Everyone Else is a Returnee โดดเดี่ยว 1000 ปี - ตอนที่ 282
บทที่ 282 – ทำไมมีแค่ฉันล่ะ (8)
“ทุกๆคนหยุดงานที่ทำแล้วมารวมตัวกันก่อน”
ยูอิลฮานได้ตะโกนออกมา
เมื่อเสียงของเขาได้ดังไปทั่วทั้งบาเรีย เหล่าคนที่แช่อยู่ในอ่างแห่งปาฏิหาริย์ กองทัพมังกรที่กำลังทำการต่อสู้ขนาดใหญ่กันอยู่ ยูมิลที่กำลังฝึกใช้สกิล ทาคากากิ อสึฮะที่เพิ่งจะฆ่าปีศาจ รวมไปถึงเลียร่ากับเฮเรียน่าที่ดูจะสู้กันถึงตายแต่จริงๆแล้วกำลังซ้อมกันอยู่ พวกเขาเหล่านี้ทุกคนได้หยุดสิ่งที่ทำกันในทันที ยูอิลฮานได้อธิบายขึ้นมา
“บาเรียใกล้จะหายไปอล้ว ในตอนที่บาเรียพังลงไป ผลจากเวทย์ชะลอเวลาก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่างมากเพราะงั้นเตรียมตัวกันให้ดีนะ”
“อ๊า มันมาอีกแล้ว”
[ข้าอยากจะปรับร่างกายให้ดีขึ้น…]
“ในอนาคตฉันจะปรับแต่งให้อีก ไม่ต้องห่วงโอโรจิ”
[เพราะนายท่านเป็นคนพูดยิ่งไม่น่าไว้ใจเลย]
ยูอิลฮานได้จัดการเก็บกวาดอุปกรณ์มากมายภายในบาเรียและเก็บอ่างแห่งปาฏิหาริย์กลับมา แม้ว่าในระหว่างช่วงเวลาที่อยู่ในบาเรียเขาจะไปถึงระดับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงไม่ได้ แต่ว่าเขาก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆมามากมายทำให้เขาไม่คิดมากในเรื่องนั้น
ต่อให้ไม่นับเขากับยูมิล ก็มีคนบางส่วนร่วมถึงเลียร่ากับเฮเรียน่าที่ได้สอดประสานเข้ากันกับพลังมังกรได้สำเร็จอีกด้วย
“อ่า บาเรีย”
“ฉันรู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังหนักขึ้น”
“…บาเรียกำลังพังลงแล้ว”
ในตอนนี้เอิลต้าที่ไวต่อมานามากที่สุดได้พูดออกมา บาเรียแห่งเวลาที่ดูจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ได้แตกกระจายแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ที่ใช้เวลาภายในบาเรียนี้มาเป็นเวลาปีครึ่งต่างก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมาหลังจากที่เวลาได้เริ่มเดินต่ออีกครั้งหนึ่ง
“พระเจ้า เวลาข้างนอกผ่านไปพริบตาเดียวเท่านั้นเอง”
“อ๊าา ตอนนี้ฉันรู้สึกหนักมากๆ”
ถึงยูอิลฮานจะเตือนเอาไว้ก่อนแล้ว แต่เวทย์ชะลอเวลาที่ร่ายไว้บนโลกไม่ใช่สิ่งที่จะหลีกเลี่ยงได้แค่เพราะรู้ถึงการมีอยู่ของมัน
ในตอนนี้หัวหน้ากิลด์ทั้งสามคนสามารถที่จะเคลื่อนไหวตามปกติได้ภายใต้ผลจากวงเวทย์แล้ว นี่มันก็เพราะการฝึกฝนมาตลอดปีครึ่งของพวกเขา แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังคงต้องกัดฟันแน่นฝืนทนกับแรงกดดันที่มหาศาล พวกเขายังถึงขนาดถูกกระตุ้นให้ปล่อยทุกๆอย่างเป็นไปตามการไหลของเวทมนต์!
