Everyone Else is a Returnee โดดเดี่ยว 1000 ปี - ตอนที่ 289
บทที่ 289 – เตรียมตัว (7)
“…หือ?”
เลียร่าได้ผงะไป ส่วนยูอิลฮานได้หยักไหล่ตอบกลับมา
“ฉันบอกว่าดูเหมือนเทพเจ้า(เปลื่ยนจากพระเจ้าเป็นเทพเจ้า)จะทิ้งบ้านเขาไปแล้วไงล่ะ”
“เทพเจ้าจากที่ไหน?”
“จากสวรรค์ไง”
“ไปไหนล่ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้สึก เรื่องนี้รามิเอลก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เลียร่าดูจะต้องใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนเอิลต้าเธอดูเหมือนจะพอรู้เรื่องนี้แล้ว และเฮเรียน่าก็แค่ยิ้มอ่อนออกมา
“เมื่อไหร่กันล่ะ?”
และเลียร่าก็ได้ถามออกมา นี่น่าจะเป็นคำถามที่สำคัญที่สุดแล้ว ยูอิลฮานได้ตอบกลับไปด้วยสีหน้าแปลกๆ
“ก่อนหน้าที่กองทัพจรัสแสงจะถูกตั้งขึ้นไม่นานนัก”
“นั่นมันเมื่อยุคก่อนเลยนะ!”
เลียร่าได้แต่ร้องออกมา
“นั่นมันก่อนที่ฉันจะเกิดอีกนะ! แถมอาจจะก่อนที่มนุษยชาติบนโลกนายจะเกิดด้วยซ้ำไป!”
“ก็เพราะเป็นเทพเจ้านั่นแหละ เหมือนเขาจะคาดเอาไว้แล้วว่ากองทัพสวรรค์จะทำไปตามแนวทางของเขา ไม่สิ บางทีมันอาจจะเป็นการแข่งขันกันของพวกระดับสูงก็ได้ หรืออาจจะน่าทึ่งยิ่งกว่านั้น”
“นี่ฉันไม่รู้แล้วสิว่าจะต้องตกใจต้องไหนกัน! อ๊าาา นี่ฉันรู้สึกเหมือนเป็นไอโง่ ที่โครตโง่เลยอะ ฮือออ”
“นั่นไง ฉันก็คิดไว้แล้วว่าเธอคงจะรู้สึกเศร้า”
ในท้ายที่สุดเลียร่าก็ได้แต่ร้องไห้ออกมาในอ้อมแขนของยูอิลฮาน ยูอิลฮานก็เข้าใจเธอเช่นกัน และเขาก็ยังพอจะเข้าใจเหล่าคนที่แปรพักตร์มาจากกองทัพสวรรค์เช่นกัน
“ฟู่”
เอิลต้าได้มองไปที่เลียร่าอย่างอิจฉา แต่เธอก็ยังถอนหายใจออกมา
“เพราะการขาดเทพเจ้าทำให้มีคนทรยศสวรรค์เกิดขึ้นมามากมายสินะ? พอมาลองคิดดูแล้วการที่กองทัพจรัสแสงได้ควบคุมส่วนสำคัญของกองทัพสวรรค์ไปแล้วนี่มันน่ากลัวมาก…”
[แต่ว่ากองทัพสวรรค์ก็ได้ขอให้จอมเวทย์หญิงคนนั้นกับที่รักไปสร้างประตูมิติเชื่อมไปที่ฐานทัพหลักของกองทัพจรัสแสง หากกองทัพจรัสแสงได้ควบคุมกองกำลังหลักของสวรรค์ไปแล้ว พวกเขาก็คงไม่ใช้วิธีทำลายตัวเองแบบนี้แน่]
“บางทีกองทัพสวรรค์อาจจะถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายไปนานแล้ว แต่แค่ว่าพวกทูตสวรรค์ที่มีระดับชั้นที่ต่ำลงมาไม่เคยรู้เท่านั้นเอง ถ้ามันเป็นแบบนี้สิ่งที่พวกเราทำไปจนถึงตอนนี้มันอะไรกัน…”
[ฟุฟุ]
เอิลต้าได้สูดหายใจลึกเข้าไป ยังไงก็ตามท่าทางของเฮเรียน่ากลับสดใสออกมา
[นี่มันน่าสนใจมากเลยนะ เพราะการที่ประตูมิติสู่โลกเบื้องล่างได้ถูเปิดขึ้นในวันนั้นทำให้กองทัพจรัสแสงได้ถูกทุกๆกองกำลังบุกเข้าไปโจมตี กองทัพสวรรค์ก็จะได้มีเวลาพักหายใจ… ถ้ามองในแง่ดีก็คือกองทัพสวรรค์ได้ถูกที่รักช่วยเอาไว้เชียวนะ]
“…นี่มันทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย”
