Eternal Martial Sovereign - ตอนที่ 72 – หัวใจแห่งแพทย์
Chapter 72 – หัวใจแห่งแพทย์
ผู้อาวุโสคนนี้ที่เดินออกมาเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้อาวุโสขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง เมื่อพวกเขาเห็นคนๆ นี้เดินออกมา จิตวิญญาณของทุกคนก็ได้ถูกยกสูงขึ้น พวกเขาดูเหมือนจะทั้งกลัวและเคารพผู้อาวุโสคนนี้และไม่กล้าที่จะเกียจคร้านเลย
“ท่านผู้นำตระกูลที่สอง เด็กคนนี้ต้องการจะเข้าร่วมกับพวกเขาเพื่อออกไปจากป่าหมอกลวงตา” ชายผู้ที่อยู่ขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตต้นกำเนิดกล่าว
“โอ้?” ผู้อาวุโสคนนั้นมองไปที่เซี่ยวหยุน ดวงตาของเขาดูสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่าพวกมันสามารถมองทะลุเข้าได้ เซี่ยวหยุนรู้สึกราวกับว่าเขากำลังถูกจับจ้องโดยงูพิษขณะที่ผู้อาวุโสคนนั้นจ้องมายังเขา
“เจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้ แต่เราอาจจะต้องพบเจอกับศัตรูที่ทรงพลังได้ตลอดเวลา เมื่อถึงตอนนั้น เราคงไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ ดังนั้นเจ้าควรคิดให้เหมาะสมว่าจะเข้าร่วมกับพวกเราหรือไม่” ผู้อาวุโสกล่าวหลังจากที่มองไปยังเซี่ยวหยุน
“ฮ่าฮ่า ขอบคุณผู้อาวุโส” เซี่ยวหยุนกล่าวขณะที่เขาป้องหมัดไปยังผู้อาวุโส
“ไทเฟิง พาเด็กหนุ่มคนนี้ไปพักผ่อน” ผู้อาวุโสกล่าวไปยังคนรุ่นเยาว์ที่อยู่ข้างเขา
“ขอรับ!” เด็กหนุ่มเดินไปที่เซี่ยวหยุนทันที
“สหาย โปรดมาทางนี้” ไทเมิงกล่าวขณะที่เขายิ้มสดใส
เซี่ยวหยุนป้องหมัดเพื่อทักทายและตามเด็กหนุ่มไปยังพื้นที่ว่างเปล่า ซึ่งเด็กหนุ่มได้ตั้งเต็นท์ง่ายๆ ให้กับเซี่ยวหยุน
“น้องชายเซี่ยวสามารถพักที่นี่ได้” หลังจากที่คุยกันสักพัก เด็กหนุ่มก็ได้รู้ชื่อของเซี่ยวหยุน เขารู้สึกเต็มไปด้วยความเคารพต่อเด็กหนุ่มคนนี้ที่กล้าเข้าสู่เทือกเขาหมอกเหนือด้วยตัวเอง
“ขอบคุณพี่ไท” เซี่ยวหยุนกล่าวขณะที่เขายิ้มไปยังเด็กหนุ่ม หลังจากที่ได้คุยกับเขาแล้ว เซี่ยวหยุนก็ได้รู้ถึงกลุ่มของผู้ฝึกตนกลุ่มนี้ที่อยู่ในตระกูลไทของเมืองหมอกเหนือ พวกเขาถูกลอบโจมตีโดยศัตรูและต้องประสบกับคนบาดเจ็บล้มตายและบาดแผลจำนวนมาก ตอนนี้พวกเขาได้วางแผนที่จะพักผ่อนและฟื้นฟูความแข็งแกร่งของพวกเขา
นอกเหนือจากนี้ไทเฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีกมากนัก เห็นได้ชัดว่าเขายังคงคอยป้องกันตัวจากคนนอกคนนี้
ในความจริง เซี่ยวหยุนก็ได้รู้ถึงสถานการณ์จากพลังวิญญาณของเขาไปมากแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เพราะว่าคนของตระกูลไทมีประสาทที่ไวมากเกินไป เขาจึงไม่สามารถพูดได้มากนัก มิฉะนั้นถ้าเขาต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยของพวกเขา มันก็จะพาแต่ปัญหามาให้เขาก็เท่านั้น
ขณะที่เริ่มค่ำ คนของตระกูลไทก็ได้เริ่มก่อกองไฟขึ้นมาในหุบเขา เปลวไฟได้ถูกยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าและเป็นที่สะดุดตาอย่างมาก พวกเขาจุดไฟเหล่านี้ขึ้นมาก็เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ลวงตาเข้ามาได้ เนื่องจากสัตว์ลวงตานั้นกลัวไฟมากและไฟลูกใหญ่ก็เพียงพอที่จะป่นความกล้าของพวกมันให้แหลกละเอียด
ในตอนค่ำ คนของตระกูลไททั้งหมดได้บ่มเพาะอย่างเงียบๆ พยายามที่จะฟื้นคืนแก่นแท้แห่งปราณของพวกเขา ขณะที่ดวงตาได้ลอยลงมาและพระอาทิตย์เริ่มลอยสูงขึ้น เสียงร้องก็ดังออกมา “ท่านผู้นำตระกูลที่สอง ท่านผู้นำตระกูลที่สอง ท่านหญิงสามได้หมดสติและไม่ตื่นขึ้นมา!”
