Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 776 หายนะในวงการวรรณกรรม
ตอนที่ 776 หายนะในวงการวรรณกรรม
ไม่เกี่ยวกับบ้ายอหรือไม่บ้ายอ
เหตุผลหลักคือหลินเยวียนยังไม่ลืมจุดประสงค์ดั้งเดิมในการเขียนบทกวีของอี้อัน
ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อภาพยนตร์เรื่องชีวิตมหัศจรรย์ของพาย
ฉู่ขวงออกนอกลู่นอกทาง
ส่วนเป้าหมายดั้งเดิมของหลินเยวียนสำเร็จแล้ว
ในอีกไม่กี่วันต่อมา ความนิยมของภาพยนตร์เรื่องชีวิตอัศจรรย์ของพายยังคนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลสำเร็จของบ็อกซ์ออฟฟิศก็น่ายินดีเช่นเดียวกัน!
สตาร์ไลท์อบอวลไปด้วยบรรยากาศของความตื่นเต้นยินดี!
“สวัสดีครับผู้กำกับตู้!”
“ผู้กำกับตู้เยี่ยมมาก!”
“ผู้กำกับตู้ หนังของคุณภาพสวยมาก!”
“…”
ในแผนกภาพยนตร์ของสตาร์ไลท์ ไม่ว่าตู้อั้นจะเดินไปที่ใดก็สัมผัสได้ถึงความกระกระตือรือร้นของเพื่อนร่วมงาน ซึ่งนั้นทำให้เขายืดอกอย่างกระหยิ่มใจตามสัญชาตญาณ!
ใช่แล้ว
ชีวิตอัศจรรย์ของพายได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และตู้อั้นก็ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้คนมากมาย !
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่แกนหลักของทีมผู้ผลิต แต่เขาก็มีบทบาทสำคัญในภาพยนตร์เรื่องนี้!
ในขณะนี้
ตู้อันดีใจเหลือเกินที่เขายอมวางทิฐิในฐานะผู้กำกับซึ่งเป็นแกนหลัก และร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋ในการผลิตภาพยนตร์ด้วยท่าทีกระตือรือร้น
บางทีเขาอาจอยากลิ้มลองรสชาติอีกสักครั้ง
ตู้อันพบว่าตนไม่ได้รังเกียจการทำงานในกองถ่ายซึ่งมีนักเขียนบทถึงเพียงนั้นอีกต่อพอ
ภาพยนตร์เป็นของทุกคนไม่ใช่หรือ ไม่ว่าบทจะดีแค่ไหน จะถึงกับบดบังความดีความชอบของผู้กำกับได้เชียวหรือ?
ต้องเข้าใจว่า
เมื่อก่อนตู้อั้นไม่ได้คิดเช่นนี้
ในความคิดของตู้อั้นในอดีต ระบบนักเขียนบทเป็นแกนหลักนั้นคือของสแลงในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ นักเขียนบทเหล่านี้ไม่ได้เข้าใจการถ่ายทำอย่างแท้จริง!
ภาพยนตร์คือศิลปะของผู้กำกับ!
นักเขียนรับผิดชอบเพียงโครงเรื่อง เป็นลูกมือผู้กำกับ จะให้ไปเป็นแกนหลักของภาพยนตร์เรื่องหนึ่งได้อย่างไร?