นี่มันราวกับว่ายูอิลฮานกำลังวิ่งอยู่บนฝ่ามือของเทพเจ้าอยู่ตลอดเวลา แถมยังเป็นเทพเจ้าที่ทิ้งที่อยู่ตัวเองไปด้วย! ยังไงก็ตามเฮเรียน่าได้หัวเราะออกมาและตอบกลับมาในแง่ดี
[ที่รักยังไม่รู้งั้นหรอ? ราชันแห่งกองทัพสวรรค์น่ะไม่ได้เป็นทั้งผู้รอบรู้หรือควบคุมทุกๆอย่างนะ หากว่าเขาเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างอยู่แล้วเขาก็คงไม่จำเป็นต้องสร้างกองทัพสวรรค์แบบนี้แล้ว แถมก็ยังจะไม่มีคนทรยศด้วย รวมถึงจะไม่มีกองกำลังอื่นๆขึ้นมาอีก เพราะแบบนี้ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอกนะ บางทีอาจจะมีคนทำนายการเกิดและพัฒนาของที่รักได้ แต่ว่าไม่มีใครที่จะรู้เส้นทางที่แท้จริงที่ที่รักเลือกเดินได้ล่ะ สิ่งนั้นมันขึ้นอยู่กับตัวที่รักเอง จริงไหมล่ะ?]
“…ก็ใช่ ก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ”
เฮเรียน่าอาจจะพูดถูกก็ได้ คำพูดที่หนักแน่นของเธอได้ทำให้ยูอิลฮานโล่งใจขึ้นมา ยูอิลฮานได้รู้สึกยินดีแบบฝืนๆที่เธอได้ปลอบเขาด้วยคำที่เขากำลังต้องการที่สุดในตอนนี้
ยูอิลฮานเขาได้หวาดกลัวอารมณ์ของเขาที่มีต่อเธอที่เปลื่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ราชินีซัคคิวบัสคือตัวตนที่ยิ่งใหญ่แน่นอน เธอได้บรรลุในบางอย่างที่ถึงขนาดส่งผลต่อสกิลหัวใจไม่สั่นคลอนของเขาแล้ว
เลียร่าที่พอจะเข้าใจสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ได้ถามออกมาด้วยสายตาเป็นกังวล
“…แล้วอิลฮาน นับจากนี้นายจะเอายังไงต่อ”
“อืมม ฉันคงจะต้องใช้เวลาคิดก่อนล่ะมั้ง”
ยูอิลฮานได้กุมขยับขึ้นมา ยังไงก็ตามนับตั้งแต่ที่เขาได้ฆ่ารามิเอลและดูดบันทึกไป สิ่งที่เขาจะต้องทำต่อจากนี้ก็ดูจะถูกบังคับเอาไว้แล้ว
“ฉันคงจะต้องหยุดการโจมตีกองทัพสวรรค์ไปซักพัก แล้วดูเหมือนฉันจะต้องแก้ไขในปัญหาเรื่องกองทัพจรัสแสงก่อน”
เมื่อได้ยินยูอิลฮานพูดคำว่า ‘แก้ไข’ ในเรื่องของทั้งกองกำลังได้ทำให้เลียร่าต้องหัวเราะออกมา
“อิลฮาน นายนี่เอาใหญ่แล้วนะ”
“จากจุดที่กองทัพสวรรค์กับกองทัพจรัสแสงได้ใช้ฉันเป็นเครื่องมือ ฉันก็มีความแค้นกับคนพวกนี้แล้ว แต่ว่าถ้าฉันโจมตีกองทัพสวรรค์ต่อไปกองทัพสวรรค์ก็อาจจะถูกกองทัพจรัสแสงกลืนกินไปก็ได้ นั่นมันไม่ใช่เรื่องดีเลย”
ดวงตาของยูอิลฮานได้กลายเป็นหลุมลึกลงไป ผมของเขาได้ยิดยาวออกมาจากภายในหมวกและปล่อยความร้อนออกมา ผมของเขาตอนนี้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงที่แสดงอารมณ์ของเขาในเวลานี้ออกมา นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าเขากำลังหลุดพ้นไปจากหลักของฟิสิกส์อย่างช้าๆแล้ว
“ถ้าฉันโจมตีกองทัพสวรรค์ในตอนนี้ มันก็มีแต่จะเป็นการทำให้พวกเขากลายไปเป็นเทวดาตกสวรรค์ ต่อให้พวกกองทัพสวรรค์จะเป็นพวกที่อันตรายที่สุดก็เถอะนะ…”
[ถ้างั้นตอนนี้เราก็เลยกำลังจะไปโจมตีกองทัพจรัสแสงเลยสินะ?]
