Eternal Martial Sovereign - ตอนที่ 87 ได้รับอาวุธเวทย์มนต์
ตอนที่ 87 ได้รับอาวุธเวทย์มนต์
มองไปที่เซียนยาพิษเฟิงบนพื้นและผู้อาวุโสของตระกูลฉีที่ส่งเสียงร้องออกมาอยู่ที่นั่นใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว ในตอนนี้เหล่าเซียนของพวกเขาไม่สามารถต่อสู้ได้อีก แล้วพวกเขาจะทำอย่างไร?
“ฮ่าๆ พวกตระกูลฉีเอ๋ย นี่แหละคือจุดจบของพวกเจ้าทั้งหมด!” ผู้นำตระกูลคนที่สองของตระกูลไทซึ่งได้รับการชำระล้างพิษในร่างกายของเขาเสร็จเรียบร้อย เขาก็ได้ลุกขึ้นและเดินไปพวกตระกูลฉี “วันนี้พวกเจ้าจะไม่มีทางรอดออกไปได้แม้แต่คนเดียวไอพวกตระกูลฉี! พวกเจ้าจะหายไปจากเมืองหมอกเหนือตลอดไป พวกเรา!ฆ่าพวกมันทั้งหมด!!”
คนในตระกูลไททุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่น่าเชื่อ ในคราแรกพวกเขาทั้งหมดเริ่มสิ้นหวัง แต่แล้วเด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้พลิกสถานการณ์โดยไม่คาดคิดด้วยการทำลายกองกำลังหลักของตระกูลฉีทั้งหมด จนในตอนนี้ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะต้องกังวลอีกต่อไป และในตอนนี้ฝั่งของตระกูลไทก็มีกำลังเหนือกว่ามาก มันจึงง่ายอย่างไม่น่าเชื่อที่ทำลายพวกตระกูลฉีให้สิ้นซาก!!
ในตอนนี้ไทเจิ้นหลานได้ละทิ้งการชำละร่างกายของเขาจากพิษ และได้นำเหล่าเซียนที่เหลือของตระกูลไท พุ่งไปสังหารเหล่าเซียนที่เหลือของตระกูลฉีทันที!
เนื่องจากในตอนนี้คนของตระกูลไทกำลังชำระล้างร่างกายออกจากพิษ เซี่ยวหยุนเองก็ไม่ได้ทำอะไรอีกต่อไป เพราะหลังจากเขาได้ใช้หอกทำลายวิญญาณเสร็จ เขาก็ได้เสียพลังงานวิญญาณไปมากแล้วเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะยืนมองอยู่เฉย ๆ เขาไม่ต้องการเสียพลังที่เหลือไปอีก
“มาดูกันว่าสหายเก่าคนนี้มีอะไรดีกับเขาบ้าง” เซี่ยวหยุนหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะที่เขามองไปที่ศพของเซียนยาพิษ เขาส่งความรู้สึกของเขาไปยังศพและในไม่ช้าเขาก็รู้สึกถึงแรงกระเพื่อมที่คุ้นเคยซึ่งนั้นมันทำให้เขารู้สึกแย่ลง!