นี่ไม่ใช่อคติของตู้อั้น
ทั้งอุตสาหกรรมภาพยนตร์บลูสตาร์นั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างระบบผู้กำกับเป็นหลักและระบบนักเขียนบทเป็นหลัก
ถูกต้องแล้ว
ระบบผู้กำกับเป็นหลักและระบบนักเขียนบทเป็นหลักนั้นไม่ได้เพิ่งเหม็นหน้ากันเมื่อสองวันก่อน
ทั้งสองฝ่ายยกเหตุผลมาเต็มเปี่ยม
นักเขียนบทซึ่งอยู่ในตำแหน่งแกนหลักเชื่อว่าโครงเรื่องคือกุญแจสำคัญของภาพยตร์ หากปราศจากโครงเรื่องที่ดี ไม่ว่าฝีมือของผู้กำกับจะดีแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
ระบบผู้กำกับเป็นหลักเชื่อว่า
การควบคุมภาพรวมของผู้กำกับคือกุญแจสำคัญ สิ่งที่บลูสตาร์ยังขาดแคลนนั้นไม่ใช่เรื่องราวที่ดีอะไร แต่เป็นผู้กำกับซึ่งสามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่ดีออกมาได้ ไม่ว่านักเขียนบทเหล่านั้นจะเรียนรู้เกี่ยวกับการถ่ายทำมากแค่ไหน ก็ไม่อาจเทียบได้กับผู้กำกับมืออาชีพ
ครั้งนี้อย่าได้มองเพียงว่าทุกคนต่างชื่นชมชีวิตอัศจรรย์ของพาย
ในความเป็นจริงมีเสียงบางส่วนตำหนิตู้อั้นเช่นกัน
ทั้งหมดล้วนมาจากคนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ซึ่งสนับสนุนระบบผู้กำกับเป็นแกนหลักอย่างมั่นคง
พวกเขาคิดว่าตู้อั้นคือความล้มเหลว เขาทรยศต่อระบบผู้กำกับเป็นแกนหลัก ยอมจำนนต่อระบบนักเขียนบทเป็นแกนหลัก และตกเป็นเครื่องมือของนักเขียนบท!
ตู้อั้นต้องทุกข์ทรมานกับเรื่องเหล่านี้เช่นกัน
เขาอยู่ในระบบผู้กำกับเป็นแกนหลักมาโดยตลอดนับตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพ ชีวิตอัศจรรย์ของพายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาที่นักเขียนบทเป็นผู้ตัดสินใจ ทว่าความร่วมมือในครั้งนี้ก็กลับประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม จนตู้อั้นเองก็รู้สึกสับสนไปเช่นกัน
“ไม่สิ”
ตู้อั้นนั่งอยู่ในห้องทำงาน หลังจากขบคิดอย่างลึกซึ้ง ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามีความเข้าใจผิด
เซี่ยนอวี๋ใช้ระบบนักเขียนบทเป็นแกนหลักก็จริง แต่เซี่ยนอวี๋แตกต่างจากผู้กำกับคนอื่นๆ อันที่จริงเขาไม่ได้เข้ามาแทรกแซงการถ่ายทำของตนมากนัก ถึงขั้นกล่าวได้ว่าเขาปล่อยให้ตนทำสิ่งที่ต้องการ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ถ่ายทำตามบทที่อีกฝ่ายเขียนทั้งหมดก็ตาม
เซี่ยนอวี๋รับผิดชอบเพียงการดูผลงานที่สำเร็จสมบูรณ์แล้วเท่านั้น
ถ้าหากพอใจกับผลงานละก็ ไม่ว่าจะเหมือนกับบทและการออกแบบของเขาหรือไม่ เซี่ยนอวี๋ก็จะยอมรับอย่างใจกว้าง
บางที
ตนไม่ควรจงเกลียดจงชังระบบนักเขียนบทเป็นแกนหลักอีกต่อไป อย่างน้อยตนก็ไม่ต้องต่อต้านการร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋ ตราบใดที่เรื่องราวทำให้เขาประทับใจมากพอ เขาย่อมไม่รังเกียจที่จะเป็น ‘เครื่องมือ’ ให้กับอีกฝ่าย
ส่วนคำตำหนิและโจมตีจากบรรดาผู้กำกับสายผู้กำกับเป็นแกนหลักน่ะหรือ?