“ถ้าคนในกิลด์ได้เห็นเราแบบนี้คงจะสับสนกันแน่”
“แค่พวกนายสามคนแสดงการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วปกติออกมาก็จะช่วยให้คนอื่นๆรู้ถึงการมีอยู่ของวงเวทย์แล้ว เพราะแบบนั้นคนที่เหลือก็น่าจะสามารถพัฒนาได้เหมือนกัน”
“นี่มันบ้ามากๆ…”
ยังไงก็ตามพวกเขาก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับโลกแล้ว พวกเขาไม่อาจจะบ่นอะไรกับเรื่องนี้ได้ ยูอิลฮานได้ส่งอาวุธ ‘บางส่วน’ และอุปกรณ์สวมใส่ที่เขาใช้เวลาว่างทำขึ้นมาให้กับทั้งสามคน
“ใช้ของพวกนี้ติดอาวุธให้กับคนในกิลด์ของพวกนั้น ของพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นระดับตำนาน แต่ชั่งเถอะ มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
“ฉันชักกลัวตัวเองแล้วสิที่ไม่ตกใจกับการปรากฏของอาร์ติแฟคระดับตำนานหลายต่อหลายอันแบบนี้… ถึงแบบนั้นฉันก็ขอรับมามาด้วยความยินดีล่ะนะ”
“ขอบคุณมากค่ะท่านซูซา… เอ่อ ยูอิลฮาน! ในอนาคตฉันจะตามรับใช้นายอย่างภักดีเลยล่ะ!”
“อ่า ไม่ต้องเลย ฉันไม่ได้ต้องคนรับใช้ที่ภักดีอะไรทั้งนั้น”
เนื่องจากยูอิลฮานได้บอกแนวทางไปแล้ว ทำให้หัวหน้ากิลด์ทั้งสามคนได้แยกกันไปตามที่ของตัวเองอย่างไม่ลังเล
พวกเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะงั้นพวกเขาก็น่าจะทนนกับโลกบ้าๆใบนี้ไปได้ โดยเฉพาะกับคาริน่า มาลาเทสต้ากับมิเชล สมิธสันที่กำลังสนับสนุนกันแล้วกัน ส่วนสำหรับทาคากากิ อสึฮะ… ยูอิลฮานไม่อยากจะคิดถึงเรื่องของเธอในตอนนี้
“เอาล่ะ งั้นเราก็ควรจะทำในสิ่งที่ต้องทำต่องั้นสินะ?”
[นายท่าน จะให้ข้าไปไหนมาไหนทั้งแบบนี้จริงๆน่ะหรอ?]
คนที่เรียกยูอิลฮานแน่นอนว่าต้องเป็นโอโรจิ ตอนนี้โอโรจิได้อยู่ภายในร่างกายที่ได้รับการปรับแต่ง ‘เล็กน้อย’ จากซากของอิชจาร์ทำให้ตอนนี้โอโรจิสามารถจะควบคุมร่างกายได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว แต่ดูเหมือนว่าโอโรจิจะอายมากหลังจากที่ได้ออกมาจากบาเรีย
[การที่ข้าต้องเดินไปไหนมาไหนทั้งแบบนี้ในร่างที่น่าอาย…]
[ร่างที่น่าอาย? ร่างนี้มันเหนือกว่าร่างกายเก่าที่เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำของเจ้าอีกนะ!]
อิชจาร์ที่อยู่ภายในเกราะร่างกายมนุษย์มังกรได้ตะโกนออกมาราวกับจะสาปแช่งโอโรจิ แต่ว่ายูอิลฮานก็ไม่ได้สนใจอิชจาร์เลย อิชจาร์ไม่ได้รู้เลยว่าโอโรจิหมายถึงอะไร คำว่า ‘น่าอาย’ ที่โอโรจิหมายถึงนั่นไม่ใช่ร่างกายทางกายภาพ
“ที่นายอายก็เพราะว่านายไม่สามารถจะควบคุมร่างกายได้อย่างเหมาะสมสินะ”
[ใช่แล้ว กล้ามเนื้อพวกนี้ กระดูกพวกนี้ เนื้อพวกนี้ – ทั้งหมดนี้ต่างก็อยู่ในระดับที่เหนือกว่าข้า ข้ารู้สึกได้เลยว่ามันส่งเสียงน่าอึดอัดเต็มไปหมดเลย]
[ฟู่ อย่างน้อยเจ้าก็รู้ถึงตำแหน่งของตัวเอง]
“เงียบน่าอิชจาร์”
แม้ว่าโอโรจิที่ได้ไปไหนมาไหนกับยูอิลฮานมาคลอดหลายปีและได้กินจิตวิญญาณไปมากมาย แต่การจะควบคุมร่างนี้ก็ยังคงยากอยู่ดี
“ทำให้ดีที่สุด ฉันเชื่อในตัวนาย”
[เป็นเกียรติมาก]
[นายท่านน่ากลัว! น่ากลัวมา!]