“ไม่หรอก ฉันจะต้องกำจัดคนทรยศในกองทัพสวรรค์ออกไปก่อน ต่อจากนั้นค่อยถึงตาของกองทัพจรัสแสง”
[ที่รักนี่คุณ…]
เฮเรียน่าที่รู้สึกถึงความมั่นใจในคำพูดของยูอิลฮานได้ เธอได้หรี่ตาถามเขาออกมา
[…ตอนนี้ที่รักมองออกว่าใครทรยศกองทัพสวรรค์แล้วงั้นสินะ? ก่อนที่คนพวกนั้นจะเผยตัวเนี้ยนะ?]
“ใช่แล้ว”
[…เจ๋งมาก]
เลียร่ากับเอิลต้าได้ตะโกนออกมาอย่างตกตะลึงทันที
“ได้ยังไงกัน!?”
“มันเป็นไปได้ด้วยงั้นหรอ?”
“ฉันก็คิดว่าผู้นำของแต่ล่ะกองกำลังก็น่าจะแยกออกเหมือนกัน แต่ว่าไม่มีใครสนใจ และไม่ว่ายังไงในเมื่อฉันทำมันได้ ฉันก็บอกได้แค่ว่าทำได้นั่นแหละ”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับไปในทันทีที่จัดการโลกใบนี้เสร็จแล้ว เขายังคงอยู่บนหลังของยูมิล การสอดประสานลมหายใจของทั้งสองคนได้จัดการกับมานาของโลกใบนี้ ทั้งกลุ่มของยูอิลฮานได้มองพร้อมทั้งคิดว่าทั้งสองคนที่ต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างเงียบๆ
และพวกเขาก็ต่างไปจากเมื่อก่อนจิรงๆ
‘ฉันรู้สึกเหมือนฉันพอจะมองเห็นปลายทางนิดๆแล้วสิ’
หลังจากสู้กับรามิเอล ยูอิลฮานรู้สึกว่าอีกไม่นานแล้วที่เขาจะได้ไปถึงขอบเขตของสิ่งมีชีวิตชั้นสูง จากการคาดเดาของเขา เขาคิดว่าเขาน่าจะกลายไปเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้เมื่อเขาเชี่ยวชาญสกิลจ้าวมิติกับสกิลบันทึก
“แต่การจัดการ’องค์กร’ สำหรับฉันแล้วมันคือคำที่แย่สุดๆ…”
“ลูกไม่คิดว่าลูกคิดไกลไปหน่อยหรอลูกแม่?”
“…ผมก็ว่างั้นแหละครับ”
ยูอิลฮานได้ตอบแม่ของเขาไปด้วยรอยยิ้มแห้งๆ และมองดูกองกำลังบนป้อมปราการทั้งสอง จากนั้นเขาก็หยักหน้าอย่างพึงพอใจและมองไปที่คังมิเรย์
“มิเรย์ ฉันมีเรื่องจะขอเธอ”
“อ่า”
คังมิเรย์ได้แสดงสีหน้าหมดแรงขึ้นมาเมื่อเธอเดาได้ว่ายูอิลฮานกำลังจะพูดอะไรออกมา
“นายจะบอกว่านายอยากจะแบ่งกองกำลังอีกแล้วใช่ไหม! นายจะโหดร้ายไปแล้วนะ!”
