Everyone Else is a Returnee โดดเดี่ยว 1000 ปี - ตอนที่ 325
บทที่ 325 – วันสิ้นโลก (1)
แม้ว่าจะมีคำพูดที่ว่าชีวิตไม่ได้เป็นไปตามที่คิดเสมอ แต่ว่าทำไมเขาถึงมารู้เรื่องเอาในตอนที่เกิดอะไรขึ้นกันนะ? ทุกๆครั้งเลยด้วย
และในคราวนี้เขาก็เจอกับเรื่องนี้อย่างหนักอีกแล้ว เขากำลังผ่อนคลายกับความคิดที่ว่าในที่สุดเขาก็สามารถยืนหยัดได้ด้วยกองกำลังตัวเองแล้ว แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้น
ทำไมซาตานกับพระเจ้าถึงได้ร่วมมือกันล่ะ? ทำไมซาตานถึงได้ไปช่วยพระเจ้าทั้งๆที่ตัวซาตานเองก็เป็นคนที่ร่วมมือกับเทวทูตคนอื่นๆขับไล่พระเจ้าออกไปจากสวรรค์ ทำไมเจ้าหมอนี่มันถึงได้เปลื่ยนข้างกระทันหันแบบนี้ แถมตอนนี้พ่อกับแม่เขาก็อยู่ที่นั่นด้วย เขาจะต้องทำยังไงดีล่ะ
“ไม่สิ นี่ไม่ดีแล้ว ฉันจะต้องใจเย็นกว่านี้”
“ยูอิลฮานแผ่นดินไหวที่ดาเรย์ในตอนนี้มันเพราะนายงั้นหรอ? ฉันเข้าใจนะว่านายกังวลแต่ช่วยหยุดสั่นได้แล้ว”
“กะ กาเบรีบล… ทำยังไงดี? มันไม่มีทางที่กาเบรียลจะเผชิญหน้าทั้งกับพระเจ้าและซาตานพร้อมๆกันได้แน่… กาเบรียล…”
“เฮ้ ตรงนั้นก็มีอีกคนที่ขากำลังสั่นอยู่”
ยูอิลฮานได้ตกสู่ห้วงความคิดโดยไม่สนใจเสียงรอบข้างเลย กองทัพสวรรค์ กองทัพปีศาจวิบัติ กองทัพจรัสแสงแล้วก็สวนอาทิตย์อัสดง ในตอนนี้เขารู้ถึงสภาพของทั้งสี่กองกำลังนี้แล้ว เขาจะต้องทำยังไงถึงจะอยู่ในจุดที่ได้เปรียบที่สุดกัน่ะ? เขาจะต้องทำให้พ่อกับแม่ปลอดภัยงั้นหรอ?
ในตอนนี้เองได้มีคความคิดที่น่าทึ่งเข้ามาในหัวของเขา
ไม่ใช่แค่เขาจะช่วยพ่อกับแม่ได้เท่านั้น แต่เขาก็น่าจะได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในสงครามนี้อีกด้วย นี่เป็นความคิดที่น่าเหลือเชื่อและบ้ามากๆ
“พ่อ พ่อจะทนได้นานแค่ไหน?”
[น่าจะประมาณสองวันล่ะมั้ง]
“อืมม… นั่นก็เกือบจะไม่ทัน”
[นี่คือขีดจำกัดที่จะสู้กับเจ้าพวกนี้ได้แล้ว! ลูกก็รู้นี่ว่าสิ่งที่พ่อเชี่ยวชาญก็คือการชะลอเวลานะ อิลฮานรู้น่าอาจจะไม่รู้ตัวนะ แต่รู้ก็มีพรสวรรค์นั่นเหมือนกัน]
แน่นอนว่าเขารู้ดีเลย เพราะพลังในการชะลอเวลาของพ่อนั่นมันทำให้เขาต้องใช้เวลาบนโลกถึงพันปี! จริงๆแล้วเขาก็ยังสามารถจะใช้วงเวทย์ที่เขาทำขึ้นบนโลกจากการช่วยของแม่เขาได้อีกด้วย แล้วก็ความจริงที่ว่าเขาสามารถจะกลายมาเป็นเจ้าของนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาได้ทำให้มันชัดเจนว่าเขามีพรสวรรค์ในด้านนี้
[มันก็แค่เป็นเรื่องยากมากๆที่พอจะใช้การชะลอเวลาออกมาเพราะงั้นพ่อต้องการเวลาก่อนที่จะใช้งานมันได้ โลกก้ยังต้องปิดตัวลงอีกด้วยแล้วยังมีเงื่อนไขบ้าๆอีกอย่าง..]
