพวกเขาอดใจไม่ไหวแล้วดื่มลงไป พวกเขาต่างเอ่ยชมไม่หยุดปากพร้อมกับบอกว่า “ไวน์ที่ดี”
หลังจากนั้นพวกเขาก็อดใจไม่ได้และจิบไวน์ต่อ พวกเขาจิบจนหมดเพราะว่าไวน์นี้ช่างถูกปากและเย้ายวนใจยิ่งนัก ด้วยสถานะของพวกเขานั้นพูดได้ว่าได้ลิ้มรสไวน์ดีๆมาทั่วโลกแล้วแต่ก็ยังไม่มีไวน์ไหนเทียบได้เลย
ซูจิ้งเองก็เริ่มมีความรู้สึกอยากลองดูบ้างเหมือนกัน แต่พอนึกถึงที่มาแล้วเขาก็ทำได้แค่เพียงขนลุก ดูจากท่าทางของพวกเขาแล้วมันต้องรสชาติดีมากแน่ๆ ต่อให้ไม่มีการตอบสนองแบบนี้มันก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่ดี ถ้าดื่มไม่ได้ก็ขายแทนละกัน
“นี่มันคือไวน์อะไรกันครับคุณซู” มัตซูโมโตะอดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยภาษาจีน
“ฮ่า ฮ่า นี่ไวน์จากบ้านผมเองแหล่ะ” ซูจิ้งกล่าวตอบทันที
“ไวน์ทำเอง เป็นไปได้ยังไงกัน” มัตซูโมโตะถึงกับอึ้งไป ทันใดนั้นเขาก็เปิดตากว้างเหมือนนึกอะไรดีๆ ได้ พร้อมพูดว่า “คุณซูครับ คุณพอมีวิธีหรือช่องทางที่จะให้ไวน์นี้กับผมได้รึเปล่า หรือคุณต้องการจะขายมัน ผมพร้อมที่จะซื้อในราคาแพงเลยนะ”
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ช่องทางที่ผมเตรียมไว้นั้นไม่ได้มีไว้สำหรับขายหรอก พวกเราต้องการเรื่องธุรกิจมากกว่า แต่ถ้าคุณอยากจะดื่มอีกละก็ เดี๋ยวผมให้คุณตอนนี้เลย” ซูจิ้งพูดพร้อมรอยยิ้มออกมา
“ขอบคุณครับ งั้นผมขออีกละกัน” มัตซูโมโตะยิ้มออกมาในขณะที่จ้าวซือเฟิงและจ้าวหยวนในมือยังคงถือเพียงแก้วเปล่า พวกเขารู้แล้วว่าซูจิ้งมาจะต้องมีเรื่องอะไรคุยกับพวกเขาแน่นอน แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าต้องการจะคุยเรื่องอะไรกันแน่ แต่มันต้องสำคัญแน่ๆ ถึงขนาดต้องเปิดการคุยด้วยไวน์ดีๆ ขนาดนี้
หวังจ้าวและหลี่หยิงที่ตามมาด้วยนั้น เริ่มอดใจไม่ได้ที่จะอยากดื่มด้วย แต่ซูจิ้งนั้นไม่ยอมรินเหล้าให้พวกเขา ยิ่งกว่านั้น คนรอบข้างก็เริ่มที่จะอยากรู้เกี่ยวกับไวน์ตัวนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ก็ถูกซูจิ้งปฏิเสธที่จะพูดถึงแต่กลับรินไวน์ให้พวกเขาลองแทน จนกระทั่งไวน์ขวดนี้หมดลง คนที่ลองไม่มีใครเลยที่จะไม่เมา
“ไวน์ที่ดี”
“ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับไวน์จิ้งจอกแดงมาแล้ว แต่นี่มันยิ่งกว่าเสียอีก”
“มันรสชาติดีมาก”
“ไวน์นี้จะมีขายออกมารึเปล่า”
“ใช่แล้วครับ ไวน์ตัวนี้จะกลายเป็นสินค้าตัวหนึ่งของพวกเราในภายหน้า พวกคุณสามารถเข้ามาเป็นหุ้นส่วนได้” ซูจิ้งพูดออกมาทำให้ทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้น นี่หมายความว่าพวกเขามีโอกาสที่จะได้ดื่มไวน์ชั้นดีชนิดนี้ในอนาคต ยิ่งกว่านั้นถ้าไวน์ดีขนาดนี้ไม่มีทางที่จะขายไม่ได้อย่างแน่นอน หวังจ้าวแอบพยักหน้ายอมรับ ไวน์นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าไวน์จิ้งจอกแดงเลยมันดีกว่าด้วยซ้ำ
หลังจากลิ้มลองไวน์นี้เข้าไป
มัตซูโมโตะมีความรู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือจนอดใจไม่ได้ที่จะเข้าไปคุยกับซูจิ้ง ประดุจดั่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ อย่างไรก็ตามเมื่อซูจิ้งถามเขาเกี่ยวกับภาพเขียนเทพธิดาจีน เขากลับพูดบ่ายเบี่ยงไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องภาพเขียน และใช้วาทศิลป์ในการดึงหัวข้อสนทนามาเป็นเรื่องไวน์ทุกครั้ง
“โธ่เว้ย หมอนี่ทำได้ง่ายๆ เลยนี่นา” หลี่หยิงบ่นพึมพำออกมา