“อย่างที่คิดไว้ เขามีมากกว่านั้นจริงๆ” ในไม่ช้าเซี่ยวหยุนก็หยิบสิ่งของรูปสี่เหลี่ยมออกมาจากร่างของเซียนยาพิษเฟิง
วัตถุนี้ชิ้นนี้มีขนาดประมาณกำปั้นและชั้นของเศษโลหะรอบ ๆ ทำให้มันดูมีกลไกขึ้นเป็นรูปสี่เหลี่ยม มองเพียงแวบเดียวมันดูเหมือนดอกไม้ตูม และแต่ละกลีบมีจารึกลึกลับที่ทำให้เกิดการกระเพื่อมที่คลุมเครือขึ้น
“นี่สินะคืออาวุธเวทย์มนต์” เซี่ยวหยุนถืออาวุธเวทย์มนต์ไว้ในมือด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น เห็นได้ชัดว่าคำจารึกพวกนี้คือสิ่งที่ควบคุมอาวุธชิ้นนี้อยู่ และเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงมีพลังมากถึงขนาดที่แม้แต่เซียนผู้ฝึกฝนพลังมาก็ยังไม่สามารถต้านทานพลังของมันได้
“ของวิเศษชิ้นนี้มีพลังที่เหนือกว่าอาวุธสายดำอยู่มากทีเดียว” นกกระจอกผู้กลืนกินสวรรค์กล่าว “ของวิเศษบางชิ้นมีจารึกและทำจากวัสดุพิเศษ พวกมันจึงมีพลังพิเศษซึ่งทำให้พวกมันเป็นอาวุธที่กลืนกินวิญญาณ สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับมันอย่างมากจึงทำให้พวกเขาสามารถต่อสู้กับผู้ที่มีพลังสูงกว่าได้”
“โอ้” เซี่ยวหยุนรู้สึกค่อนข้างสนอกสนใจต่ออาวุธวิญญาณชิ้นนี้อย่างมาก หอกทำลายวิญญาณของหอกทำลายสวรรค์ของเขานั้นทรงพลังมาก แต่มันยากที่จะใช้มันอย่างเต็มที่และเขาไม่สามารถใช้มันเป็นเวลานานได้ ถ้าเขามีอาวุธพลังวิญญาณชิ้นนี้เขาก็จะสามารถปกปิดจุดอ่อนของหอกทำลายวิญญาณได้!
“ส่วนมากในนิกายใหญ่ ๆ เหล่านั้นล้วนจะมีไอเทมเวทมนตร์ประเภทนี้อยู่แล้ว” นกกระจอกผู้กลืนกินสวรรค์กล่าว “ดังนั้นในอนาคตเจ้าจะมีโอกาสได้มันมาครอบครองแน่ ๆ”
“หึ! ตอนนี้ข้าสงสัยว่าเขามีสมบัติอื่น ๆ หรือไม่” เซี่ยวหยุนพยักหน้าขณะที่เขาค้นหาร่างของเซียนยาเฟิงพิษต่อไป
แต่แล้วเซี่ยวหยุนก็ต้องผิดหวัง เพราะหลังจากดูแล้วของวิเศษนั้นเป็นของชิ้นสุดท้ายที่เซียนยาพิษเฟิงมีและเขาแทบจะไม่เหลืออะไรบนร่างกายอีกแล้ว
แต่ก็ยังมีหนังสือเกี่ยวกับยาพิษและผงยามากมายที่สามารถถอนพิษได้ เห็นได้ชัดว่าบุคคลนี้ไม่เพียงแต่เป็นผู้กลั่นยาเท่านั้น แต่สามารถปรับแต่งผงยาได้อีกด้วย
“ถ้ามีอาวุธชิ้นนี้ข้าก็จะมีพลังมากขึ้นอีก!” เซี่ยวหยุนส่ายหัวและหยิบอาวุธเวทย์มนต์และหนังสือเกี่ยวกับยาพิษขึ้นมา เขาพลิกฝ่ามือของเขาในขณะที่แสงสีม่วงสว่างวาบ ทำให้ร่างกายของเซียนยาพิษเฟิงถูกเผาไหม้และหายไปในที่สุด ในตอนนี้การต่อสู้ระหว่างตระกูลไทและตระกูลฉีก็สิ้นสุดลงแล้ว
ถ้าหากทางฝั่งของตระกูลฉีไม่มีเซียนผู้ใช้พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งแล้ว และด้วยการที่ฝั่งของตระกูลไทนั้นยังคมมีผู้นำตระกูลคนที่สองและเซียนคนอื่น ๆ อยู่อีก การโจมตีคนของตระกูลฉีจึงไม่มีโอกาสที่จะโจมตีกลับเลยแม้แต่น้อย สายน้ำแห่งเลือดก่อตัวขึ้นต่อหน้าคนในตระกูลไท จึงทำให้ค่ำคืนนี้ดูเลวร้ายขึ้นมามากเลยทีเดียว
เมื่อสายลมยามเย็นพัดมามันบริเวณโดยรอบ ทำให้ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่ทุกบริเวณ ทำให้เซียนคนอื่น ๆ ที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว หลังจากเห็นบทสรุปของการต่อสู้ครั้งนี้ ทุกคนต่างคิดเช่นเดียวกัน ว่าไม่อาจต่อกรกับตระกูลไทได้เด็ดขาด! เด็กหนุ่มคนนั้นทำให้ความกลัวเข้าสู่จิตใจของทุกคน! เขาเป็นเหมือนเทพเจ้าที่สืบเชื้อสายมาและปล่อยอากาศที่ไม่อาจต้านทานได้ จึงไม่มีใครกล้าที่จะคิดต่อสู่อีก!
