**ผู้นำตระกูลที่สองเปลี่ยนเป็นผู้นำที่สองนะครับ
Chapter 79 – เมืองหมอกเหนือ
“เจ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน?” เซี่ยวหยุนกลอกตาขณะที่เขาตอบกลับนกกระจอกกลืนกินสวรรค์ “เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลฉีแข็งแกร่งขนาดไหน การตกลงทันทีมีนก็ไม่ใช่แค่การรนหาที่ตายหรือ? การมองหาโอกาสเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นนั้นก็สำคัญ แค่มันจะไปใช้อะไรได้ถ้าหากข้าตาย?”
“อ่า” เมื่อได้ยินสิ่งนี้ นกกระจอกกลืนกินสวรรค์ก็หุบปากของมันไปในทันที
“เป็นไปได้ว่านายน้อยเซี่ยวหยุนไม่เชื่อใจชายชราคนนี้?” ผู้นำที่สองของตระกูลไทขมวดคิ้วขณะที่เขาถาม
“ไม่หรอก” เซี่ยวหยุนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“แล้วมันคืออะไร? นี่เป็นโอกาสอันดีอย่างเหลือเชื่อ หนึ่งในลูกหลานบ้านหลักของตระกูลไทของเรา ไทหยานมีความสัมพันธ์กับแก่นแท้ปราณแห่งไฟ เช่นนี้เราจึงคิดหาหนทางเพื่อที่จะได้รับเหรียญนภาอัคคีเหรียญนี้มาให้เขา เพื่อที่เขาจะได้รับมรดกภายในพระราชวังนภาอัคคีและทำได้ดีในการตรวจสอบของนิกายต้นกำเนิดสวรรค์ แต่มันช่างน่าเสียดายที่ตันเถียนของเขาถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้นเหรียญนภาอัคคีจึงไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆ ต่อเราอีกแล้ว ถ้าสิ่งนี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้นายน้อยเซี่ยวหยุนช่วยตระกูลไทของเราให้ผ่านพ้นซึ่งวิกฤติครานี้ แล้วเหตุใดชายชราคนนี้จึงไม่เต็มใจยอมแพ้ไปเสียเล่า?” ผู้นำที่สองของตระกูลไทกล่าว
น้ำเสียงของชายชราฟังดูทั้งจริงใจและค่อนข้างหมดหนทางอย่างเหลือเชื่อ เหรียญนภาอัคคีเหรียญนี้ดูเหมือนจะเป็นโอกาสอันเหลือเชื่อสำหรับตระกูลไท แต่มันกลับนำมาซึ่งหายนะสำหรับพวกเขาแทน ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับทำลายสิ้นซึ่งตระกูล พวกเขาทำได้แค่มอบเหรียญนภาอัคคีเหรียญนี้ออกไปเท่านั้น
“ข้าค่อนข้างจะถูกล่อลวงโดยเหรียญนภาอัคคีเหรียญนี้ แต่ความขัดแย้งระหว่างตระกูลของท่านและตระกูลฉีมันรุนแรงเกินไป สำหรับการที่ตระกูลฉีสามารถบังคับให้ตระกูลไทของท่านอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ พวกเขาต้องทรงพลังมากแน่” เซี่ยวหยุนกล่าวด้วยความตรงไปตรงมา “ถ้าข้าเข้าไปยุ่งอย่างซี้ซั้ว ข้าก็อาจจะเชื้อเชิญปัญหาเข้ามาให้กับตัวเองก็ได้ เปรียบกับเทียบความเสี่ยงนี้แล้ว เหรียญนภาอัคคีมิได้สำคัญเลย”
“เห้อ” ผู้นำที่สองของตระกูลไทถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “มีบางอย่างที่นายน้อยเซี่ยวไม่ทราบ ตระกูลฉีนี้ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าตระกูลไทของเราเลยและที่พวกเขาสามารถปราบปรามพวกเราได้แบบนี้ก็เพราะพวกเขาเชิญปรมาจารย์พิษมา มิฉะนั้นสถานการณ์ก็จะไม่มีทางเป็นเช่นนี้เด็ดขาด นายน้อยเซี่ยว ชายชราคนนี้เห็นว่าท่านค่อนข้างพิเศษ เนื่องจากท่านสามารถจัดการกับพิษของหรงเอ๋อได้ ท่านจะสามารถจัดการกับพิษของปรมาจารย์พิษได้หรือไม่?” ดวงตาของผู้นำที่สองของตระกูลไทเต็มไปด้วยความหวัง มันเห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อในตัวของเซี่ยวหยุนมากแค่ไหน
เมื่อเห็นว่าชายชราคนนี้ตั้งใจจริงขนาดไหนแล้ว เซี่ยวหยุนก็รู้สึกค่อนข้างสั่นไหว เขา(ผู้นำ)รู้ดีว่าตระกูลของเขากำลังอ่อนแออย่างรุนแรงและการวิ่งกลับไปเพื่อช่วยพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้ไปสู่ความตาย
