Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 782 นิทรรศการศิลปะ (1)
ตอนที่ 782 นิทรรศการศิลปะ (1)
……….
เดือนสิงหาคมในฉินโจวคือช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของปี แสงอาทิตย์กำลังแผดเผาผืนแผ่นดินอย่างไร้ความปรานี แม้แต่หนานจี๋ซึ่งชื่นชอบความคึกคักก็ไม่อยากออกไปเล่นข้างนอก โดยมากจะอยู่เงียบๆ ในห้องซึ่งมีเครื่องปรับอากาศ
ในวันนี้
หลินเยวียนอยู่บ้านและเล่นกับหนานจี๋ จู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เป็นสายจากจินมู่
“วันนี้วันเสาร์ หัวหน้าอยากมาชมนิทรรศการศิลปะไหมครับ?”
“นิทรรศการศิลปะ?”
“ผีเสื้อรักบุปผาจัดแสดงอยู่ในนิทรรศการศิลปะนี้แล้วครับ…”
“ไม่ไปครับ”
หลินเยวียนปฏิเสธทันควัน
ในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ หลินเยวียนไม่มีกะจิตกะใจอยากออกไปข้างนอกเลยสักนิด นอกจากนั้นผีเสื้อรักบุปผาก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของหลินเยวียน
จินมู่ไม่ได้กดดันเขาอีกต่อไป
แต่หลินเยวียนไม่อยากออกไปข้างนอก ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆ จะไม่อยากออกไปข้างนอกเช่นเดียวกัน คนเรามักถูกขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจบางอย่างเสมอ
ในเวลานี้
ณ ศูนย์ศิลปะแห่งหนึ่งในเมืองซู
นิทรรศการศิลปะขนาดกลางจัดขึ้น
บนบลูสตาร์ซึ่งมีบรรยากาศทางนิทรรศการศิลปะเข้มข้น การชมนิทรรศการศิลปะคือแรงผลักดันให้ผู้คนจำนวนหนึ่งออกจากบ้านในวันเลาร์แม้ว่ารถของพวกเขาจะเข้าไปไม่ได้หลังจากที่ขับมาถึงสถานที่จัดแสดง และจำเป็นต้องเดินไปอีกนับร้อยเมตรจนแผ่นหลังเปียกชุ่ม
หน้าประตูนิทรรศการศิลปะมีป้ายประชาสัมพันธ์
ป้ายประชาสัมพันธ์ประกอบไปด้วยข้อมูลของจิตรกรซึ่งเข้าร่วมการจัดแสดงผลงาน
นิทรรศการศิลปะขนาดกลางในครั้งนี้เป็นนิทรรศการภาพวาดพู่กันโบราณ จิตรกรที่เข้าร่วมงานส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มที่มีชื่อเสียงปานกลาง และผู้ที่ชื่นชอบในงานภาพวาดพู่กันจีนรู้จักมักคุ้น ทว่าความสามารถของพวกเขานั้นยังแตะไม่ถึงระดับสูงสุด
“ผลงานของอวี๋เหลียนก็จัดแสดง”
“มีเหรินเฟยเฟยด้วย”
“ผลงานของหยวนหลิ่วก็มีเหมือนกัน ฉันเห็นผลงานของหยวนหลิ่วในนิทรรศการศิลปะชั้นนำเมื่อปีก่อน ฝีมือดีมาก”
“ฉันพอจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสื่อเซียงคนนี้ เป็นคนที่มีศักยภาพสูงมากในวงการภาพวาดพู่กันโบราณ วันนี้มาเพื่อเขาเลย”
“สเกลของนิทรรศการก็ใช้ได้อยู่นะ”
“ถึงจะไม่มีศิลปินชั้นนำ แต่ศิลปินที่เข้ารวมก็ไม่ได้ไร้ชื่อเสียง”
“โดยเฉพาะอวี๋เหลียน ผลงานของคว้ารางวัลใหญ่เมื่อปีที่แล้ว และได้รับการยอมรับจากศิลปินชั้นนำที่มีชื่อเสียงหลายคน”
“…”
ผู้คนต่างสนทนากันขณะอ่านป้ายประชาสัมพันธ์
ขณะนั้นเอง
จู่ๆ ผู้เข้าร่วมนิทรรศการก็เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “ผลงานของอิ่งจือก็เข้าร่วมด้วย?”