คนในตระกูลไททุกคนรู้สึกขอบคุณเซี่ยวหยุนเป็นอย่างมาก และทุกคนต่างก็ให้ความเคารพกับเขา เด็กหนุ่มคนนี้แหละคือผู้จัดการกับกองกำลังหลักของตระกูลฉี หากไม่มีเซี่ยวหยุนตระกูลไทก็คงจะไม่รอดแน่ ๆ
เซี่ยวหยุนเพียงยิ้มอย่างใจเย็น ในการต่อสู้ครั้งนี้เขาได้รับความเสี่ยงอย่างมากเช่นกัน หอกทำลายวิญญาณของเขาทรงพลังมาก แต่เขาสามารถใช้มันได้เต็มกำลังเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อพลังวิญญาณของเขาแห้งเหือดมันจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขาที่จะจัดการกับเซียนผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณได้ เซี่ยวหยุนรู้ว่าเขารอดมาได้เพียงเพราะจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งขึ้น หลังจากจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งขึ้นเขาสามารถควบคุมแสงสีเขียวหยกนั้นได้อย่างง่ายดายซึ่งทำให้เขาสามารถสะบัดของเหลวที่เป็นพิษไปยังเซียนผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณของตระกูลฉีได้อย่างง่ายดาย!
หลังจากการต่อสู้คนของตระกูลไททั้งหมดก็กลับบ้านเพื่อนไปรักษาบาดแผลของพวกเขา การบาดเจ็บล้มตายของตระกูลไทนั้นค่อนข้างมากเลยทีเดียว พวกเขาสูญเสียเซียนที่แข็งแกร่งของตระกูลไปหลายสิบคน และพวกเขาก็เหลือเพียงเซียนผู้น้อยเท่านั้นในตอนนี้ หรือแม้แต่เซียนผู้เก่งกาจที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน ถึงขนาดที่แผลของบางคนก็ไม่อาจรักษาให้หายได้เลยก็มี!
หลังจากขอบคุณเซี่ยวหยุนเรียบร้อย ไทเจิ้นหลานและคนอื่น ๆ ก็กลับไปพักฟื้นตัวในบ้านของตัวเอง ตระกูลไทในตอนนี้อ่อนแอลงอย่างมาก ถ้าหากพวกเขาไม่ฟื้นคืนความแข็งแกร่งกลับมาอย่างรวดเร็ว ในวันข้างหน้าก็มีโอกาสที่จะมีตระกูลอื่น ๆ จ้องจะโจมตีพวกเขาในขณะที่พวกเขายังอ่อนแรงอยู่แน่นอน!
เซี่ยวหยุนเองก็กลับไปฟื้นฟูพลังวิญญาณของเขาเช่นกัน หากว่าเขามีพลังวิญญาณไม่เพียงพอเขาจะยังคงไร้พลังต่อหน้าเซียนผู้แข็งแกร่งแน่นอน!
โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตอนกลางคืน หลังจากที่เซี่ยวหยุนได้แสดงความแข็งแกร่งที่น่าตกใจในครั้งนั้น ก็ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะโจมตีอีก หลังจากที่ได้พักผ่อนหนึ่งคืนเต็ม ในที่สุดเซี่ยวหยุนก็ได้ฟื้นพลังวิญญาณของเขากลับมา!
“เจ้าจะจากไปแล้วอย่างนั้นหรอ?” ไทหรงเอ๋อที่เดินผ่านมาถามขึ้น เธอมีรูปร่างที่สูง มีดวงตาที่เต็มไปด้วยความมืดมน และมีสีหน้าเจ็บปวด เมื่อวิกฤตของตระกูลไทได้คลี่คลายลงแล้วเธอรู้ว่าเขานั้นจะจากไปในไม่ช้า
“ข้าจะอยู่อีกสองวัน” เซียวหยุนพูดขึ้น “และข้าจะฝากยาทั้งหมดไว้ให้เจ้าเพื่อช่วยให้ครอบครัวของเจ้าได้ฟื้นคืนกำลังขึ้นอีกด้วย”
“อื้ม!” ไทหรงเอ๋อพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก และยืนอยู่เคียงข้างเซี่ยวหยุนอย่างเงียบ ๆ หลังจากผ่านประสบการณ์การต่อสู้ในคืนก่อนหน้านี้ เธอก็รู้ว่าช่องว่างระหว่างเธอกับเขาคนนี้กว้างเกินไปและมันจะรำบากมากสำหรับเธอที่จะติดตามเขา แต่หากเธอยืนกรานตัดสินใจติดตามเขาเธอก็จะเป็นเพียงภาระของเขาเท่านั้น!
ต่อมาเซี่ยวหยุนได้รับแจ้งว่าหนึ่งในผู้จัดการของพันธมิตรของเขาที่เมืองหมอกทางเหนือว่าได้นำส่วนผสมยามาที่นี่เป็นการส่วนตัวและต้องการพบเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนหน้านี้และต้องการเห็นเยาวชนที่นับถือตัวเองเป็นพระเจ้าแบบเขาแน่ ๆ
เซี่ยวหยุนปฏิเสธทันที และส่งคนไปแจ้งพันธมิตรพ่อค้าทะเลเมฆว่าเขาจะส่งยาบางอย่างให้กับพันธมิตรพ่อค้าทะเลเมฆ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดูสะดุดตาเกินไปและเขาไม่ต้องการให้พันธมิตรพ่อค้าทะเลเมฆรู้ว่าเขาเป็นใคร นั้นเป็นเพราะเขายังไม่ได้ยุติความเกลียดชังระหว่างเขาและตระกูลฉิว หากไม่มีพละกำลังเพียงพอเขาก็ไม่สามารถบอกให้คนอื่นรู้เกี่ยวกับตัวเขาได้ มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดปัญหา และเป็นการดีกว่าเสมอที่จะอยู่ในระดับต่ำและหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็นทั้งหมด เช่นนี้บุคคลจากพันธมิตรพ่อค้าทะเลเมฆ ดังนั้นทางพ่อค้าทะเลเมฆจึงได้แต่ผิดหวังและเดินทางกลับ
หลังจากนั้นเซี่ยวหยุนก็เริ่มปรุงยาขึ้นตามหนังสือที่ได้มา
และสองวันต่อมาเซี่ยวหยุนก็ได้ส่งขวดยาหลังยาที่เขาปรุงขึ้นมาให้กับไทหรงเอ๋อ
“ยาเม็ดเหล่านี้จะทำให้คนในตระกูลไทของเจ้ามีพลังมากขึ้นอย่างแน่นอนอและจะสามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงในเมืองหมอกทางทิศเหนือ” เซี่ยวหยุนกล่าว
“เจ้าจะไปแล้วเหรอ?” ไทหรงเอ๋อถามขึ้น ในขณะที่เธอเองก็รู้สึกไม่เต็มใจสักนิดที่จะรับขวดยานั่นมา
จึงทำให้เซี่ยวหยุนตอบอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าอยู่ที่นี่มานานพอแล้วและควรที่จะไปเดี๋ยวนี้”
“เจ้าออกเดินทางพรุ่งนี้ได้ไหม?” ไทหรงเอ๋อถามขึ้นพร้อมกับกระพริบตาคู่สวยของเธอไปด้วย “ข้าอยากจะใช้เวลาอยู่กับเจ้าอีกหนึ่งวัน ได้หรือไม่?”