ช่างมันปะไร
……
หลินเยวียนไม่รู้ว่าตู้อั้นคิดอะไรอยู่
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็พอใจกับตู้อั้น ไม่ใช่ว่าผู้กำกับทุกคนจะถ่ายทำชีวิตอัศจรรย์ของพายออกมาได้ดี
บทที่แตกต่างกันจะสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างกันในมือของผู้กำกับแต่ละคน
แม้ว่าหลินเยวียนจะเขียนสตอรีบอร์ดไว้ในบทแล้ว แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ความสามารถและแรงบันดาลใจของผู้กำกับระหว่างกระบวนการถ่ายทำจะนำไปสู่ผลลัพธ์ทางศิลปะที่แตกต่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับภาพยนตร์เชิงศิลปะ
ในด้านนี้อี้เฉิงกงทำออกมาได้ค่อนข้างโดดเด่น ความสามารถในการรักษาบทต้นฉบับของเขาเป็นที่ยอมรับของหลินเยวียนมาโดยตลอด
จะว่าไป
เนื่องจากความสำเร็จครั้งใหญ่ของชีวิตอัศจรรย์ของพาย กระแสความคิดเห็นของสาธารณชนบนโลกออนไลน์ที่มีต่อหลินเยวียนและรางวัลดรากอนอวอร์ดจึงเปลี่ยนไป
ในครั้งนี้ ชาวเน็ตคิดว่าเซี่ยนอวี๋จะต้องคว้ารางวัลใหญ่ในปีหน้าอย่างแน่นอน!
ชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมนโชว์!
ชีวิตอัศจรรย์ของพาย!
หากทั้งสองเรื่องคลาสสิกนี้ถูกดรากอนอวอร์ดเมินเฉย ย่อมเท่ากับเมินเฉยต่อความชื่นชอบของสาธารณชน!
ส่วนม่านรัตติกาลแม้ว่าจะดี แต่ก็ไม่ดีเท่าชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมนโชว์ในแง่ของการออกแบบ และการอุปมาก็น้อยกว่าชีวิตอัศจรรย์ของพาย ไม่ว่าอย่างไรก็อยู่ในสถานะที่น่ากระอักกระอ่วนใจ
บอกได้เพียงว่าเมื่อเทพเซียนเปิดต่อสู้กัน ย่อมมีผู้แพ้และผู้ชนะ
สำหรับประเด็นนี้ หลินเยวียนทำได้เพียงรอผลที่ตามมาโดยไม่ต้องคิดมากให้ปวดหัว
เขายังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ
ตัวอย่างเช่น นินจาจอมคาถาเวอร์ชันแอนิเมชันได้เริ่มต้นผลิตแล้ว
นี่เป็นครั้งที่สองที่สตาร์ไลท์ได้เปิดตัวแอนิเมชันเรื่องใหม่ต่อจากสแลมดังก์ เมื่อพิจารณาถึงความนิยมของการ์ตูนต้นฉบับ โลกภายนอกจึงมีความคาดหวังสูงต่อแอนิเมชันเรื่องนี้
รวมไปถึงราชาจอมสลัดก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการผลิตเช่นกัน
นอกจากนั้น
นักเรียนประถมแห่งความตายเวอร์ชันแอนิเมชันก็น่าจะออกฉายในเวลาไม่นาน
หลังจากที่ประธานกรรมการล่วงรู้ถึงตัวตนอิ่งจือของหลินเยวียน บริษัทก็ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับแผนกแอนิเมชัน
เป็นเช่นนี้ต่อไป
จนกระทั่งถึงกลางเดือน
ช่วงเวลาเหล่านี้มีเรื่องตื่นเต้นมากมาย
เช่น มหกรรมกีฬาบลูเกมส์จัดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ ภาพยนตร์เรื่องชีวิตอัศจรรย์ของพายได้รับความนิยม ทั้งยังมีผีเสื้อรักบุปผาของฉู่ขวงและอี้อันซึ่งทำให้สื่อประโคมข่าวกันอย่างคึกคึกคักในช่วงเวลาหนึ่งอีก
ประเด็นร้อนสองสองประเด็นหลังนั้นเกี่ยวข้องกับหลินเยวียน
ในวันนี้
หลินเยวียนนั่งรถมุ่งหน้าไปยังบริษัทตามปกติ ผ่านไปครึ่งทางเขาก็พบว่ารถหยุดลง
“รถติดเหรอครับ?”