“พ่อ ปิดโลกของพ่อไว้ก่อนเลยแล้วก็ยื้อเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ โอ้ แล้วก็บอกที่อยู่ของโลกพ่อมาด้วย”
[แล้วนี่ลูกมีแผนอะไรแล้วงั้นหรอ?]
“ตอบผมมาเร็วๆสิ”
[เฮ้อ พ่อเลี้ยงลูกมาผิดจริงๆ]
หลังจากถอนหายใจออกมา กาเบรียลได้บอกถึงที่อยู่ของฐานทัพหลักของสวนอาทิตย์อัสดงในทันที ที่ไหนงั้นหรอ? ที่นั่นก็คือโลกที่มิติเวลาได้ถูกหยุดลง โลกใบเดียวกันกับที่แม่ของเขาถูกส่งไป!
“ที่นั่นเองหรอ?”
[ตอนที่ลูกยังไม่กลายเป็นเทพลูกอายจะยังไม่รู้ตัวสินะ]
“แต่ผมมั่นใจว่าที่นั่นเป็นโลกระดับต่ำนะ!? ผมได้ใช้สกิลบันทึกอ่านมันดูแล้ว…”
[หัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงคืออัจฉริยะที่เชี่ยวชาญในการซ่อนตัวตนเชียวนะ โลกนี้ก็ไม่ยกเว้นเช่นกันแล้วก็…]
“อ่า ครับ ครับ ผมเข้าใจแล้ว นั่นมันก็แค่เพราะยังขาดความสามารถเท่านั้น ผมเข้าใจแล้ว”
นิสัยขี้โม้ของยูอิลฮานที่ชอบพูดตอนได้เปรียบจะต้องสืบทอดมาจากพ่อของเขาแน่นอน! ยูอิลฮานได้รีบตัดการติดต่อไปในทันทีและหันมามองคนอื่นๆ
“ทุกๆคนตอนนี้มีปัญหาเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้น เราจะต้องเร่งกันหน่อยแล้ว”
“นั่นมันไม่น่าใช้ ‘เล็กๆน้อยๆ’ แล้วก็ไม่ใช่ เร่งกัน ‘หน่อย’ แล้วนะที่รัก”
ยูอิลฮานได้ส่งเสียงหึกับข้อสังเกตของเฮเรียน่าและหยักหน้าออกมา
“การปะทะของแต่ล่ะกองกำลังได้มาเร็วมากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ ทุกๆคนฟังให้ดีนะ ตอนนี้กองทัพสวรรค์กำลังปะทะกับกองทัพปีศาจวิบัตอยู่ ส่วนกองทัพจรัสแสงกำลังปะทะอยู่กับสวนอาทิตย์อัสดง แล้วก็นะกองกำลังพระเจ้าก็ยังเป็นพันธมิตรอยู่กับส่วนอาทิตย์อัสดงด้วย”
“ถ้างั้นทุกๆคนที่แยกกันอยู่ก็ต้องกลับมารวมทีมกันแล้วก็แยกกันอีกครั้งงั้นหรอ?”
“นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากจะถามเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้นั่นมันยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตอนนี้มีเรื่องสำคัญอยู่สองอย่าง หนึ่งคือเราจะต้องไปช่วยสวนอาทิตย์อัสดงแน่ๆ แล้วก็อย่างที่สองคือ…”
คำพูดที่ไม่มีใครคาดคิดได้ออกมาจากปากของยูอิลฮาน
“กองกำลังที่ฉันเพิ่งพูดถึงเมื่อกี้นี้ได้ทิ้งบ้านที่ว่างเปล่าเอาไว้”
“หา…”
“โอ้….”