“ได้สิ!” เซี่ยวหยุนหายใจเข้าลึก ๆ และดูไม่เต็มใจที่จะจากไป อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าเขาต้องจากไปในไม่ช้าอยู่ดี ไม่เพียงแต่เพื่อที่เขาจะได้เข้าร่วมนิกายต้นกำเนิดสวรรค์ แต่เขายังต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องคนรอบข้างด้วย ถ้าเขาไม่กลายเป็นผู้ฝึกวิชาเซียนที่ทรงพลังเขาจะยืนหยัดอย่างมั่นคงได้อย่างไร? ในโลกนี้ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดด้วยความเข้มแข็งเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่เพื่อนและครอบ-ครัวของเขาจะไม่ถูกรังแก
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เขาได้เตรียมของทุกอย่างครบแล้วเซี่ยวหยุนก็ได้กล่าวอำลากับไทหรงเอ๋อ
“ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหมอกทางเหนือเสมอ” ไทหรงเอ๋อพึมพำออกมาขณะที่เธอเฝ้าดูเซี่ยวหยุนจากไป
หลังจากออกจากเมืองหมอกทางเหนือเซี่ยวหยุนก็ตัดสินใจไปที่วังไฟแห่งนั้น จากที่เขารู้ว่ามันเป็นวังมรดกที่ผู้เชี่ยวชาญทิ้งไว้เบื้องหลัง และเป็นโอกาสที่หายากสำหรับเขา
แม้แต่นกกระจอกที่กินสวรรค์ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่น่าเชื่อ จากชื่อของพระราชวังดูเหมือนว่าผู้ที่เป็นเจ้าของจะเป็นคนที่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เกี่ยวกับไฟ ซึ่งหมายความว่าควรมีเปรวไฟอยู่ข้างหน้าในวังแน่นอน หลังจากปฏิบัติตามธาตุไฟฉีแล้วเสี่ยวหยุนก็จะแข็งแกร่งขึ้นมามากท้ายที่สุดแล้วจิตวิญญาณการต่อสู้เปลวไฟสีม่วงของเซี่ยวหยุนตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไปและเขาต้องการพลังปราณธาตุไฟมากขึ้นเพื่อทำให้แข็งแกร่งขึ้น
เซี่ยวหยุนอยู่ในเทือกเขาที่มีคนพเนจรมากมายอย่างหนาแน่น มีต้นไม้โบราณที่โตขึ้นไปดูเหมือนจะยาวสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าและพวกใบไม้ของพวกมันก็ปิดกั้นท้องฟ้าอย่างแน่นหนา ทำให้แทบจะมองไม่เห็นทาง ในขณะที่มีสัตว์อสูรมากมายคำรามออกมาจากเทือกเขา
เมื่อมองออกไปรอบ ๆ พื้นที่ในเทือกเขาแห่งนี้กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา ซึ่งแทบจะมีอะไรปกคลุมเลย ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรสามารถเติบโตในพื้นที่นี้ได้เลยสักอย่าง ทั้งก้อนหิน โขดหิด หรือต้นไม้ก็กลายเป็นสีดำทั้งหมด ราวกับว่าพวกมันถูกเผาโดยใครบางคน ในพื้นที่นี้ยังคงมีคลื่นความร้อนลอยมาจากระยะไกลทำให้ตอนนี้เซี่ยวหยุนรู้สึกร้อนมากเป็นพิเศษและพวกพืชทั้งหมดที่เติมโตที่นั่นก็มีธาตุไฟอยู่ด้วย!