หลินเยวียนเงยหน้าขึ้นมองไปยังด้านหน้าซึ่งมีรถยนต์แน่นขนัด
“ใช่ครับ ตัวแทนหลิน วันนี้พวกเราต้องอ้อม เพราะถนนซีชุนปิดถนนชั่วคราว”
หลี่ปิงหวังซึ่งเป็นคนขับรถควบตำแหน่งบอดีการ์ดตอบ
หลินเยวียนไม่ได้ใส่ใจ เพียงแต่เอ่ยตามอย่างสบายๆ
“ซ่อมถนน?”
“ไม่ใช่ครับ สอบเข้ามหาวิทยาลัย”
“สอบเข้ามหาวิทยาลัย?”
หลินเยวียนตะลึง ช่วงเวลาในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยบนบลูสตาร์และบนโลกนั้นแตกต่างกัน
หลี่ปิงหวังเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ดูท่าในครอบครัวของตัวแทนหลินคงไม่มีเด็กที่สอบเข้ามหาวิทยาลัย หลานชายผมสอบวันนี้ ถึงจะอ้อม แต่พวกเราก็ยังถูกห้ามไม่ให้บีบแตรด้วย เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อการสอบของเด็กๆ ครับ”
หลังจากเป็นคนขับรถให้หลินเยวียนมานาน เขาก็สามารถคุยกับหลินเยวียนได้แล้ว
“ควรเป็นแบบนั้นครับ”
หลินเยวียนไม่ได้บ่น เขาไม่มีเรื่องเร่งด่วนต้องสะสาง ต่อให้เขาเดินทางถึงบริษัทตอนเที่ยงก็ไม่มีใครพูดอะไร
ไปได้ก็ดีแล้ว
ที่จริงแล้วรถไม่ได้ติดนานนัก หลินเยวียนเดินทางมาถึงบริษัทช้ากว่าปกติประมาณหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
และในเวลานี้
ไม่มีใครรู้
ว่าขณะนี้ นักเรียนในสนามสอบแต่ละแห่งในฉินโจวนั้นกำลังประสบกับความทุกข์ทรมานมากแค่ไหน
หลินเยวียนเองก็ไม่รู้
ว่าความทุกข์ทรมานของเหล่านักเรียนซึ่งกำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นมีต้นเหตุมาจากเขา
……
หลี่ไหวเป็นนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง
วันนี้คือวันที่เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัย
วิชาแรกในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยคือวิชาภาษา
ในฐานะนักเรียนที่ดีอย่างหลี่ไหวซึ่งอุทิศตนให้กับการเรียน เขามักไม่เล่นอินเทอร์เน็ต ไม่เล่นเกม ต่อให้ท่องอินเทอร์เน็ตบ้างเป็นครั้งคราว ก็เพื่อค้นหาข้อมูลในการเรียน
ข่าวเดียวที่เขาติดตามในระยะนี้คือมหกรรมกีฬาบลูเกมส์
เนื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของบลูสตาร์ จึงมีคำถามซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงต้องทำความเข้าใจสักหน่อย
เขามั่นใจกับการสอบในครั้งนี้มาก!
ในความเป็นจริง
นักเรียนที่ดีเช่นนี้ ย่อมสามารถทำคะแนนสอบได้ดี ตราบใดที่พวกเขาไม่วิตกกังวล
หลังจากที่หลี่ไหวได้รับกระดาษข้อสอบวิชาภาษา เขาสามารถทำได้ดีจริงๆ
อย่างไรก็ตาม
เมื่อทำข้อสอบมาถึงส่วนของเข้าใจในการอ่าน จู่ๆ หลี่ไหวก็สับสนขึ้นมา
คำถามในส่วนของข้อสอบความเข้าใจในการอ่านในปีนี้คือกวีนิพนธ์สือ ชื่อของประเภทกวีนิพนธ์นี้คือ ‘ผีเสื้อรักบุปผา’!
หลี่ไหวท่องจำผีเสื้อรักบุปผาได้ห้าบทเต็มๆ ตามหลักแล้วพาร์ทความเข้าใจในการอ่านจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา!