เสียงของเด็กสาวคนนั้นดูเหมือนจะดังไปทั่วหุบเขา ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกตัว
“อะไรนะ? หรงเอ๋อหมดสติ?” ท่าทีของผู้นำตระกูลที่สองจากตระกูลไทได้มืดครึ้มลงขณะที่เขารีบสาวเท้าไปที่เต็นท์ที่อยู่ใจกลาง “ข้าเพิ่งจะช่วยนางสะกดข่มพิษไปเมื่อวาน ใครจะไปคิดว่ามันจะแสดงอาการออกมาอีกเร็วขนาดนี้กัน? พิษที่ตระกูลชี่ไม่ใช่ธรรมดาเลย!”
หลังจากเข้าสู่เต็นท์ ใบหน้าที่มืดเผือดของหญิงสาวก็ได้ปรากฏขึ้นสู่ดวงตาของเขา หญิงสาวกำลังนอนอยู่บนเตียงแคบและใบหน้าของนางก็มืดและบวมป่องซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนาง
เด็กสาวคนนั้นถามอย่างกังวลว่า “ท่านผู้นำตระกูลที่สอง ท่านสามารถปลุกท่านหญิงสามขึ้นมาได้ไหม?”
“พิษของหรงเอ๋อได้กระจายไปทั่วร่างกายของนางแล้วและแม้แต่ชายชราคนนี้ก็ไม่สามารถหยุดมันได้อีกต่อไปแล้ว สถานการณ์ดูเลวร้ายมากเลย!” ผู้นำตระกูลคนที่สองของตระกูลไทได้ส่ายหัวของเขาขณะที่ถอนหายใจ “โธ่ ข้าจะไปเผชิญหน้ากับพี่ใหญ่แบบนี้ได้อย่างไรเมื่อเรากลับไป?”
“แล้วเราควรทำอย่างไร?” ใบหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยความกังวลขณะที่นางกล่าวว่า “พี่สาวใหญ่หรงเอ๋อเป็นคนดี ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับนางกัน?”
“อะไรนะ? ท่านหญิงสามไม่ได้สติ?”
“ตระกูลชี่ช่างน่ารังเกียจ หลังจากที่กลับไปถึงเมืองหมอกเหนือแล้วเราจะแก้แค้นพวกมันกัน!” ผู้ฝึกตนตระกูลไทได้เดือดดาลไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าการลอบโจมตีได้ทำให้พวกเขาสูญเสียพี่น้องไปสิบคนหรือมากกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าท่านหญิงสาม – ที่พวกเขามองนางเป็นทพธิดา – จะต้องถูกผลักสู่ขอบเหวแห่งความตาย พวกเขาทั้งหมดต่างก็พากันโกรธแค้นอย่างมาก
ขณะที่ทุกคนร้องตะโกนออกมาความโกรธ เซี่ยวหยุนก็ได้เดินมาและถามว่า “คุณหนูของตระกูลพวกท่านถูกพิษรึ?”
ไทเฟิงพยักหน้าและขมวดคิ้วขณะที่กล่าวว่า “อืม เมื่อเราถูกลอบโจมตี ท่านหญิงสามก็ได้ถูกวางยาพิษโดยตระกูลชี่ โธ่ ถ้าหากไร้ซึ่งเม็ดยาแก้พิษ ข้าเกรงว่านางนั้นอาจจะไม่รอด มันช่างน่าเสียดายที่ต้องใช้เวลาอีกสักสองสามวันก่อนที่เราจะออกจากเทือกเขาหมอกเหนือได้!”