เขาได้ตรวจสอบสภาพพรรคพวกของเขา และจากนั้นก็ตรวจสภาพของโลก แน่นอนว่าเนื่องจากถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในบาเรียมาปีครึ่งแต่ข้างนอกเวลาเพิ่งจะผ่านไปพริบตาเดียวเท่านั้นทำให้ไม่ได้มีอะไรเปลื่ยนไปมากนัก
จริงๆแล้วการที่หัวหน้ากิลด์ทั้งสามคนได้ฆ่าปีศาจที่เกิดขึ้นมาบนโลกไปในระยะเวลาหนึงกทำให้ความหนาแน่นของมอนสเตอร์เลเวลสูงลดลงไปเช่นกัน แต่แน่นอนว่ามอนสเตอร์พวกนี้ก็จะยังคงปรากฏตัวขึ้นมาใหม่อีกอยู่ดี แต่ไม่ว่ายังไงตอนนี้กมีระบบดูดมานาจากโลกไปไว้ในดาเรย์อยู่ทำให้มันไม่น่าจะมีกรณีที่มีมอนสเตอร์ระบาดล้นโลกอีกต่อไป
“เอาล่ะ ถ้างั้นไปทำงานกันดีกว่า”
“นายมันเป็นโลกเสพติดการทำงานไปแล้ว~”
ยูอิลฮานได้บอกให้ทุกๆคนได้พักผ่อนกันก่อนที่บาเรียจะพังแล้ว เพราะแบบนี้ทำให้ตอนนี้ทุกๆคนต่างก็อยู่ในสภาพปกติกัน เพราะงั้นการจะทำงานต่อในตอนนี้ก็จะไม่เกิดผลเสียอะไร คังมิเรย์ได้สีหน้ามืดมนลงไปทันทีที่ได้ยินคำประกาศให้กลับมาทำงานของยูอิลฮาน
“ถ้างั้นเราต้องแยกกันอีกแล้วสินะ?”
“ใช่แล้ว… หรือว่าเราควรจะจัดทีมใหม่กันล่ะ?”
“ไม่หรอก ไม่เป็นไร”
“มิเรย์ เธออออ”
คังมิเรย์ได้ปฏิเสธในข้อเสนอของยูอิลฮานอย่างรวดเร็ว นี่มันก็เพราะว่าไม่ว่ายังไงเธอก็จะต้องเป็นผู้นำทีมอีกทีมหนึ่งแน่นอน มันไม่มีทางเลยที่เธอจะได้ไปกับเขาได้ เพราะแบบนี้เธอก็เลยจะไม่ยอมให้โอกาสคนอื่นเช่นกัน! นายูนาได้หรี่ตามองมาที่เธอ แต่ว่าสีหน้าของคังมิเรย์ก็ยังมั่นคงดังเดิม
“ป้อมปราการลอยฟ้าได้ถูกเสริมพลังขึ้นมาแล้วดวย เพราะงั้นเธอก็จะต้องฝึกปรับตัวให้ชินกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันนะยูนา”
“นี่มันเป็นข้อแก้ตัวที่ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด!”
“ท่านจักรพรรดิ… ข้าไม่อาจจะอยู่เคียงข้างปกป้องท่านได้…”
“ใจเย็นน่าพีท! อันเดทของนายกำลังจะคลั่งแล้วนะ!”
[ฟู่ ทีมเดิมอีกแล้วงั้นหรอ…? ถ้านายท่านต้องการแบบนั้น ฉันก็ได้แต่ทำตามล่ะนะ…]
ปฏิกิริยาของผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่ได้ดีกันเลยสักนิดเดียว พวกเขาไม่อยากจะแยกไปจากยูอิลฮาน! นี่คือเรื่องของทางอารมณ์ แต่ว่ายูอิลฮานรู้สึกเหมือนสูญเสียตัวตนของตัวเองและตื่นตระหนกึ้นมา หากตอนนี้เขายังเรียกตัวเองว่าผู้โดดเดี่ยวอีก เขาคงโดนตบปากแน่ๆเลย
“ให้ตายสิ พวกเราทุกคนแกร่งกันขึ้นมาแล้วนะ เพราะงั้นอย่างน้อยฉันจะต้องได้อยู่เคียงข้างอิลฮานไม่ใช่หรอ?”
“ฉันไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะงั้นขอล่ะนะ”
“ไอที่ว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้น?’ นี่มันอะไรกัน? ที่พวกเราจะไปเจอก็แค่พวกลูกกระจ๊อกเท่านั้นแหละ!”
เลียร่าก็ยังบ่นออกมา ไม่ว่าเธอเธอจะอยู่กับเขามานานแค่ไหนก็ตาม แต่ว่านั่นยังไม่พอ ความรักของเธอมันทำให้เธออยากที่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา
“จนกว่าเราจะได้เจอกันก็อีกสองเดือนจริงๆงั้นหรอ?”
“การมาเจอกันปีล่ะครั้งมันจะดีกว่า เพราะงั้นคราวหน้าเราจะมาเจอกันช้าลงหน่อยนะ”
“กรอดดด นี่ฉันออกจากการเป็นทูตสวรรค์มาทำแบบนี้งั้นหรอ?”
“นั่นมันเพราะฉันเชื่อในตัวเธอที่สุดต่างหากล่ะ ถ้าเมื่อไหร่ที่โอโรจิปรับตัวกับร่างใหม่ได้ฉันจะเปลื่ยนตำแหน่งให้ทันทีเลย”
“จริงนะ?”
“จริงสิ ฉันสัญญา”
“โอเค.. ถ้างั้นมาจุ๊บก่อน เร็วเข้าสิ”
หลังจากที่ได้รับคำยืนยันและได้รับการจูบเลียร่าถึงยอมปล่อยยูอิลฮานไป จากนั้นเธอก็ได้กลับไปบนป้อมปราการลอยฟ้าด้วยสายตาของทุกๆคนที่มองมาที่เธอ
เมื่อมิสทิคได้ไปที่โลกอื่นแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ 4 คนเท่านั้นที่อยู่บนป้อมปราการผู้พิทักษ์ นั่นคือยูอิลฮาน คิมเยซอล เฮเรียน่า และสุดท้ายคือโอโรจิที่อยู่ในร่างอิชจาร์ นี่เป็นองค์ประกอบของสมาชิกที่แปลกมากๆ
“ลูกนี่เนื้อหอมมากเลยน้า”
“แต่ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้นเลย…”
“แม่มีความฝันใหม่แล้วว่าจะสร้างทีมเบสบอลด้วยหลานของแม่!”
“นั่นมันฝันร้ายสำหรับผมมากกว่า”
[ฟุฟุ ไว้ใจฉันได้เลย ฉันจะทำให้ดีที่สุด]
“ค่อยสบายใจหน่อย”
อึก นี่มันแย่แล้ว เขาเอาแม่มาด้วยเพื่อกันท่าเฮเรียน่า แต่นี่ทั้งสองคนกลับเข้ากันได้ดีไปแล้ว! ยูอิลฮานได้มองไปหาโอโรจิความหวังใหม่ของเขาทันที แต่ว่าโอโรจิก็ได้หลบสายตาของเขา
[ร่างกายใหม่ของข้ามันได้ยินไม่ชัดเลย]
“นาย…”
บางทีเขาควรจะเรียกเลียร่ากลับมาดีไหมนะ? ยูอิลฮานได้คิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ว่าในเวลาเดียวกันเขาก็ได้ขับเคลื่อนป้อมปราการผู้พิทักษ์แล้ว จุดมุ่งหมายของเขาก็คือต่างโลกที่มีผู้รอดชีวิตของพันธมิตรแนวหน้าอยู่ เมื่อยูอิลฮานได้รวบรวมคนพวกนี้หมดแล้ว เขาก็จะเปลื่ยนไปเป็นกิลด์ใหญ่อื่นๆต่อ
“จะมีคนมากแค่ไหนกันนะที่มากับเรา…?”
[อืมม ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะมีแมงเม่ามากแค่ไหนกัน]
“เฮ้ ระวังคำพูดหน่อย”
[ฉันก็แค่อยากจะบอกว่าที่รักเป็นเหมือนกับแสงดวงอาทิตย์ต่างหาก]
“ฮึ่ม..”