หากใช้คำพูดของครูวิชาภาษา นี่เรียกว่าข้อสอบแจกแต้ม!
แต่ถึงกระนั้น
สิ่งที่ทำให้หลี่ไหวสับสนก็คือ เขาไม่เคยได้ยินหรือได้อ่านผีเสื้อรักบุปผาบทตรงหน้ามาก่อน!
ยืนเคียงหอสูงลมโชยเบา ทอดมองสุดสายตา วสันตฤดูอาดูรคืออะไร…
……อาภรณ์หลวมโพรกมิเสียดาย เพื่อเจ้าข้าผ่ายผอมยอมอิดโรยคืออะไร…
กวีนิพนธ์สือบทนี้เขียนได้ดีมาก!
ความสามารถในการซาบซึ้งและชื่นชมบทกวีของหลี่ไหวนั้นไม่ได้แย่ และเขาสัมผัสได้ถึงความปราดเปรื่องของบทกวีนี้อย่างรวดเร็ว ทว่าสิ่งที่น่าแปลกคือ
บทกวีที่ดีขนาดนี้ ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
และสิ่งที่ทำให้หลี่ไหวสงสัยใจชีวิตมากยิ่งกว่าเดิมก็คือคำถามแรกในพาร์ทความเข้าใจในการอ่าน
[จงถอดความบทกวีนี้เป็นภาษาสามัญ!]
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้อ่านบทกวีนี้ เข้าใจเนื้อหาก็แค่บางส่วน!
คำถามที่สอง
[จงวิเคราะห์ อาภรณ์หลวมโพรกมิเสียดาย เพื่อเจ้าข้าผ่ายผอมยอมอิดโรย]
บ้าไปแล้ว ใครคิดคำถามฟระ!
คำถามที่สาม
[กวีถ่ายทอดคิดและความรู้สึกอย่างไรผ่านกวีนิพนธ์สือบทนี้]
อย่าถาม ถามก็คือสมองฉันไหลกลับบ้านไปแล้ว!
ถึงแม้ต่อจากนั้นจะยังมี คำถามอีก ทว่าสมองของหลี่ไหวหยุดชะงักเสียแล้ว
บ้าชะมัด!
นี่มันบทกวีจากที่ไหนฟระเนี่ย เขียนได้ดีขนาดนี้ แต่เขากลับไม่เคยได้ยินมาก่อน
บทกวีนี้ยากเกินไป ฉันทำไม่ได้หรอก!
หลี่ไหวมีความเข้าใจต่อผลงานที่เขาเคยศึกษามาเป็นอย่างดี แต่เมื่อผลงานที่ไม่เคยอ่านมาก่อนจึงรู้สึกยากเย็นเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกวีนิพนธ์สือรูปแบบโบราณเช่นนี้
ช่วยไม่ได้
เขาทำได้เพียงกัดฟัน ตอบไปตามที่ตนเองคิด
ในเวลาเดียวกัน
นักเรียนคนอื่นๆ ในสนามสอบก็มีสีหน้าแปลกไปเช่นกัน
ไม่ใช่ทุกคนที่ปิดหูปิดตาเช่นหลี่ไหว บางคนเคยอ่านบทกวีนี้บนโลกออนไลน์ และรู้ว่าผู้ประพันธ์บทกวีนี้คือฉู่ขวง
แต่ปัญหาคือ…
เคยอ่านแล้วอย่างไรล่ะ?
ใครจะไปรู้ว่าบทกวีของฉู่ขวงถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกอย่างไร
ใครจะไปรู้ว่าจะแปลกวีนิพนธ์สืออกมาอย่างไร
หลังจากหลี่ไหวสอบวิชาภาษาเสร็จ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองตอบบ้าอะไรลงไปในข้อสอบความเข้าใจในการอ่าน กลับเป็นการล้อมวงพูดคุยระหว่างช่วงเวลาพักสั้นๆ ที่ทำให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับบทกวีนี้
“พาร์ทความเข้าใจในการอ่านใช้กวีนิพนธ์สือของฉู่ขวง!”