กองทัพสวรรค์ได้เรียกกองกำลังที่ส่งออกมากลับไปเพื่อสู้กับกองทัพปีศาจวิบัติ แล้วก็เป็นธรรมดาที่กองทัพปีศาจวิบัติจะทุ่มกองกำลังโดยที่ไม่ยอมพลาดโอกาสนี้แน่ ในเวลาเดียวกันพระเจ้าสวรรค์ก็จะส่งกองกำลังของเขาไปกำจัดกาเบรียลที่เป็นต้นตอการเกิดของยูอิลฮานและซุ่มโจมตีสวนอาทิตย์อัสดง
แล้วก็คนที่อยู่กับพระเจ้านั่นก็คือกองทัพจรัสแสง ในเมื่อจากสิ่งที่ฉันได้ยินมาคือซาตานได้อยู่ที่นั่นด้วย นั่นมันก็หมายความว่ากองกำลังทั้งหมดของกองทัพจรัสแสงก็จะต้องอยู่ที่นี่ด้วย
เพราะงั้นพอมาสรุปแล้วนั่นคือไม่มีกองกำลังไหนเลยที่อยู่ในโลกระดับสูงของตัวเองแบบสมบูรณ์พร้อม
“นายพูดถูก…”
“นั่นก็จริง!?”
ยูอิลฮานได้ตัดสินใจในสิ่งต่อไปที่เขาจะทำในหัวได้แล้ว เขาได้หันกลับไปมองพรรคพวกที่กำลังตกตะลึงและพูดขึ้นอีกครั้ง
“เอาล่ะแล้วที่นี้สิ่งที่เราจะทำคืออะไรกันล่ะ?”
“ผมรู้ครับพ่อ!”
สายลับพิเศษยูมิลที่เพิ่งไปทำภารกิจที่คล้ายๆกันมาก่อนได้ตะโกนคำตอบที่ถูกต้องออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ปล้นบ้านที่เจ้าของไม่อยู่!”
“ถูกแล้ว!”
“เป็นคู่หูพ่อลูกแห่งหายนะจริงๆ”
เลียร่าได้แต่ส่ายหัวออกมา ยูอิลฮานได้เปิดใช้เครื่องสื่อสารเพื่อติดต่อไปหาคนต่างๆที่กระจายตัวกันอยู่ให้กับมาโดยไม่สนใจเลียร่าเลย และเขาได้จัดเตรียมป้อมปราการผู้พิทักษ์และป้อมปราการลอยฟ้าเตรียมการเอาไว้
เครื่องยนต์ของทั้งสองป้อมปราการได้เริ่มทำงานส่งเสียงไปทั่วทั้งดาเรย์ และฟักก์ชั่นต่างๆก็ได้ถูกดึงออกมาจากถึงขีดสุด จากนั้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มแผ่พลังชีวิตออกมาปกคลุมทั่วทั้งเมือง แผนที่มีอยู่ในหัวยูอิลฮานนับตั้งแต่เขาได้สร้างเมืองได้เริ่มเปล่งประกายออกมาแล้ว
“ยูนา ถึงเวลาสำหรับเธอแล้ว”
“ฉันต้องเสริมพลังให้นายไหมอิลฮาน?”
“ไม่ เธอก็แค่ต้องเสริมพลังให้มิเรย์ก็พอ”
“ฉะ ฉันหรอ?”
คังมิเรย์ที่จู่ๆได้กลายมาเป็นแกนกลางของแผนนี้ได้ตกใจถอยไปทันที แต่ว่าสายตาของยูอิลฮานดูจริงจังมากๆ
“จากการที่ได้สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นสูงมาเป็นจำนวนมากตลอดมาทำให้ฉันรู้ถึงโลกระดับสูงที่พวกนั้นเดินทางมา หากไม่นับสวนอาทิตย์อัสดงแล้วจะมีโลกระดับสูงอยู่ประมาณสองหมื่นสามพันดวง”
“โลกระดับสูงสองหมื่นสามพันดวง!?”
หน้าของคังมิเรย์ได้ย่นในทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ เธอพอจะเดาได้แล้วว่าต่อไปจะเป็นยังไง และสายตาที่ยูอิลฮานมองมาที่เธอได้ยืนยันว่าเธอคิดถูก
“มิเรย์นับจากนี้เธอจะต้องสร้างประตูมิติไปที่โลกพวกนั้นทั้งหมด น่าจะประมาณ 50 ประตูต่อห้านาทีล่ะมั้ง ถ้าทำแบบนี้เราจะทำทุกๆอย่างสำเร็จในเวลาไม่ถึง 40 ชั่วโมง พ่อบอกฉันว่าพ่อจะยื้อเอาไว้ได้สองวัน เพราะงั้นเราก็น่าจะมีเวลาเหลืออยู่อีกมาก”
“ถ้าทำแบบนั้นมันมีโอกาสมากเลยนะที่ฉันจะตาย! นั่นมันเป็นไปไม่ได้ ถึงฉันจะเป็นจ้าวแห่งมานาไปแล้วแต่มันก็มีขีดจำกัดอยู่นะ!”