ทุกคนตกตะลึง
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็สังเกตเห็นชื่อของอิ่งจือบนป้ายประชาสัมพันธ์
ไม่ทันไร
ผู้คนต่างส่งเสียงร้องออกมา
“อิ่งจือไม่ใช่นักเขียนการ์ตูนหรอกหรือ?”
“นักเขียนการ์ตูนสามารถเข้าร่วมนิทรรศการภาพเขียนพู่กันโบราณได้ด้วยฒ”
“ทำไมทางผู้จัดถึงใส่ผลงานของนักวาดการ์ตูนเชิงพาณิชย์เข้ามาด้วยล่ะ?”
“น่าสนใจ เท่าที่ผมรู้ ฝีมือด้านจิตรกรรมของอิ่งจือดีมากทีเดียว”
“นึกไม่ถึงว่าอิ่งจือจะเข้าร่วมนิทรรศการภาพวาดพู่กันโบราณครั้งนี้ด้วย ฉันบังเอิญไปเห็นภาพประกอบที่อิ่งจือวาดในนิยายของฉู่ขวง คนคนนี้ฝีมือดีจริงๆ สไตล์ภาพของเขาก็ประณีต ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะวาดภาพพู่กันโบราณได้”
“อะไรกันเนี่ย”
“รูปลักษณ์ที่สวยงามกับแนวคิดทางศิลปะเป็นคนละเรื่องกัน เช่นเดียวกับการวาดการ์ตูนและภาพวาดพู่กันโบราณที่เป็นคนละแนวคิดกัน คุณภาพของนิทรรศการศิลปะครั้งนี้ถูกอิ่งจือฉุดลงมาต่ำซะแล้ว”
“ผิดหวัง”
“ล้อเล่นหรือเปล่า ผลงานของนักเขียนการ์ตูนเชิงพาณิชย์ก็เอาออกมาจัดแสดงได้ ผู้จัดคงเห็นแก่ชื่อเสียงของอิ่งจือสินะ? ”
“อิ่งจือยัดเงินใต้โต๊ะให้ผู้จัดงานหรือเปล่า?”
“ฉันไม่ชอบศิลปินเชิงพาณิชย์แบบนี้เอาซะเลย การปรากฏตัวของเขาทำให้ศิลปะการวาดภาพพู่กันโบราณต้องเสื่อมเสีย เขาวาดเป็นแค่ภาพสัปดนเรียกความสนใจ ยังคิดจะทำให้ภาพวาดพู่กันโบราณต้องด่างพร้อยอีกหรือ?”