“แหงสิ นี่เขาเพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อเช้าเองนะ เขายังเตรียมการจนปีนไปถึงยอดเขาได้ง่ายๆ เลย” หวังจ้าวไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
“แล้ว นี่พวกเราจะทำอะไรต่อหล่ะ ฉันไม่รู้เลยจะเอาไงต่อ พอพวกเราได้ข้อมูลมากลับกลายเป็นว่าเขารู้แค่เพียงข่าวลือเท่านั้นเอง เอาจริงๆ ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะรู้ข้อมูลมากน้อยแค่ไหน ฉันไม่อยากไปโกหกท่านพ่อนะ” หลี่หยิงบ่นออกมา
“เราลองดูอาจิ้งกันก่อนละกัน” หวังจ้าวบอก
อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งยังค่อยๆ ตล่อมคุยไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาคุยพร้อมกับหัวเราะร่วมไปกับมัตซูโมโตะและจ้าวซือเฟิงเหมือนกับพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน หลังจากคุยเสร็จซูจิ้งก็กล่าวลาและเดินออกไปทางหวังจ้าวและหลี่หยิง
“อาจิ้ง ได้เรื่องรึเปล่า” หวังจ้าวนั้นรู้ดีว่าซูจิ้งจะต้องคอยดูท่าทางปฏิกิริยาของชาวญี่ปุ่นคนนี้ผ่านการพูดและหัวเราะ เขาเองก็มีความรู้สึกว่าซูจิ้ง ต้องมีอะไรซักอย่างปิดบังไว้แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร
“ได้แค่นิดหน่อยน่ะ ภาพเขียนจะถูกนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นสักระยะนึง” ซูจิ้งกล่าวออกมา
“ไอ้หมอนี่ ที่กล้ามาพูดแบบนี้แสดงว่านายต้องการจะแหย่พวกเราเล่นใช่ไหม ถ้านายไม่ยอมพูดออกมาก็จับพวกเราไปแขวนคอเลยดีกว่า” หวังจ้าวพูดออกมาอย่างเคืองๆ
“เดี๋ยวนะ ทำไมนายถึงรู้ว่าภาพเขียนจีนจะถูกจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นหล่ะ ฉันไม่เห็นเขาบอกอะไรเลย” หลี่หยิงไม่แน่ใจกับเรื่องนี้เพราะว่าตอนที่ซูจิ้งถามคำถามไปก็ไม่เห็นคนญี่ปุ่นตอบอะไรมาเลย
“ฉันสามารถอ่านปฏิกริยาท่าทางได้น่ะ” ซูจิ้งพบวิธีที่จะแก้ตัวในเรื่องความสามารถของเขาแล้ว หวังจ้าวนั้นเชื่อมั่นในตัวซูจิ้ง และหลี่หยิงก็เชื่อในตัวซูจิ้งเช่นเดียวกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเขาไม่ได้ใช้การอ่านปฏิกิริยาท่าทางแต่เป็นการ ส่งพลังจิตเข้าไปหาข้อมูลพร้อมทั้งสะกดจิตนิดหน่อย
“เป็นปัญหาแล้วสิ” หวังจ้าวบ่นออกมา นี่เป็นปัญหาระดับที่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว
ถ้าภาพเขียนจีนถูกนำไปโดยนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น พวกเขาก็ยังพอทำอะไรได้บ้าง แต่นี่ภาพเขียนกลับไปอยู่ในมือของทางพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นแล้ว การจะแก้ปัญหานั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พวกเขาไม่อยากให้เรื่องเลยเถิดไปถึงขั้นนั้น ยิ่งกว่านั้นด้วยนิสัยของคนญี่ปุ่นแล้ว ไม่มีทางที่จะคืนมาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีแน่นอน ที่พอเป็นไปได้ก็จะต้องแลกมาด้วยมูลค่ามหาศาลแน่นอน
“ไปบอกเรื่องนี้กับพ่อของพวกเรากันก่อนแล้วกัน ให้พวกเขาเป็นคนตัดสินใจกันเอง” หลี่หยิงพูดออกมา หวังจ้าวก็ทำได้แต่พยักหน้าตอบรับ
ซูจิ้งนั้นไม่เห็นด้วยนัก เขาคิดว่าต่อให้หลี่เทียนเฮอและหวังซวนจี้จะรู้เรื่อง พวกเขาก็ไม่มีทางทำอะไรได้อยู่ดี ถึงแม้คิดจะทำแต่ก็ไม่มีทางแย่งภาพเขียนกลับคืนมาได้ ต่อให้ตัดสินใจที่จะทำจริงๆ ก็ไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาแบบเงียบๆ ได้แน่นอน