จากสิ่งนี้ เขา(หยุน)สามารถเห็นได้เลยว่าผู้นำที่สองของตระกูลไทเป็นบุรุษที่แท้จริงและเซี่ยวหยุนก็มีความประทับใจต่อคนดังกล่าว
“เอาอย่างนี้นะ” เซี่ยวหยุนแนะนำหลังจากที่คิดเกี่ยวกับมัน “ข้าจะไปยังเมืองกับท่านและดูว่าตระกูลของท่านทำอะไรได้บ้าง ถ้าข้าสามารถช่วยสถานการณ์นี้ได้ เราสามารถมาคุยกันต่อได้ เนื่องจากมันเป็นโชคชะตาที่นำเรามาพบกัน ดังนั้นข้าค่อนข้างจะมีความสุขถ้าข้าสามารถทำได้”
“เยี่ยมไปเลย ขอบคุณท่านมากนายน้อยเซี่ยว ตระกูลไทของเราจะจดจำน้ำใจนี้ไปตลอดกาล ไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงเช่นไร ชายชราคนนี้ก็จะมอบเหรียญนภาอัคคีให้กับท่าน เทียบกับตระกูลฉีแล้ว มันคงจะดีกว่าถ้าคนเช่นท่านได้รับมันไป” ชายชราพรั่งพรูคำพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
“เราสามารถมาคุยเรื่องนี้ทีหลังได้” เซี่ยวหยุนกล่าวขณะที่เขาโบกมือ ก่อนที่จะยืนยันสถานการณ์ได้ เขาไม่ต้องการสร้างสัญญาซี้ซั้ว เนื่องจากถ้าเขาไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์และกระตุ้นความเกลียดชังของตระกูลไท ทุกสิ่งมันก็จะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาทันที
เนื่องจากผู้คนสามารถทำสิ่งที่ไม่สามารถเป็นไปได้โดยสิ้นเชิงเมื่อพวกเขาถูกบังคับให้ต้องสิ้นหวัง!
“ดีมาก” ผู้นำที่สองของตระกูลไทรู้สึกราวกับว่าเขาได้ค้นพบฟางเส้นสุดท้ายที่คว้าไว้ได้และยิ้มใหญ่ออกมา
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็กลับไปหาคนตระกูลไทที่เหลืออยู่
“กลับเมือง!” ผู้นำที่สองของตระกูลไทร้องออกมาด้วยสายตาจริงจังขณะที่เขาโบกแขน
“ขอรับ!” คนตระกูลไทที่เหลืออยู่ตอบกลับเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกัน มันดูเหมือนว่าผู้นำที่สองจะมั่นใจในตัวของนายน้อยเซี่ยวหยุน ด้วยการที่มีนายน้อยเซี่ยวหยุนคอยช่วยเหลือพวกเขา พวกเขาก็จะสามารถหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก
นี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไทหรงเอ๋อ – ในที่สุดนางก็สามารถคลายคิ้วที่ถักเข้าหากันอย่างหนาแน่นได้
“ขอบคุณนายน้อยเซี่ยวหยุน” เมื่อเห็นเซี่ยวหยุนเดินมา ไทหรงเอ๋อก็ยิ้มขอบคุณ
“ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าข้าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง” เซี่ยวหยุนกล่าว “แต่ขอให้ท่านหญิงหรงเอ๋อมั่นใจได้เลยว่า ถ้าหากยังคงมีซึ่งความหวัง ข้าก็จะทำให้ดีที่สุด”
“อือ” ดวงตาอันสวยงามของไทหรงเอ๋อกระพริบและด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อนางได้มองไปยังเด็กหนุ่มข้างกายนาง นางรู้สึกได้ถึงความรู้สึกปลอดภัย ด้วยการที่มีเด็กหนุ่มอยู่ข้างกายนาง ไม่ว่าจะปัญหาใดก็ดูเหมือนจะสามารถแก้ไขได้
หลังจากเข้าสู่รถม้า เซี่ยวหยุนถามไทหรงเอ๋อเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ภายในเมืองหมอกเหนือ เขาไม่อยากตายอย่างลึกลับอยู่ที่นี่ ดังนั้นด้วยข้อมูลที่เพิ่มเติมเข้ามา เขาก็จะสามารถเลือกที่จะไม่เสี่ยงเข้าไปในเมืองได้ถ้าหากสถานการณ์มันเลวร้ายเกินไป
หลังจากถูกถาม ไทหรงเอ๋อก็เริ่มอธิบายถึงรายละเอียดของอำนาจในเมืองหมอกเหนือ ภายในเมืองหมอกเหนือ ตระกูลไทและตระกูลฉีเป็น 2 กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดและพวกเขาทั้งคู่ก็มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงถึง 5 หรือ 6 คน