“…”
อย่ามองเพียงว่าอิ่งจือได้รับความนิยมอย่างล้นหลามบนโลกออนไลน์
ในนิทรรศการศิลปะประเภทนี้ หลานคนไม่ได้ชอบใจกับนักเขียนการ์ตูนคนนี้มากนัก ถึงขั้นที่รังเกียจเขามากเสียด้วยซ้ำ
เหตุผลนั้นช่างเรียบง่าย
ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายเดียวกัน
ผู้ที่ยินดีจะฝ่าแสงแดดร้อนระอุนี้เพื่อมาชมนิทรรศการศิลปะ ล้วนเป็นผู้ที่ชื่นชอบภาพวาดพู่กันโบราณซึ่งคิดว่าตนเองนั้นมีรสนิยมสูงกว่าใครๆ
โดยทั่วไปคนเหล่านี้ไม่อ่านการ์ตูน
ส่วนใหญ่พวกเขารู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าในด้านสุนทรยภาพทางศิลปะ พวกเขาสามารถพูดคุยเกี่ยวกับผลงานของศิลปินชื่อดังต่างๆ ได้อย่างไม่เบื่อหน่าย พวกเขาชื่นชอบศิลปะชั้นสูง จะให้มาอ่านการ์ตูนซึ่งเดินเส้นทางเชิงพาณิชย์เช่นนี้ได้อย่างไร
ไม่เพียงผู้ที่มีใจรักด้านจิตรกรรมเท่านั้นที่มีแนวคิดเช่นนี้
แม้แต่ในวงการจิตรกรรมมืออาชีพในบลูสตาร์ การ์ตูนก็จัดให้อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำที่สุดของห่วงโซ่อาหาร จิตรกรแบบดั้งเดิมซึ่งดูถูกการ์ตูนเชิงพาณิชย์ประเภทนี้ก็มีให้พบเห็นได้ทั่วไป
ประเด็นนี้จะคล้ายคลึงกับบนโลก
ในวงการนิยายบนโลก นักเขียนแบบดั้งเดิมรวมไปถึงคนสายวรรณกรรมซึ่งเลี้ยงชีพด้วยวรรณกรรมรูปแบบดั้งเดิม ก็ดูถูกนักเขียนออนไลน์เช่นกัน
นี่คือภาพสะท้อนของสภาพแวดล้อมที่กว้างขึ้น
ไม่ว่าจะอคติก็ดี หรือการเหมารวมก็ดี ปรากฏการและแนวคิดเหล่านี้ฝังรากลึกลงในจิตใจของผู้คนจำนวนมาก
ดังนั้น
หลายคนจึงรู้สึกตกตะลึงกับการปรากฏตัวของอิ่งจือในนิทรรศการศิลปะนี้ หลายคนรู้สึกขัดหูขัดตา บนใบหน้าของเขาปรากฏความรู้สึกเหยียดหยามอย่างชัดเจน ราวกับว่าเกียรติยศของพวกเขาได้ถูกลากให้ต่ำลงมา
……
เบื้องหลังฝูงชนซึ่งส่งเสียงร้องโวยวาย ภายใต้ร่มกันแดด ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยเสียงเรียบ
“เห็นไหมว่านี่คือทัศนคติที่คนในวงการจิตรกรรมดั้งเดิมมีต่อการ์ตูน”
ถัดจากชายวัยกลางคน หญิงสาวเกล้าผมเป็นมวยเอ่ยอย่างไม่พอใจ “พ่อบ้านอื่นเขาสนับสนุนลูกสาว ทำไมพ่อถึงต้องทำให้เรื่องนี้มันยากสำหรับหนูด้วยล่ะคะ”
นักเขียนการ์ตูนแล้วอย่างไร
นักเขียนการ์ตูนมาขอข้าวที่บ้านกินหรือ?
เอ๊ะ?
นักเขียนการ์ตูนเหมือนจะมาขอข้าวที่บ้านกินจริงด้วย ถึงอย่างไรฉันเองก็เป็นนักเขียนการ์ตูน
“เสี่ยวเวย…”
ชายคนนั้นรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ “พ่อไม่ได้ไม่สนับสนุน พ่อแค่กลัวว่าลูกจะหลงทาง”
ถูกต้อง
ผู้หญิงซึ่งมัดผมมวยคนนั้นก็คือหลัวเวย
วันนี้เธอสวมชุดมินิเดรสสีน้ำเงินลายดอกไม้ ให้ภาพลักษณ์ของสาวสวยซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยครั้งนัก เธอดูมีเสน่ห์ ต่างจากยามปกติที่มักจะผมเผ้ายุ่งเหยิง แลดูมีความเป็นทอมบอยขณะที่วาดการ์ตูนอยู่ในสตูดิโอ
และชายคนนี้คือพ่อของหลัวเวย ปรมาจารย์ด้านภาพวาดพู่กันโบราณ หลัวเฉิง!
หลัวเวยเบ้ปากเอ่ยว่า “ไม่ว่าพ่อจะพูดยังไง หนูก็ยังคำนับอิ่งจือเป็นอาจารย์ไปแล้ว พ่อสอนให้ว่าเป็นครูเพียงวันเดียว เหมือนเป็นพ่อทั้งชีวิต ทั้งสองคนก็เป็นพ่อของหนู”
“ลูก…”
นี่มันคำพูดบ้าบออะไร!