‘ขอบคุณนะที่ทำให้ในที่สุดฉันก็ได้มาเจอกับคนที่ฉันรัก’
ยูอิลฮานได้นึกถึงคำพูดของเฮเรียน่า เขาอยากที่จะเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่คิดเหมือนกันกับเธอ และมีความตั้งใจที่คล้ายกันกับเธอ
จะต้องมีคนที่อยากจะกลับมาหาคนรักและปกป้องคนรักพวกเขาแน่ ถ้าเป็นแบบนี้ยูอิลฮานก็จะต้องเอาโอกาสไปมอบให้กับคนพวกนั้น
“คงต้องรีบแล้ว ยังมีอีกหลายที่เลยที่เราต้องไป”
“…ใช่แล้ว เราต้องรีบ”
ยูอิลฮานได้มองลงไปบนโลกที่เคลื่อนไหวอย่างช้าๆก่อนที่จะเปิดใช้งานสกิลข้ามมิติ
ในตอนนี้เองได้มีความคิดใหม่เข้ามาในหัวของเขา แต่ว่าเขาก็ได้เก็บมันเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจอย่างรวดเร็วเพราะว่ามันน่าอายจนเกินไป จะมีก็แต่เฮเรียน่าเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่แปรปวนของเขาและยิ้มออกมา
หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ตระเวนไปโลกต่างๆมากมาย มีทั้งโลกที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข โลกที่ทุกๆคนกำลังต่อสู้อย่างสิ้นหวังในแบบของตัวเอง โลกที่ได้เจอกับจุดสิ้นสุด โลกที่พบหนหานในการติดต่อกับมอนสเตอร์ โลกที่เผชิญหายนะ โลกที่กำลังตายไป และโลกที่ตายไปแล้ว
สกิลบันทึกของยูอิลฮานได้ดูดข้อมูลบันทึกใหม่ๆเหล่านี้มาอย่างโลภมาก และก็มีคนจำนวนมากเช่นกันที่ยูอิลฮานได้เข้าไปช่วยเอาไว้ มี ‘แมงเม่า’ จำนวนมากขึ้นที่ต้องการจะปกป้องโลกมาเข้าร่วมด้วย แต่ว่าคนส่วนใหญ่ที่ยูอิลฮานได้เจอมักจะไม่ใช่คนจำพวกนี้
“ได้โปรดช่วยพาเราไปด้วย!”
“เราขอร้องท่าน!”
“โอ้ ท่านเทพ ได้โปรดอยู่กับเราด้วยเถิด!”
คนพวกนี้คือคนที่กำลังดิ้นรนเอาตัวรอดในโลกที่มนุษชาติได้หมดหวังไปแล้ว ในทันทีที่พวกเขาได้เจอเข้ากับความหวังใหม่ที่คือยูอิลฮาน พวกเขาก็พยายามจะยื้อยูอิลฮานเอาไว้
“โอ้วววว ท่านผู้ทรงพลัง! เราจะขอติดตามท่าน!”
“พวกนายมันพวกคนงี่เง่า!!!”
ถ้าเป็นแค่ครั้งสองครั้งยูอิลฮานก็ยอมรับได้ แต่ว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นซ้ำๆมาถึงเจ็ดสิบครั้งแล้ว ในที่สุดเขาก็หมดความอดทนแล้ว
“จะให้ฉันต้องบอกพวกนายอีกกี่ครั้งกันว่าที่โลกของฉันมันแย่ยิ่งกว่านี้อีก! หาาา? ต่อให้พวกนายมาที่โลกของฉันทั้งแบบนี้ พวกนายก็จะตายไปโดยที่ไม่ได้กระดิกนิ้วเลยด้วยซ้ำไป!”
“แต่ว่าด้วยพลังของเรา เราไม่อาจจะทนอยู่ในโลกแบบนี้ได้อีกต่อไปอีกแล้ว! ต่อให้ที่นั่นมันจะอันตรายแค่ไหน มันก็จะต้องดีกว่าที่นี่ที่ไร้ความหวังแน่นอน!”
“อย่ามาไร้สาระนะ ความหวังผิดๆนั่นของพวกนั้นมันคือความโหดร้ายที่ยิ่งกว่าความสิ้นหวังอีกนะ!”