“นางถูกพิษ?” เซี่ยวหยุนกล่าว “บางทีข้าอาจช่วยนางได้”
ในความจริง เซี่ยวหยุนได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมดมาตั้งนานแล้วเพราะว่าพลังวิญญาณของเขา แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้อาจทำให้พวกเขาตกใจและทำให้พวกเขาคอยเฝ้าดูเขาแทน ดังนั้นเซี่ยวหยุนจึงทำตัวเหมือนกับว่าเขาไม่ได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
“เจ้า?” ไทเฟิงขมวดคิ้วขณะที่เขามองไปยังเซี่ยวหยุนด้วยความประหลาดใจ
“แม้แต่ผงแก้พิษสามัญก็มิอาจรักษาพิษของท่านหญิงสามได้ สิ่งที่จะช่วยนางได้มีแค่เม็ดยาแก้พิเษเท่านั้น เจ้าจะทำอะไรได้?” คนรุ่นเยาว์บางคนของตระกูลไทชำเลืองไปที่เซี่ยวหยุนด้วยไม่เชื่อถือ ไม่มีใครเชื่อในตัวเขาเลย
“ข้าเป็นแพทย์และข้ารู้วิธีรักษาพิษ” เซี่ยวหยุนกล่าวขณะที่เขายิ้ม “แม้ว่าข้าจะไม่สามารถรักษาพิษของนางได้ แต่อย่างน้อยข้าก็ช่วยชะลออาการลงจนกว่าเจ้าจะไปถึงเมืองหมอกเหนือได้ ด้วยวิธีนั้นเจ้าก็จะสามารถหาวิธีอื่นเพื่อรักษาได้”
“แพทย์?” ไทเมิงจ้องมองขณะที่เขาร้องออกมาด้วยความตกใจ “เจ้าเป็นแพทย์จริงรึ?”
“เขาเป็นแพทย์” สมาชิกคนอื่นของตระกูลไทต่างก็มองไปด้วยความกังขา – เด็กอายุ 16 หรือ 17 ปีคนนี้จะเป็นแพทย์งั้นเหรอ? ทุกคนดูกังขาอย่างเหลือเชื่อและพวกเขาก็ไม่ได้เชื่อในตัวของเซี่ยวหยุนเลย
“ข้าจะเป็นหรือไม่ – พวกเจ้าก็จะได้รู้เร็วๆ นี้มิใช่รึไง?” เซี่ยวหยุนกล่าวขณะที่เขายิ้ม “เอาล่ะ ข้าจะไว้ใจเจ้าในครั้งนี้แล้วกัน” ไทเฟิงพยักหน้าและพาเซี่ยวหยุนเข้าสู่เต็นท์
“ท่านผู้นำตระกูลที่สอง นายน้อยเซี่ยวคนนี้บอกว่าเขาสามารถชะลอพิษของท่านหญิงหรงลงได้” ไทเฟิงประกาศเสียงดังและเข้าสู่เต็นท์
ผู้นำตระกูลที่สองได้หมุนตัวกลับมาทันทีและจ้องไปยังเซี่ยวหยุนขณะที่เขาถามว่า “เจ้าสามารถชะลออาการพิษของหรงเอ๋อได้?”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อถือ
“พิษของท่านหญิงหรงได้ไปถึงสภาวะวิกฤติแล้ว เนื่องจากท่านไม่มีทางเลือกอื่น แล้วทำไมจึงไม่ให้ข้าลองดูเล่า?” เซี่ยวจ้องมองไปที่หญิงสาวหน้าซีดบนเตียงอย่างสงบขณะที่เขาตอบกลับ
ผู้นำตระกูลคนที่สองได้ถามว่า “เจ้าต้องการอะไรเป็นรางวัลหากเจ้าทำได้สำเร็จ?”