นี่มันคำเปรียบเปรยบ้าบออะไร!
หลัวเฉิงโกรธมากจนแทบอยากตีคน ในใจรู้สึกเศร้าเหลือเกิน ผู้ชายที่ชื่ออิ่งจืออะไรนั่น กลายเป็นพ่อของลูกสาวสุดที่รักของเขาไปแล้ว?
คิดว่ากำลังเอาเปรียบใครอยู่รึ!
หลัวเฉิงดูแลประคบประหงมลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนนี้มาตั้งแต่เล็ก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยพูดจารุนแรงกับลูก
เขาทำได้เพียงอดทนต่อความรู้สึกไม่สบายใจ และเอ่ยด้วยใบหน้าเย็นชา
“แล้วพ่อจะรอดูว่าอาจารย์ของลูกฝีมือจะอยู่ระดับไหน ถ้าเป็นแค่พวกแสวงหาแค่เพียงชื่อเสียง ความเอาแต่ใจของลูกจะหยุดอยู่แค่นี้พอ!”
ล้อเล่นหรือไง?
หลัวเวยเกิดในตระกูลจิตรกรซึ่งมีชื่อเสียงชาวฉินโจว มีปรมาจารย์ด้านจิตรกรรมหลายคนในตระกูล แต่ถึงกระนั้น ลูกสาวของเขากลับมาเรียนกับนักเขียนการ์ตูน ถึงขั้นที่คำนับนักเขียนการ์ตูนคนนี้เป็นอาจารย์?
นั่นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้สำหรับหลัวเฉิง
ถ้าพูดออกไป หลัวเฉิงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
วันนี้หลัวเฉิงจะประเมินผลงานของอิ่งจือต่อหน้าลูกสาวของเขา เพื่อให้ลูกสาวที่ฝีมือยังไม่สุกงอมได้เห็นอย่างชัดเจนว่าอิ่งจือซึ่งเธอมองเป็นครูคนนี้มีดีสักแค่ไหนกัน
“หึ”
พ่อมีเป้าหมายของพ่อ เธอก็มีเป้าหมายของตนเองเช่นกัน
วันนี้เธออยากพาพ่อไปดูฝีมือการวาดภาพพู่กันโบราณของอาจารย์อิ่งจือ เพื่อให้พ่อของเธอได้เห็นว่าอาจารย์ของเธอนั้นเก่งกาจแค่ไหน มิฉะนั้นคนเก่าคนแก่ในตระกูลของเธอจะมีอคติต่อนักเขียนการ์ตูนไม่รู้จักจบสิ้น
นี่คือความขัดแย้งระหว่างพ่อลูก
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น จู่ๆ คนที่ผ่านมาก็เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“คุณคืออาจารย์หลัวเฉิงใช่ไหมครับ”
ทันทีที่เสียงดังขึ้น ฝูงชนซึ่งอยู่ด้านหน้าก็หันกลับมามองหลัวเฉิงด้วยสายตากระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
“ใช่ครับ”
หลัวเฉิงคลี่ยิ้มบาง ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจที่มีคนจำเขาได้
ในนิทรรศการศิลปะครั้งนี้มีผู้ที่ชื่นชอบภาพวาดพู่กันโบราณแวะเวียนมาเป็นจำนวนมาก และหลัวเฉิงก็นับว่ามีบทบาทสำคัญในวงการภาพวาดพู่กันโบราณมาโดยตลอด ระดับของเขาเพียงพอที่จะเอาชนะศิลปินซึ่งนำผลงานมาจัดแสดงในนิทรรศการในครั้งนี้ และมีชื่อเสียงมาเป็นเวลาเกือบสามสิบปี
ทันใดนั้นเอง!
ผู้คนเริ่มตื่นเต้น และหยุดพูดถึงอิ่งจือ!