นอกเหนือจากคฤหาสน์ของดยุคแล้ว กลุ่มอื่นทั้งหมดต่างก็ผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงเพียงแค่ 1 หรือ 2 คนเท่านั้น ได้ยินว่าผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดภายในเมืองหมอกเหนืออยู่แค่ขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงเท่านั้น เซี่ยวหยุนก็สามารถถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาได้อย่างเงียบๆ
“ถ้าข้าสามารถช่วยตระกูลไทฟื้นตัวได้ สถานการณ์ก็ง่ายที่จะควบคุมแล้ว” เซี่ยวหยุนพยักหน้า ซึ่งรู้สึกถึงความกังวลในหัวใจของเขาน้อยลง เขาได้ตัดสินใจที่จะไปยังเมืองหมอกเหนือเพื่อดูว่าเขาสามารถช่วยตระกูลไทได้ไหม เนื่องจากถ้าเขาได้รับมรดกจากพระราชวังนภาอัคคี เขาก็จะได้มีไพ่ภายใต้แขนเสื้อของเขาเพิ่มขึ้น ด้วยพลังที่เพียงพอ เขาก็จะได้รับความสนใจจากผู้อาวุโสของนิกายต้นกำเนิดสวรรค์ ซึ่งจะทำให้มันเป็นไปได้กับการที่เขาจะกลายเป็นศิษย์หลัก
เมื่อเขากลายเป็นศิษย์หลักแล้ว มันจะไปมีอะไรที่เขาต้องกลัวตระกูลฉิวอีก? ทั่วทั้งนิกายโปรดปรานศิษย์เช่นนี้อย่างมาก และพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ผู้อาวุโสธรรมดาจะสังหารไปได้
คนของตระกูลไทมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็วและหลังจากที่เดินทางมาสองวัน เมืองขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าของพวกเขา ด้วยเมืองขนาดยักษ์ที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าของพวกเขา ก็ได้มีความเกรงกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของคนตระกูลไท
“เราใกล้จะได้กลับไปยังเมืองหมอกเหนือแล้ว!” มีความรันทดใจอยู่บนใบหน้าของคนตระกูลไท นี่เป็นบ้านของพวกเขาแต่ตอนนี้มันกลับให้ความรู้สึกโศกเศร้าแก่พวกเขาแทน พวกเขารู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นลูกเกเรที่กลับใจผู้กลับมายังบ้านแต่ไม่รู้ว่าบ้านของพวกเขายังคงอยู่หรือไม่
“ตระกูลฉี!” ดวงตาของผู้นำที่สองของตระกูลไทส่งแสงด้วยร่องรอยของความกระหายเลือด
“เราถึงแล้วหรือ?” ภายในรถม้า เซี่ยวหยุนแหวกผ้าม่านและมองไปยังเมือง
เมืองขนาดยักษ์ได้ปลดปล่อยบรรยากาศอันกว้างใหญ่และสง่างาม เช่นเดียวกันกับสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ที่ขดตัวอยู่บนพื้น คำว่า ‘เมืองหมอกเหนือ’ ที่อยู่ข้างบนประตูเมืองดูสะดุดตา
“ใช่ ที่นี่แหละคือเมืองหมอกเหนือ” ข้างกายเขา ไทหรงเอ๋อกระพริบตา มองไปยังเมืองหมอกเหนือด้วยร่อยรอยของความวิตกกังวล
“ถ้าเราเข้าไปเช่นนี้ มิใช่ว่าคนตระกูลฉีจะพยายามหยุดเรารึ?” เซี่ยวหยุนถาม
“ไม่หรอก” ไทหรงเอ๋อตอบกลับ “คนของตระกูลเราหลายคนถูกวางยาพิษโดยตระกูลฉี พวกเขาอาจจะรอจนกว่าเราจะเข้ามาเพื่อข่มขู่เราเพื่อไม่ให้พวกเขาต้องปัญหาดังกล่าว เนื่องจากสำหรับพวกเขาแล้วยิ่งมีคนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีสำหรับพวกเขา”
“ดีแล้ว” เซี่ยวหยุนพยักหน้ายืนยัน ด้วยวิธีนั้นเขาก็จะมีโอกาสที่จะเปลี่ยนสถานการณ์กลับมาได้
หลังจากนั้นกลุ่มของพวกเขาก็ได้เข้าสู่เมืองหมอกเหนือต่อ ขณะที่พวกเขากำลังเข้าสู่เมือง เซี่ยวหยุนก็ได้ยินการสนทนาระหว่างยามที่เฝ้าประตู
“ผู้นำที่สองของตระกูลไทได้เข้ามาในเมืองแล้ว”
“ดูเหมือนว่าตระกูลไทจะถูกลอบโจมตีโดยตระกูลฉีจริงด้วย พวกเขาได้ประสบกับการสูญเสียอันหนักหนา!”
“ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ ตระกูลฉีก็จะทรงพลังขึ้นขนาดนี้”
“……”
เซี่ยวหยุนได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมืองหมอกเหนือจากการสนทนาเหล่านี้และจึงได้รู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น ตระกูลฉีไม่กล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามก็เพราะว่าสองพี่ฉีหมิงและฉีจงได้ตายลงไปโดยไร้ซึ่งคำอธิบาย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เกิดความกลัวขึ้นในหัวใจของพวกเขา
เนื่องจากตระกูลฉีมีผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงเพียง 5 คนเท่านั้น ดังนั้นการสูญเสียไปสองคนก็นับได้ว่าเป็นโจมตีใส่พวกเขาอย่างมหาศาลแล้ว ถ้าตระกูลอื่นรู้เรื่องนี้เข้า มันก็จะเป็นหายนะอันร้ายแรง
หลังจากเข้าสู่เมือง ผู้นำที่สองของตระกูลไทก็นำคนของเขาไปยังที่พักอาศัยของตระกูลไท ไม่นานหลังจากนั้นที่พักอาศัยขนาดใหญ่ก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าของกลุ่มพวกเขา
ที่พักอาศัยมีประตูซินนาบาร์อยู่ กำแพงสูงและลานบ้านที่ดูสูงส่ง ซึ่งมีร่องรอยของการซ่อมแซมจำนวนมากอยู่รอบๆ (ซินนาบาร์ชื่อธาตุหรือพวกวัสดุที่ใช้ทำครับ)
“ท่านผู้นำที่สอง เหตุใดท่านจึงกลับมา?” เมื่อผู้นำที่สองของตระกูลไทเดินเข้ามา หยึ่งในยามก็วิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ
“สภาพของผู้นำอาวุโสเป็นเช่นไรบ้าง?” ผู้นำที่สองของตระกูลไทถามขณะที่เขากระโดดลงมาจากหลังม้าและเดินไปยังประตู
“ผู้นำอาวุโสและคนอื่นไม่สู้ดีนัก” ยามตอบกลับ “ปรมาจารย์พิษของตระกูลฉีทรงพลังเกินไป…”
การแสดงออกของผู้นำที่สองของตระกูลไทมืดครึ้มลงขณะที่เขากล่าวว่า “อย่ากังวล มันไม่ง่ายสำหรับตระกูลฉีที่จะทำลายตระกูลไทของเราหรอก”
ยามยิ้มอย่างขมขื่น พวกเขาจะไปจัดการกับปรมาจารย์พิษได้อย่างไรกัน?