“รางวัล?” เซี่ยวหยุนจ้องไปด้วยความประหลาดใจก่อนที่จะยิ้มแล้วตอบว่า “ข้าไม่ชอบติดหนี้ผู้ใด สมมุติว่านี่เป็นการจ่ายคืนให้ท่านสำหรับการพาข้าออกจากป่าหมอกลวงตาก็แล้วกัน ด้วยวิธีนั้น เราก็จะไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไป”
“ดีมาก” เมื่อเขาได้ยินเซี่ยวหยุนเช่นนี้ ดวงตาของผู้นำตระกูลที่สองก็สว่างขึ้น “เนื่องจากมันเป็นเช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถไปลองรักษาดูได้” ตอนนี้เขารู้สึกถึงความชื่นชมแปลกๆ ต่อเด็กหนุ่ม
“เราจะให้เขาลองจริงรึ?” เด็กสาวชุดเขียวข้างๆ เขาก็ยังดูไม่ค่อยเต็มใจ
“ไม่มีอะไรอันตรายที่เขาจะลองหรอก” ผู้นำตระกูลที่สองกล่าวขณะที่เขาโบกมือ เซี่ยวหยุนเดินและมองไปยังหญิงสาว เขาถามว่า “คุณหนูของตระกูลท่านถูกพิษได้อย่างไรกัน?”
“นางถูกพิษโดยลูกศร” เด็กสาวชุดเขียวตอบ
เซี่ยวหยุนขมวดคิ้ว “ลูกศรอาบยาพิษ? หัวลูกศรได้แทงทะลุพระดูกของนางรึ?”
“ไม่ใช่แค่มันแทงทะลุกระดูก แต่มันเจาะทะลุจากหลังของนางผ่านมาถึงหน้าอก” ผู้หญิงชุดเขียวกล่าว (คนละคนกับเด็กนะครับ)
“โอ้” เซี่ยวหยุนตอบกลับขณะที่เขาขมวดคิ้ว
ผู้นำตระกูลที่สองถามว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้ามีวิธีใดที่จะทำให้พิษของหรงเอ๋อคงที่หรือไม่?”
“ข้ามีบางวิธีอยู่” เซี่ยวหยุนกล่าวขณะที่เขายกคิ้ว “โปรดออกไปรอข้างนอกก่อน”
เด็กสาวชุดเขียวถามว่า “เจ้าอยากให้เราออกไปข้างนอก? ทำไม?”
“มันไม่ดีสำหรับเจ้าที่จะอยู่ที่นี่” เซี่ยวหยุนตอบกลับ
ร่างกายของหญิงสาวถูกลูกศรแทง ดังนั้นกระบวนการสำหรับการสกัดพิษจึงน่าอายอย่างมาก ซึ่งเขาจะปล่อยให้คนอื่นเฝ้ามองได้อย่างไรกัน?
“ได้เลย เราจะไปรอข้างนอก” ผู้นำตระกูลที่สองกล่าวหลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่
“แต่!” เด็กสาวชุดเขียวไม่สามารถออกไป ราวกับว่านางไม่เชื่อใจเซี่ยวหยุนที่อยู่คนเดียวกับคุณหนู
“ข้ามั่นใจว่าน้องเซี่ยวหยุนจะลงมืออย่างเหมาะสม” ผู้นำตระกูลที่สองมองเซี่ยวหยุนอย่างมีนัยยะ จากนั้นก็โบกมือให้ทุกคนออกไปข้างนอก เด็กสาวชุดเขียวบุ้ยปากแต่ก็ยังคงตามไป
หลังจากทางเข้าของเต็นท์ปิดลง เซี่ยวหยุนก็เดินไปที่เตียง
“เจ้าโชคดีมาก ถ้าเจ้าไม่ได้พบข้า เจ้าก็คงจะตายโดยไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ” เซี่ยวหยุนมองไปที่ใบหน้าซีดขาวของหญิงสาวขณะที่เขายิ้มจางๆ พิษได้แพร่กระจายไปลึกมา แต่โชคดีที่ไม่ได้อยู่นานเกินไปและก็ไม่ได้หยั่งรากลึกลงในกระดูกของนางโดยสมบูรณ์
ด้วยเหตุนี้มันก้ยังคงพอมีความสำหรับหญิงสาวอยู่
เนื่องจากจิตวิญญาณการต่อสู้ของเซี่ยวหยุนได้ทรงพลังมากขึ้นกว่ายามอดีตมากนัก!