“อาจารย์หลัวเฉิง ฉันเป็นแฟนคลับของคุณค่ะ!”
“อาจารย์หลัวเฉิง วันนี้ได้รับคำเชิญมาหรือครับ?”
“วันนี้มีผลงานของอาจารย์หลัวเฉิงเข้าร่วมด้วยไหมครับ?”
“อาจารย์หลัวเฉิงช่วยเซ็นชื่อให้ฉันได้ไหมคะ?”
“อาจารย์หลัวเฉิง ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมครับ?”
“อาจารย์หลัวเฉิงฉันชอบคุณมากเลยค่ะ!”
“อาจารย์หลัว…”
“…”
หลัวเฉิงถูกรายล้อมไปด้วยฝูงชนที่กระตือร้อร้น
โดยปกติแล้วหลัวเฉิงไม่ชอบความสนใจเช่นนี้ ทว่าวันนี้ลูกสาวยืนอยู่ข้างกาย เขาจึงได้ประโยชน์ ทั้งยังจงใจมองลูกสาว ราวกับกำลังสำแดงสถานะของเขาในยุทธภพ
หลัวเวยเบ้ปาก
และขณะที่ฝูงชนกำลังโกลาหลอยู่ ก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง
“อาจารย์หลัว ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”
หลัวเฉิงชะงักไปชั่วขณะ สายตามองผ่านฝูงชนไปยังผู้หญิงคนหนึ่ง จากดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น เขาตะโกนขึ้นทันใด
“อาจารย์ชิว!”
ผู้หญิงคนนี้มีชื่อว่าชิวอวี่ ปีนี้อายุเข้าเลขสี่แล้ว ผมยาวละบ่า ไม่มีร่องรอยแห่งกาลเวลาปรากฏบนใบหน้าของเธอ นี่คือหนึ่งในบุคลากรระดับแนวหน้าคนหนึ่งในวงการจิตรกรรมบลูสตาร์
“อาจารย์ชิวอวี่!”
ฝูงชนมองตามสายตาของหลัวเฉิงซึ่งกำลังพูดอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าทรงเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ของชิวอวี่ ทุกคนล้วนตื่นเต้นขึ้นมา!
ใบหน้าของบรรดาชายฉกรรจ์ที่กระตือรือร้นพลันแดงระเรื่อขึ้นมา!
นึกไม่ถึงว่าอาจารย์ชิวจะมางานนี้ด้วย!
ชิวอวี๋ เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในผู้หญิงซึ่งเชี่ยวชาญด้านการวาดภาพพู่กันโบราณมากที่สุดในวงการภาพวาดพู่กันโบราณบลูสตาร์ เนื่องจากฝีมืออันแข็งแกร่ง และความสวยอันโดดเด่นของเธอ จึงทำให้เธอกลายเป็นเทพธิดาในใจผู้ที่หลงใหลในศิลปะแขนงนี้นับไม่ถ้วย และเมื่อได้พบตัวจริง ดูเหมือนว่าเทพธิดาผู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการภาพวาดพู่กันโบราณนั้นสวยสะคราญยิ่งกว่าในรูปเสียอีก!
ไม่มีใครคาดคิดว่านิทรรศการศิลปะขนาดกลางนี้จะดึงดูดยอดฝีมือในแวดวงภาพวาดพู่กันโบราณทั้งสองได้ในเวลาเดียวกัน!
“อาจารย์ชิว ผมไม่อยากทำงานหนักแล้ว…อ่าไม่สิ ขอลายเซ็นหน่อยครับ!”
เมื่อชิวอวี่ปรากฏตัว เธอได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับหลัวเฉิงเมื่อครู่นี้ ฝูงชนเบียดเสียดกันเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทันไรทางเข้านิทรรศการก็คราคร่ำไปด้วยผู้คน
รอบตัวหลัวเฉิงนั้นเงียบลงไม่น้อย
“เทพธิดาที่พ่อชอบ?”