ถึงแม้ว่ายูอิลฮานจะพูดเรื่องโลกของเขาเกินจริงไปบ้าง แต่ว่าคนที่เสียความหวังในโลกพวกเขาไปแล้วก็ไม่ได้คิดจะถอย และเพราะแบบนี้ทำให้ยูอิลฮานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาคนพวกนี้กลับไปที่โลกด้วย
“ให้ตายสิ ทำไมถึงมีโลกที่เจอหายนะมากแบบนี้กันนะ!”
“อืมมม นั่นก็เพราะว่ามีโลกนับไม่ถ้วน แล้วก็คนบนโลกเราก็ได้กระจายกันอยู่ในโลกนับไม่ถ้วนพวกนี้ไงล่ะ”
“ผมรู้สึกเหมือนผมกำลังไล่ตามเก็บลูกแก้วมังกรเลยนะ… อ๊าาาา!”
ในบรรดาโลกที่ล่มสลาย มีโลกที่น่าทึ่งที่มีเอลฟ์ใช้ชีวิตในฐานะมนุษยชาติอยู่ เอลฟ์ส่วนใหญ่ได้ถูกฆ่าตายไปแล้วว มีก็เพียงแค่ส่วนน้อยมากๆเท่านั้นที่ยังรอดอยู่ แล้วเพราะอะไรบางอย่างดูเหมือนว่าเอลฟ์พวกนี้จะรู้ว่ายูอิลฮานมีสถานะเป็นจักรพรรดิในดาเรย์ทำให้พวกเอลฟ์ที่นี่เกาะติดยูอิลฮานไม่ยอมปล่อย
“หากท่านได้รับความรักจากเอลฟ์นับไม่ถ้วน ท่านจะต้องนำเราได้ดีแน่นอน!”
“บ้าเอ้ย! นี่มันบ้าไปแล้ว!”
“ท่านจักรพรรดิ!”
“ทำไมฉันถึงมาเป็น ‘จักรพรรดิ’ ของพวกนายได้กันเนี้ย!”
ยิ่งวันเวลาผ่านไปเสียงถอนหายใจของยูอิลฮานก็ยิ่งดังมากขึ้น
“เหลืออีกกี่วันกันนะถึงฉันจะใช้บาเรียนาฬิการทรายแห่งกาลเวลาได้อีก?”
“ประมาณ 5 วันล่ะมั้ง?”
“ถ้างั้นอย่างน้อยก็คงต้องได้เจอกับโลกที่ล่มสลายอีกอย่างน้อยสักสองโลก…”
ยูอิลฮานได้เปิดใช้สกิลข้ามมิติอย่างห่อเหี่ยว แต่ว่าเมื่อเขามาถึงจุดหมายเขาก็ได้เอียงหัวออกมา
“ในโลกใบนี้ก็ไม่มีทูตสวรรค์อีกแล้ว”
“ไม่มีอีกแล้วงั้นหรอ?”
“ใช่แล้วครับ ก่อนหน้านี้ก็ไม่น่าจะมีด้วยเหมือนกัน”
[ทั้งๆที่โลกใบนี้เต็มไปด้วยพลังชีวิต แต่กลับไม่มีทูตสวรรค์อยู่เลย]
ยูอิลฮานได้คิดขึ้นกับตัวเองว่าอาจจะมีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นกับกองทัพสวรรค์
สงครามที่กำแพงแห่งความโกลาหลเพิ่งจะผ่านไปไม่นานนัก แต่ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจะได้ทำอะไรซักอย่างกันอีกแล้ว นี่มันน่าสงสัยมาก…
“เอาเถอะนะ ฉันก็ไม่สนใจหรอก”
[ที่รักจะต้องได้เผชิญหน้าในสักวันหนึ่ง แต่สำหรับตอนนี้ทำตามใจที่รักเถอะนะ]
“เอาล่ะ ถ้างั้นไปค้นหาคนกันดีกว่า”
วันเวลาได้ผ่านไปเช่นนี้ ตอนนี้ยูอิลฮานกับพรรคพวกของเขาได้เข้าไปฝึกภายในบาเรียของนาฬิการทรายแห่งกาลเวลาเป็นครั้งที่ 10 ไปแล้ว
แต่ถึงแบบนั้นยูอิลฮานก็ยังไม่อาจจะไปถึงขอบเขตสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้ เขายังขาดองค์ประกอบสำคัญอยู่
ในท้ายที่สุดแล้วยูอิลฮานก็สรุปได้ว่าเขาจะต้องรวบรวมบันทึกของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงให้มากกว่านี้