เซี่ยวหยุนยกผ้าห่มของท่านหญิงสามขึ้น และต้องตกตะลึงไปกับรูปร่างอันร้อนแรงโดยสมบูรณ์ แม้ว่านางจะนอนอยู่ แตหน้าอกยักษ์ก็ยังดูเหมือนภูเขามหึมา 2 ลูก แต่ช่างน่าเสียดายที่มันมีบาดแผลอยู่หน้าอกด้านซ้ายของนาง ซึ่งอยู่ข้างหัวใจ
“สถานแห่งนี้ช่างน่าอึดอัด” เซี่ยวหยุนคิดขณะที่เขาขมวดคิ้ว เมื่อทำการสกัดพิษ จิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาจำเป็นต้องสัมผัสกับตำแหน่งที่โดนพิษ แต่สถานการณ์นี้ทำให้เขาต้องรู้สึกลังเลใจ
กับหยานซือเฟยมันไม่เป็นอะไร – เพราะพิษของนางได้รวมตัวกันอยู่ที่หลังของนาง ขณะที่พิษนี้ได้รวมตัวกันบนหน้าอกของหญิงสาว
“การช่วยชีวิตต้องมาเป็นอันดับแรก ข้าไม่มีเวลามาคิดมากอีกแล้ว” เซี่ยวหยุนใช้หัวใจแห่งแพทย์และโยนความคิดสะเปะสะปะทิ้งไป ถ้าเขาไม่ลงมือให้เร็วแล้วละก็พิษจะโจมตีไปที่หัวใจของนาง ซึ่งเขาจะไม่สามารถช่วยนางด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาได้
เซี่ยวเปิดเสื้อรอบๆ บาดแผลซึ่งเผยให้เห็นหน้าอกของนาง แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้ามองไปยังมันตรงๆ – เนื้อตรงนั้นได้มืดและเน่าเสียไปโดยสมบูรณ์ ซึ่งทำให้ใครก็ตามต้องรู้สึกรังเกียจ
เซี่ยวหยุนตรวจสอบบาดแผลอย่างระมัดระวังด้วยเจตนาอันเด็ดเดี่ยวที่จะรักษาและช่วยชีวิตนางไว้ ในไม่ช้าเขาก็ได้เห็นบริเวณที่ลูกศรได้ทะลุผ่าน ซึ่งส่วนนั้นที่อยู่ข้างขวาของหัวใจได้เน่าเสียไปโดยสมบูรณ์
เซี่ยวหยุนพิศวงใจกับโชคของหญิงสาว ถ้าลูกธนูเข้าใกล้หัวใจอีกเพียงเล็กน้อย ผลลัพธ์ที่ตามมามันก็จะมิอาจจินตนาการได้เลย
เพราะว่าพิษนี้ หญิงสาวจึงตกอยู่ในสภาพที่หมดสติ เซี่ยวหยุนได้ช่วยนางให้ยันเข้ากับผนังและนั่งลงเผชิญหน้ากับนาง
แสงหยกสีเขียวได้ส่องประกายขณะที่กิ่งได้ยื่นออกมาจากฝ่ามือของเซี่ยวหยุน มีอักษรรูนต่างๆ บนกิ่งนี้ และขณะที่มันแตะบาดแผล แสงหยกสีเขียวก็ได้ผลิบานออกมาจากมัน ส่งแก่นแท้สำคัญแห่งชีวิตไปยังบาดแผลนั้น
ถ้าหากใครได้มองอย่างใกล้ชิด พวกเขาก็จะสามารถเห็นได้ถึงเนื้อที่ตายได้เปื่อยและตกลงไป แล้วจึงถูกแทนที่ด้วยเนื้อใหม่ที่เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นจิตวิญญาณการต่อสู้ก็เริ่มดูดซับพิษมา
กระบวนการนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้าและไม่สามารถเร่งรีบได้ มิฉะนั้นเซี่ยวหยุนจะไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งของพิษที่เข้าสู่ร่างกายเขาได้
หลังจากรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของพิษแล้ว เซี่ยวหยุนก็เริ่มควบคุมจิตวิญญาณการต่อสู้ให้ดูดซับพิษมากขึ้นเพราะว่าเขาพบว่าจิตวิญญาณการต่อสู้นั้นสามารถจัดการกับพิษได้มากกว่านี้
ขณะที่จิตวิญญาณการต่อสู้ได้สกัดพิษไปอย่างต่อเนื่องแล้ว สีหน้าของหญิงสาวก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