“ให้ตายเถอะ คนเขียนคือเจ้าแก่ฉู่ขวงเองเหรอ!?”
“เชี่ย ฉู่ขวงว่างจนต้องเขียนบทกวีบ้านี่เลยเหรอ!”
“วงการวรรณกรรมเกิดหายนะแบบนี้ได้ไง!”
“กวีนิพนธ์สือนี้ฉู่ขวงเพิ่งเขียนขึ้นมา ข้อสอบเข้ามหา’ลัยมีคำถามบ้าๆ นี้ขึ้นมากจากเหตุการณ์สั้นๆ ไหนบอกว่าออกข้อสอบไว้ล่วงหน้าหลายเดือน?!”
“ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหันแน่ๆ !”
“ถ้าข้อสอบพาร์ทความเข้าใจในการอ่านถามเกี่ยวกับยอดนักสืบโฮล์มส์ละก็ ฉันผ่านฉลุยแน่นอน!”
“ทำไมไม่บอกว่าจะทดสอบความรู้เรื่องคนขุดสุสานล่ะ!”
“ครั้งนี้โดนเจ้าแก่ฉู่ขวงเล่นงานหนักมาก เกลียดจริงๆ !”
“เขาเริ่มสร้างหายนะในการสอบแล้ว ถ้าเจ้าแก่ฉู่ขวงไม่ตายจะต้องเผชิญกับความวิบัติ!”
“ให้ตายสิ เจ้าแก่ฉู่ขวงทำร้ายนักเรียนจริงๆ ฉันถูกหมอนี่ทรมานจนปางตาย อ่านนิยายของเขาจนไม่มีเวลาทำการบ้าน เขายังมาเขียนบทกวียากๆ ให้ฉันสอบอีกเนี่ยนะ!”
“…”
ในสนามสอบ!
นักเรียนต่างก่นด่าเจ้าแก่ฉู่ขวง!
หลี่ไหวก็ก่นด่าเช่นเดียวกัน
ใครบอกว่านักเรียนที่ดีจะด่าคนไม่ได้!
แม้ว่าหลี่ไหวจะไม่เคยอ่านผลงานใดของฉู่ขวงเลย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นนักเรียนที่ไม่อ่านหนังสืออื่นนอกเหนือจากตำราเรียน
ด่ากันไปหนึ่งยก!!
นักเรียนต่างโอดครวญถึงความทุกข์ยากในการสอบ!
……
อีกด้านหนึ่ง
คณะกรรมการผู้ออกข้อสอบความเข้าใจใจการอ่านสำหรับการสอบวิชาภาษาเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยในฉินโจว ครูหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องรวมตัวเพื่อพูดคุยกัน
““ฮ่าๆ ทีนี้ฉู่ขวงก็ถูกนักเรียนเกลียดเข้ากระดูกดำเลยล่ะสิ”
“ช่วยไม่ได้ ใครให้คนเขียนผลงานในข้อสอบความเข้าใจในการอ่านก่อนหน้านี้เกิดเรื่องล่ะ”
“คนเขียนเจ้ากรรมแทนที่จะเกิดเรื่องก่อนหรือหลังสอบ ดันมามีเรื่องตอนที่การสอบเข้ามหา’ลัยกำลังจะเริ่ม ทำให้เราต้องเปลี่ยนข้อสอบ”
“นั่นสิ ใช้ผลงานเขาแล้วเกิดกระทบที่ร้ายแรงมาก”
“กวีนิพนธ์สือบทนี้ใหม่เกินไป ยากสำหรับนักเรียน”
“การสอบนั้นยุติธรรมแล้ว เพราะนักเรียนฉินโจวต้องเจอกับข้อสอบที่ยากเหมือนกัน”
“…”
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน
ข่าวเกี่ยวกับบทกวีผีเสื้อรักบุปผาซึ่งกลายเป็นข้อสอบก็แพร่สะพัดออกไปในที่สุด…