ในขณะที่เซี่ยวหยุนและไทหรงเอ๋อลงมาจากรถม้า
“ขอได้โปรดคิดดูเถิด นายน้อยเซี่ยวหยุน” ผู้นำที่สองของตระกูลไทได้ทำท่าต้อนรับทันทีที่เขาเห็นเซี่ยวหยุนซึ่งเป็นผู้ที่เข้าสู่ที่พักอาศัยของตระกูลไทพร้อมกับไทหรงเอ๋อ
ขณะที่ทุกคนเข้ามา คนของตระกูลก็พบว่าผู้นำที่สองได้กลับมาแล้ว ตอนแรกพวกเขารู้สึกยินดีแต่จากนั้นก็ถอนหายใจ ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าพวกเขาจะกลับมา สายเลือดของตระกูลไทก็จะยังคงถูกตัดทิ้งออกไปอยู่ดี
ในความจริง ในช่วงสองสามที่ผ่านมา พวกเขาได้จัดเตรียมคนรุ่นเยาว์บางส่วนเพื่อส่งออกไปจากเมืองหมอกเหนือเพื่อรักษาสายเลือดของพวกเขาเอาไว้แล้ว
เมื่อผู้นำที่สองของตระกูลไทกลับมายังที่พักอาศัยของตระกูลไท ผู้อาวุโสทั้งหมดของตระกูลก็ได้รวมตัวเพื่อเริ่มการสนทนาเรื่องแผนของพวกเขา
ผู้นำของตระกูลไทคือพี่ชายของผู้นำที่สองซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง
แต่อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวและดวงตาของเขาก็ไม่มีชีวิตชีวาโดยสมบูรณ์ มีสามผู้อาวุโสอยู่ข้างกายเขาซึ่งล้วนแต่อยู่ที่ขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง พวกเขาล้วนแต่ถูกพิษหรือไม่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
“เฒ่าหกอยู่ไหนกัน?” ผู้นำที่สองของตระกูลไทถามหลังจากเห็นพวกเขา
“เฒ่าหกตายแล้ว” ผู้นำอาวุโสของตระกูลไทถอนหายใจ เฒ่าหกเป็นน้องชายอายุน้อยที่สุดของพวกเขาและก็อยู่ที่ขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงเช่นกัน
“เขาตายเพื่อปกป้องหยุนเอ๋อ” หนึ่งในผู้อาวุโสคนอื่นกล่าวยด้วยการถอนหายใจ “มันช่างน่าเสียดายที่ตันเถียนของหยุนเอ๋อก็ยังถูกทำลายและกำลังประสบกับความทรมานจากพิษร้าย ดูเหมือนว่าตระกูลไทของเราจะถึงคราวสิ้นอย่างแท้จริงแล้ว เฒ่าสองแล้วเจ้าจะกลับมาทำไมอีก?”
ผู้ที่พูดเป็นอาวุโสที่อายุเกิน 70 ปีแล้ว เคราของเขาขาวสนิทและมีผ้าพันแผลอยู่รอบๆ แขนของเขาซึ่งมันได้ปกคลุมบาดแผลสาหัสไว้
“อย่ากังวลเลยลุงสี่ ตระกูลไทของเราจะไม่พังพินาศไปหรอก” ผู้นำที่สองของตระกูลไทประกาศด้วยสายตาอันแหลมคม “ไม่ใช่แค่ตระกูลไทของเราจะไม่พังพินาศเท่านั้น แต่เราจะทำให้ตระกูลฉีต้องจ่ายคืนมาอย่างหนักหน่วงด้วยเช่นนี้ และจากนั้นก็กำจัดพวกเขาให้สิ้นจากเมืองหมอกเหนือ” คำพูดจากผู้นำที่สองของตระกูลไทดังออกมาราวกับฟ้าผ่าและดวงตาสีแดงเลือดของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ
“เฒ่าสอง เจ้าไม่จำเป็นต้องกลายเป็นเช่นนี้เลย มาพูดถึงแผนของเรากันเถอะ” ผู้นำอาวุโสของตระกูลไทกล่าวขณะที่เขาโบกมือ
คนอื่นก็ส่ายหัวของพวกเขาเหมือน แล้วไม่ได้เอาคำพูดของผู้นำที่สองมาคิดจริงจังด้วยซ้ำ
“ไม่ ท่านจนฟังข้าพี่ใหญ่ ข้าได้พาอัจฉริยะไร้ผู้เทียบที่สามารถช่วยตระกูลไทของเราให้รอดจากวิกฤติครานี้ได้มาด้วย” ผู้นำที่สองของตระกูลไทกล่าว “ด้วยเขา ตระกูลไทของเราจะสามารถพลิกสถานการณ์และโจมตีกลับไปยังตระกูลฉีได้อย่างหนักหน่วง”
“อัจฉริยะไร้ผู้เทียบ?” ผู้นำอาวุโสของตระกูลดูค่อนข้างสับสน จากนั้นก็เหลือบมองไปยังปลายสุดอีกข้างหนึ่งของโต๊ะยาวขณะที่เขาถามว่า “เขาเหรอ?” สิ่งนี้ทำให้ผู้นำอาวุโสของตระกูลไทรู้สึกค่อนข้างสับสน เนื่องจากเด็กหนุ่มดูมีอายุเพียงแค่ 16 หรือ 17 ปีเท่านั้น!
เด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่จะมาพลิกสถานการณ์นี้ได้อย่างไรกัน? ผู้นำอาวุโสและผู้อาวุโสคนอื่นค่อนข้างแคลงใจ
MANGA DISCUSSION