“ฉันขอโทษนะ แต่ว่าป้อมปราการทั้งสองไม่จำเป็นที่จะต้องเอาไปฆ่าคนทรยศด้วย เพราะงั้นคังมิเรย์ เธอช่วยไปที่โลกระดับสูงที่อื่นๆที่เป็นของกองทัพปีศาจวิบัติ สวนอาทิตย์อัสดง แล้วก็กองทัพจรัสแสงทีนะ ตอนนี้ฉันจะส่งพิกัดให้กับเธอ เธอจะได้เดินทางได้อย่างราบรื่นโดยไม่ติดขัดใดๆ”
“นายมันโหดร้ายไปแล้ว นายเอาแต่ทำเรื่องอันตรายคนเดียวอยู่เสมอเลย…”
สายตาของคังมิเรย์ได้เต็มไปด้วยความกังวล ยูอิลฮานได้ปล่อยเลียร่าที่เกาะแขนเขาอยู่ออกไป จากนั้นก็ไปอยู่ข้างหน้าคังมิเรย์หลังจากกระโดดลงมาจากหลังยูมิล
“ขอร้องล่ะ เรื่องนี้ฉันจะทำสะเพร่าไม่ได้”
“อ๊า”
เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ขึงขังพร้อมกับจับมือของเธอ เมื่อคังมิเรย์ได้เจอกับดวงตาที่มีแสงแดงเข้มของยูอิลฮาน เธอก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว จะให้เธอปฏิเสธได้ยังไงกันล่ะ? คนๆนี้ชั่วร้ายจริงๆ
“…โอเค แต่ว่าถ้านายบาดเจ็บฉันจะโกรธนายจริงๆแน่”
“เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า ฉันไม่บาดเจ็บอีกต่อไปแล้ว”
“จริง… กรี๊ดดด”
เมื่อเธอตอบรับกลับมายูอิลฮานได้ส่งบันทึกให้กับเธอในทันที การส่งบันทึกไปให้คนอื่นคือส่วนหนึ่งของพลังบันทึก คังมิเรย์ได้ตกใจกับบันทึกใหม่ๆที่ฝังลงมาในหัวของเธอ แต่ว่าเธอก็กัดฟันทนรับมันทั้งหมดเอาไว้
“…ฟู่”
“จบแล้หรอ?”
“ใช่แล้ว ฉันปวดหัวนิดๆแต่ก็… เสร็จแล้วล่ะ”
บันทึกพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆก็รับได้ ที่เธอรับเอาไว้ได้อาจจะเพราะว่าเธอก็ได้เป็นผู้ใช้เวทย์มิติไปแล้ว แน่นอนว่ารัดเกล้าระดับเทพเจ้าบนหัวของเธอก็น่าจะมีส่วนช่วยด้วยเช่นกัน
“ดีล่ะ ขอบคุณนะ”
ยูอิลฮานได้จับมือของเธออีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะก้าวออกไป เขาได้ตัดสินใจที่จะทำเป็นมองไม่เป็นสีหน้าที่ผิดหวังของคังมิเรย์ และหันไปพูดกับเฮเรียน่าที่กำลังมองมาที่เขา
“เฮเรียน่า เธอช่วยปกป้องทุกคนทีนะ”
[…โอ้?]
เฮเรียน่าได้ตอบสนองกลับมาในทันที ดวงตาของเธอกำลังยิ้มออกมา
[นี่ที่รักกำลังจะทิ้งฉันเอาไว้กับเด็กๆพวกนี้?]
“ในเมื่อเธอถูกผูกด้วยสกิลปกครองทำให้เธอทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”
[แต่ไม่ใช่ว่าที่รักกังวลมาตลอดหรอกหรอ?]
เฮเรียน่าได้จับจุดสำคัญออกมา ยูอิลฮานได้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเผยเหตุผลที่แท้จริงออกมา
“..ฉันจำเป็นต้องให้มีใครสักคนปกป้องทุกๆคน”
[ฟุฟุ]
“ฮึ่ม”
ยูอิลฮานไม่ชอบที่เฮเรียน่าทำเหมือนกับรู้ทุกๆอย่างเกี่ยวกับเขาเลย ดวงตาที่อบอุ่นของเธอมันทำให้เขาไม่สบายใจเลยสักนิด ยิ่งเห็นเธอดูมีความสุขแบบนี้เขายิ่งรู้สึกหงุดหงิด
“เลียร่า มิล ไปกันเถอะ”
“มันต้องแบบนี้สิ!”
[เข้าใจแล้วครับพ่อ!]
เลียร่าคือคนที่เขาไว้ใจที่สุดในชีวิตนี้ และยูมิลก็คือคู่หูของเขาที่จะเป็นคนมอบเส้นทางในการเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง นับจากนี้แค่มีสองคนนี้ก็พอแล้ว
“แบร่ แบร่!!!”
“ฉันสาบานเลยว่าฉันจะ…”
“ในนามของท่านหญิงเรย์น่า ฉันขอภาวนาให้เธอเป็นโรคริดสีดวง”
“เอาอีกแล้ว เธอนี่น่าอายจริงๆ”
“โอ๊ย”
ยูอิลฮานได้ดีดหน้าผากเลียร่าที่กำลังล้อเลียนคนอื่นๆอยู่และกระโดดขึ้นไปบนหลังยูมิลอีกครั้งหนึ่ง
“ถ้างั้นไว้เจอกันนะ”
“ติดต่อมาหาเราบ่อยๆด้วยนะลูกแม่!”