คังมิเรย์ได้ตอบกลับมาอย่างตกใจ แต่ยูอิลฮานก็ไม่ได้ยอมถอยให้เลย ไม่ใช่แค่คังมิเรย์เท่านั้น แต่ยูอิลฮานยังเข้าไปจับมือนายูนาด้วยเช่นกัน เขาได้จ้องพวกเธอด้วยดวงตาที่แดงก่ำ!
“ถ้าเป็นพวกเธอในตอนนี้ทำได้แน่ ยูนา มิเรย์ คนอื่นๆก็จะช่วยด้วย แน่นอนว่ารวมถึงตัวฉันด้วยเช่นกัน”
“…อะ โอเค”
“ถ้าเป็นคำขอของนายแบบนี้คงช่วยไม่ได้ล่ะน้า~…”
เดิมทีแล้วยูอิลฮานไม่มีทำอะไรที่สะเพร่าแบบนี้แน่ จริงๆแล้วนี่มันไม่ใช่แผนของเขาเลย เดิมทีเขาจะสร้างกับดักแห่งการฟื้นคืนไปกลืนกินโลกอื่นทีล่ะโลก เขาจะลบแรงกดดันที่หนักหนาที่สุดด้วยตัวเองและล่อยให้คนอื่นอยู่อย่างปลอดภัยที่สุดเท่าที่ทำได้
ยังไงก็ตามดูเหมือนสถานการณ์จะทำให้เขาทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว จู่ๆสถานการณ์ในตอนนี้ก็เลวร้ายลงเพราะงั้นเขาไม่มีตัวเลือกแล้ว ทุกๆคนต่างก็ต้องรับแรงกดดันแล้ว
“มิสทิค เธอจะคิดว่าเธอตายไปเลยก็ได้นะ เธอคือระบบที่จัดการดูแลดาเรย์รองลงมาจากฉัน เพราะงั้นเธอจะเป็นคนที่รับภาระหนักที่สุดรองลงมาจากมิเรย์”
“ฉันกำลังจะเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้…”
มิสทิคได้เข้าใจถึงสิ่งที่ยูอิลฮานพอจะบอกแล้ว เธอได้ไปยืนอยู่ที่ขอบของป้อมปราการลอยฟ้าด้วยสีหน้าหดหู่ใจ โอโรจิก็ไปยืนอยู่ข้างๆเธอและนี่ยิ่งทำให้เธอหงุหงิดมากที่โอโรจิมายืนตรงนี้แล้วสามารถปลอบเธอได้เล็กๆ
“นายรู้แล้วใช่ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง?”
“ใช่สิ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันรู้ทุกๆอย่างแล้ว”
“จริงหรอ… โอโรจิ”
“หลังจากวันสิ้นโลกจบลง ฉันจะไม่แตะหัวเธออีกแล้ว เพราะงั้นทนไปก่อนนะ ฉันก็ไม่ได้ทำเพราะชอบทำหรอกนะ”
“…นายท่าน เริ่มเลยเถอะ ฉันรู้สึกอยากจะให้ศพที่เต็มไปด้วยเลือดแล้วสิ”
จิตวิญญาณนักสู้ของมิสทิคได้ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว เมื่อเห็นโอโรจิหัวเราะออกมามันชัดเจนว่าเขาตั้งใจจะยุเธอทั้งๆที่เขารู้อยู่แล้ว หลังจากได้เห็นแบบนี้ยูอิลฮานก็หัวเราะออกมาและเปิดใช้งานประจักษ์แจ้ง
ทั่วทั้งอาณาเขตได้ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงที่ครอบคลุมทั้งป้อมปราการลอยฟ้า ป้อมปราการผู้พิทักษ เมืองและท้ายที่สุดก็คือทั้งโลก นี่คือฉากที่น่าพิศวงและยิ่งใหญ่มาก มันคือข้อพิสูจน์ถึงการพัฒนาของยูอิลฮานในเวลาสั้นๆ
[ขอโทษด้วยนะที่ต้องทำให้ทุกคนต้องกดดัน พวกเรากำลังจะไปสู้การต่อสู้ที่รุนแรงกันแล้ว บางทีอาจจะมีคนตายเพราะว่าศัตรูของเราก็คือสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั้งหมด]