หลัวเวยสะกิดแขนของบิดาเบาๆ
หลัวเฉิงหัวใจกระตุกวาบ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “พ่อมีมโนธรรมมากพอ แค่ชื่นชมฝีมือฝีมือของอาจารย์ชิวอวี่เท่านั้น!”
“อ่อ”
หลัวเวยหลอกตา
หลัวเฉิงกระแอม “อย่าบอกแม่นะ”
หลัวเวยหรี่ตา “พ่อมีมโนธรรมไม่ใช่เหรอคะ”
หลัวเฉิง “…”
โชคดีที่คนกลุ่มนี้คิดว่าตนเองมีมารยาทดีพอ หลังจากกรูกันมารอบๆ ชิวอวี๋เพื่อเอ่ยชื่นชมกันแล้ว ก็ทยอยกันเปิดทางให้เธอ
“เข้าไปด้วยกันไหมคะ?”
ชิวอวี๋ก้าวเดินมาอย่างสง่างามตามเส้นทางที่ผู้คนแบ่งไว้ ก่อนจะเอ่ยถามหลัวเฉิงซึ่งยืนอย่างเปล่าเปลี่ยวอยู่ด้านข้าง
หลัวเฉิงพยักหน้า “ไปสิครับ”
ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันเข้าไปยังนิทรรศการศิลปะ
ฝูงชนจึงติดตามสองยอดฝีมือเข้าไปโดยไม่ลังเล!
หลายคนเริ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปและโพสต์ลงบนโมเมนต์ เพื่ออวดว่าได้พบกับปรมาจารย์ด้านภาพวาดพู่กันโบราณในนิทรรศการศิลปะแห่งหนึ่ง เร่งฝีเท้าเพื่อให้ติดตามอย่างใกล้ชิด
“???”
หลัวเวยตะลึงไปชั่วขณะ และตระหนักได้ว่าพ่อของเธอเดินเข้าไปแล้ว
ผู้ชายคนนี้ ลืมลูกสาวไว้ที่หน้าประตูจริงๆ !
บ้าชะมัด!
หลัวเวยแทบอยากยกนิ้วกลางขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ข่มใจตนเองไว้ได้
ขณะที่หยิบบัตรเข้าชมนิทรรศการขึ้นมา และรีบเดินเข้าไปด้านใน หลัวเวยก็สังเกตเห็นกลุ่มคนซึ่งอยู่ด้านหลังของเธอ
ดูเหมือนว่า…
นักข่าวจะมางานนี้ด้วย?
ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นนิทรรศการขนาดกลาง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักข่าวจะมา นอกจากนี้พ่อของฉันและอาจารย์ชิวอวี่เองอยู่ที่นี่ด้วย ทั้งสองมีแรงดึงดูดมหาศาลต่อนักข่าวหลายคน
นิทรรศการศิลปะในครั้งนี้คึกคักกว่าที่เธอจินตนาการไว้เสียอีก
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องดีสำหรับอาจารย์อิ่งจือ
หลัวเวยเม้มปาก เดินเข้าในในห้องโถงนิทรรศการ และรีบวิ่งไปหาพ่อของเธอ
พ่อมาที่นี่เพราะเธอเอง
ไม่รู้ว่าทำไมชิวอวี๋ถึงปรากฏตัวที่นี่
ด้วยขนาดของนิทรรศการในครั้งนี้ เราสามารถเชิญยอดฝีมืออย่างชิวอวี่มาได้ด้วย?
หลัวเวยรู้ดีว่าชิวอวี่ฝีมือแข็งแกร่งเพียงใด ความสามารถของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าพ่อของเธอเลย
และภายใต้สถานการณ์ปกติ มีเพียงนิทรรศการศิลปะสเกลใหญ่เท่านั้นที่สามารถเชิญยอดฝีมือในวงการจิตรกรรมอย่างพ่อของเธอและชิวอวี่มาพร้อมกันได้…
ช่างเถอะ
ไม่คิดแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือการอวดโฉมภาพวาดพู่กันโบราณของอาจารย์อิ่งจือ ต้องยิ่งใหญ่สักหน่อยถึงจะน่าสนใจ