บนหน้าผานั้นมีเซี่ยวหยุนกำลังปีนป่ายขึ้นเหมือนลิง กำลังถอนจิตวิญญาณออกจากหน้าผา
“ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีทีเดียว” เซี่ยวหยุนกระโดดลงมาจากหน้าผาและมองไปที่มือของเขาที่มีหญ้าจิตวิญญาณที่เหมือนอัญมณีอยู่ก็อดยิ้มไม่ได้ โชคของเขาค่อนข้างดีเลยทีเดียวที่สามารถได้รับสิ่งนี้หลังจากเข้ามาที่นี่ไม่นานนัก
“ฮ่าฮ่า ! มอบมันให้ข้าหลินหยุนมอบมันให้ข้า หญ้าวิญญาณเพลิงนี้มีอายุอย่างน้อย 200 ปีให้มันกับข้าเถอะ” เสียงนี้ดังขึ้นในใจของเซี่ยวหยุน เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงของนกกระจอกที่กินสวรรค์
หลังจากออกจากเมืองหมอกทางเหนือแล้ว เขาก็เดินทางตรงไปยังเทือกเขาแห่งนี้ซึ่งมีวังของผู้สืบทอดที่อยู่บนท้องฟ้าบนนั้น!
“ให้เจ้างั้นหรือ?” เซี่ยวหยุนหรี่ตามองอย่างลังเล จิตวิญญาณแห่งไฟนี้มีพลังธาตุไฟอยู่ และมันสามารถช่วยให้จิตวิญญาณการต่อสู้โดยใช้เปลวไฟสีม่วงของเซี่ยวหยุนนั้นแข็งแกร่งขึ้นอีก!
“เจ้าเด็กน้อยเจ้าคงไม่คิดจะเก็บไว้กินเองหรอกนะ?!” เมื่อมันเห็นเซี่ยวหยุนลังเลนกกระจอกที่กินสวรรค์ก็กลอกตาและพูดว่า “นายท่านของข้าคนนี้เสียสละพลังงานมากมายเพื่อเจ้าและเจ้าเองก็ต้องตอบแทนข้าด้วยมิฉะนั้นข้าจะไม่ช่วยเจ้าจัดการกับศัตรูในอนาคตแน่!”
“เจ้าจะคิดมากทำไมกัน ข้าบอกงั้นหรือว่าจะไม่ให้เจ้า” เซี่ยวหยุนพูดอย่างหมดหนทาง ในที่สุดเขาก็ต้องให้หญ้าจิตวิญญาณนี้แก่นกกระจอกที่กินสรรค์!
“ดูนั่น! เจ้าเด็กคนนั้นมีหญ้าจิตวิญญาณเพลิงอยู่ในมือ!”
“นั่นมันคือหญ้าแห่งจิตวิญญาณด้านหลังที่เกิดในสถานที่ที่ร้อนจัดมากด้วยการดูดซับพลังปราณเพลิง” เช่นเดียวกับที่เซี่ยวหยุนกำลังเตรียมที่จะมอบหญ้าวิญญาณเพลิงให้กับนกกระจอกที่กินสวรรค์เสียงร้องอันแหลมคมก็ดังขึ้น เขาหันกลับมาและเห็นเด็กหนุ่มสองสามคนเดินตรงเข้ามาหาพวกเขา ในสายตาของพวกเขานั้นมีความเร้าร้อนมาก ๆ
เซี่ยวหยุนขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงปัญหา แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกังวล ตรงนั้นมีเพียงสี่คนเท่านั้น และพวกเขาเป็นเพียงเซียนโดยกำเนิดเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับเซี่ยวหยุนก็แทบจะไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับเขาได้เลย หากพวกเขาต้องการขโมยของจากเขา มันก็เหมือนกับการขโมยอาหารจากเสือและเล่นกับชีวิตของพวกมันเอง