“ได้ครับแม่”
เขาได้โบกมือให้กับคนอื่นๆและเปิดใช้สกิลข้ามมิติขึ้นมาในทันที เขาเลือกที่จะตามรอยคนทรยศจากบันทึกที่ได้มาจากรามิเอล
[สกิลข้ามมิติได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 66]
“ไวน์ป้า… นี่เป็นโลกที่ใหญ่น่าดูเลยนะอิลฮาน”
“ฉันก็พอรู้อยู่”
“จริงด้วย ฉันก็เคยอยู่ที่นี่มานานเหมือนกัน นี่คือโลกสำคัญที่ได้ผ่านมหาภัยพิบัติขั้นที่ 6 มาแล้ด้วนะ… อย่าบอกนะว่า?”
“ใช่แล้ว คนทรยศอยู่ที่นี่แหละ”
ยูอิลฮานได้สร้างหอกเพลิงขึ้นมาและโยนออกไปอย่างไม่ลังเล หอกของเขาได้พุ่งออกไปอย่างรุนแรงจนหายไปจากระยะสายตา จากนั้นก็มีข้อความปรากฏขึ้นมา
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
[คุณได้รับบันทึกมิต้าเลเวล 366]
“เยี่ยม ร่วงไปหนึ่ง”
เลียร่าได้ตกตะลึงกับคำพูดนี้ของเขา
“นายฆ่าเขาแล้ว? แค่โยนหอกออกไปง่ายๆเนี้ยนะ?”
“มันง่ายตรงไหนกัน หอกนั่นมันคือการโจมตีสุดพลังด้วยความแม่นยำสมบูรณ์เลยนะ”
“ฉันยอมรับไม่ได้”
ในไม่ช้าอีกด้านหนึ่งของโลกก็ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา นี่มันอาจจะไม่ใช่เพราะทูตสวรรค์ตาย แต่ว่ามันเป็นเพราะทูตสวรรค์นั่นเป็นคนทรยศต่างหาก เลียร่าได้หลั่งเหงื่อเย็นออกมา
“เรากำลังจะไปโลกอื่นต่อแล้วงั้นหรอ?”
“ไม่”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับมาอย่างใจเย็นและโยนหอกออกไปอีกครั้งหนึ่ง หอกของเขาได้พุ่งออกไปเสียบหัวใจของคนทรยศในทันทีจนทำให้เลียร่าต้องตัวแข็งทื่อ
“…นี่มีคนทรยศมากแค่ไหนกันเนี้ย?”
“รอดูให้ดีนะเลียร่า”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับไปพร้อมสร้างหอกขึ้นมาอีกสามเล่ม
“ฉันจะแสดงให้เธอได้เห็นถึงความเน่าเฟะของกองทัพสวรรค์ที่มากกว่าที่เธอคิดอีก”
หอกทั้งสามเล่มที่ถูกขว้างออกไปได้ฆ่าคนทรยศไปอีกสามคน ในตอนนี้ทูตสวรรค์ทุกๆคนที่อยู่ในไวน์ป้าไดรู้แล้วว่ามีใครสักคนกำลังจัดการลงโทษคนทรยศ
[อ๊า!?]
[นี่มัน…]
[พระเจ้า]
คนทรยศต่างก็ตัวสั่นออกมา แต่ว่าพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะหากพวกเขาทำอะไรแปลกๆก็จะถูกทูตสวรรค์เข้าโจมตีทันที ยูอิลฮานได้จัดการฆ่าคนทรยศไปทีล่ะคนโดยไม่พลาดแม้แต่คนเดียว เลือดสีเทาได้กระจายออกไปทั่วทั้งท้องฟ้า
[คนทรยศ… มีคนทรยศมากขนาดนี้เลย]
[ใครกัน? ใครกันที่เป็นคนทำการลงโทษครั้งนี้!]
[เป็นสี่ยอดเทวทูตงั้นหรอ…?]
[นับจากนี้อย่าขยับ! ใครที่ขยับจะถูกนับว่าเป็นคนทรยศ!]
รากลึกที่กองทัพจรัสแสงได้ฝังเอาไว้ได้ถูกถอนรากถอนโคนออกมาทีล่ะอัน