เสียงของยูอิลฮานได้ส่งไปถึงทุกๆคน เลียร่า เอิลต้า คังมิเรย์ นายูนา เฮเรียน่า ยูเรียล ราซิเอล ทาชิเอล เอริเซีย เฟมิล โอโรจิ มิสทิค พีท จิล มิไร มิลฟาร์ ยูมิล คังฮาจิน มิเชล สมิธสัน คาริน่า มาลาเทสต้า ทาคากากิ อสึฮะ รวมไปถึงมนุษย์ มังกร และสายพันธ์มังกรจำนวนนับไม่ถ้วนที่เลือกติดตามยูอิลฮาน
[สิ่งที่ฉันเสียใจยิ่งกว่านั้นเลยก็คือนี่มันก็เป็นแค่การเตรียมต่อก่อนศึกสุดท้ายเพียงเท่านั้น เมื่อเราได้สู้กับบอสสุดท้ายเราก็จะได้รู้ว่าใครคือบอสที่ซ่อนอยู่ มาดูกันว่าใครคือบอสลับกัน]
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เต็มไปด้วยพลังชีวิต ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับผลจากยูอิลฮานได้กระจายอาณาเขตออกไปตามสกิลประจักษ์แจ้งของยูอิลฮานและตรงกลางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้มีนายูนากัดริมฝีปากด้วยความเจ็บปวดอยู่ คังมิเรย์ได้ลืมตาขึ้นมาและยกมือขึ้น
ระลอกคลื่นมานาได้กระจายออกมาโดยมีเธอเป็นศูนย์กลาง ยูอิลฮานได้ส่งบันทึกเกี่ยวกับโลกต่างๆให้เธอไปแล้ว สิ่งที่เธอต้องทำมีแค่เปิดประตูมิติไปสู่โลกเหล่านี้เท่านั้น
[ฉันสัญญา หากว่าพวกนายรอดมา พวกนายทุกคนก็จะได้รับประสบการณ์ที่จะพัฒนาขึ้นอย่างมหาศาล บางทีทุกๆคนที่นี่อาจจะกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจำนวนมากก็ได้ ในตอนนั้น… พวกเราก็จะชนะแน่นอน]
เมื่อยูอิลฮานยกมือขึ้นมา หอกเพลิงยักษ์ได้ปรากฏขึนบนมือของเขา พลังต่อสู้ที่สูงที่สุดในที่แห่งนี้คือยูอิลฮาน แต่ว่ายูอิลฮานเน้นไปที่การ ‘หลอมรวม’ มากกว่าการต่อสู้ นั่นมันหมายความว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเข้าไปในสนามรบด้วยตัวเอง
มันไม่มีทางที่พวกเขาจะเลี่ยงการต่อสู้นี้และเลี่ยงไม่ให้มีใครบาดเจ็บได้
แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็จะต้องผ่านไปให้ได้ เพื่อที่จะโต้กลับศัตรูคือไป เพื่อที่จะทวงคืนความได้เปรียบกลับมา เพื่อที่จะทำให้ทุกๆคนรอด เพื่อที่จะได้หัวเราะ เพื่อที่จะฉีกกระชากพวกตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้
[ถ้างั้น…]
ยูอิลฮานได้หลับตาลง คังมิเรย์ได้กำมือทั้งสองข้างของเธอ
ในตอนที่เธอยังเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเวทย์มิติก็ทรงพลังยิ่งอยู่แล้ว และนี่เมื่อเธอได้วิวัฒนาการกลายมาเป็นมังกรคลาส 6 ทำให้เธอสามารถจะฉีกกระชากมิติจำนวนมากพร้อมๆกันเพื่อให้เกิดประตูมิตินับร้อยขึ้นบนท้องฟ้าได้ ประตูมิติทั้งหมดนี้ต่างก็เชื่อมต่อไปสู่โลกระดับสูงที่แตกต่างกันไป
ยูอิลฮานได้ลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
เขาได้มองผ่านประตูมิติไปทางสิ่งมีชีวิตชั้นสูงและพูดขึ้นมา
[เริ่มสงคราม]