Eternal Martial Sovereign - ตอนที่ 74 – การโจมตีอันทรงพลัง
**ที่ตอนแล้วแปลเป็นดาบใหญ่ไม่ใช่นะครับผมเบลอนิดหน่อยเลยใช้คำศัพท์ผิดจริงๆ เป็นกระบี่ใหญ่
Chapter 74 – การโจมตีอันทรงพลัง
“ส่งมอบเหรียญนภาอัคคีมาหรือไม่งั้นก็ให้คนของตระกูลไทตาย” ฉีจงกล่าวด้วยการแสดงออกที่มืดครึ้มขณะที่เขายืนเอามือไพล่หลัง
“ถ้าเจ้าอยากสู้ก็จงเข้ามา” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทได้ยกกระบี่ใหญ่ของเขาขึ้น ซึ่งกำลังปลดปล่อยกลิ่นอายราวกับขุนเขาที่ไม่เต็มใจจะถอยกลับไปออกมา ตอนนี้พวกเขาได้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตต่อกันแล้ว เขาจะถอยหนีไปได้อย่างไรกัน? แล้วถ้าเหรียญนภาอัคคีตกอยู่ในมือของตระกูลฉี ตระกูลไทก็จะต้องตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“โจมตี!” เห็นว่าผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทเด็ดเดี่ยวขนาดไหน ดวงตาของฉีจงก็ส่งประกายขณะที่เขาโบกมือ แล้วตะโกนออกมาว่า “สังหารพวกมันทั้งหมด!”
“ขอรับ!” คนของตระกูลฉีทั้งหมดมีการแสดงออกที่มืดครึ่มและพวกเขาก็ปล่อยลูกศรที่ถูกง้างค้างไว้ในธนูของพวกเขา
ธนูเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาจากเส้นเอ็นของสัตว์ปีศาจและมีพลังอันน่าเหลือเชื่อ ด้วยผู้ฝึกตนขอบเขตต้นกำเนิดใช้พวกมัน พวกเขาก็จะสามารถโจมตีให้มีรูขนาดยักษ์บนหินก้อนใหญ่ได้ มันเป็นเรื่องยากอย่างเหลือเชื่อสำหรับผู้ฝึกตนธรรมดาจะทำการป้องกันตัวเองจากพวกเขาได้ และมีแค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงเท่านั้นที่จะสามารถหลบหนีจากหายนะนี้ได้
ชวิ้ง! ชวิ้ง!
ศรอันแหลมคมได้แทงทะลุผ่านอากาศไปยังเต็นท์ ปลดปล่อยเสียงแหลมแสบแก้วหูออกมา เมื่อเห็นว่าฝนแห่งศรอันหนาแน่นได้ตกลงมายังพวกเขา ความสยดสยองก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้ฝึกตนตระกูลไท พวกเขาเร่งรีบกวัดแกว่งอาวุธเพื่อพยาพยามปกป้องตัวเองให้ได้ดีที่สุด
ฆ่า!
ดวงตาของผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทได้ส่งแสงขณะที่เขาได้ควงกระบี่ใหญ่ของตัวเอง แก่นแท้ที่แท้จริงอันทรงพลังของเขาได้กวาดออกมาเหมือนกับแม่น้ำแห่งกระบี่ ศรกลางอากาศทั้งหมดภายในขอบเขตของมันล้วนถูกกวาดไปจนกลายเป็นฝุ่น กลิ่นอายของคนที่อยู่ในขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงช่างน่าตกใจ
ลมกรดทางช้างเผือก!
ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทได้เคลื่อนไหวด้วยการเริงระบำกระบี่ใหญ่ของเขาขณะที่ตัวเขาก็พุ่งไปข้างหน้าง แสงจากกระบี่กวาดออกมาเหมือนกับแม่น้ำสายยาว ซึ่งส่งผู้ฝึกตนตระกูลฉีหลายคนขึ้นไปในอากาศ ภายใต้ผลกระทบอันมหาศาล พวกเขาทั้งหมดก็ได้ถ่มเลือดออกมาคำหนึ่ง ไม่สามารถจะรับการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว
“ข้าจะสังหารเจ้า!” สายตาของฉีจงและฉีหมิงกลายเป็นชั่วร้ายขณะที่พวกเขาโจมตีผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทร่วมกัน สองพี่น้องได้ใช้สามง่ามและกระบองซึ่งถูกเคลือบไปด้วยพิษ
อาวุธของทั้งคู่เป็นระดับสีดำซึ่งทั้งแข็งแรงและแหลมคมอย่างเหลือเชื่อ พวกมันสามารถตัดผ่านหินได้เหมือนกับมันเป็นไม้และเป็นรองเพียงแค่ยุทธภัณฑ์วิญญาณเท่านั้น
ชายทั้งสองเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง – หนึ่งคนอยู่ที่ขั้นปลายของขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง ขณะที่อีกคนอยู่ที่ขั้นต้น
ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทก็อยู่ที่ขั้นปลายของขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงเช่นกัน แต่ได้แตะขอบของขั้นสมบูรณ์แล้ว
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ ภายใต้การโจมตีจากชายทั้งสอง เขาก็ไม่สามารถจัดการเรื่องอื่นได้ในทันที
ปัง!
การโจมตีจากผู้เชี่ยวชาญของเขตแก่นแท้ที่แท้จริงทำให้แสงกระบี่ได้เติมเต็มไปทั่วท้องนภา การโจมตีของพวกเขาเป็นเหมือนกับสายรุ้งและดวงตะวันอันสุกใสอำไพ และทำให้สายลมอันดุร้ายได้ระเบิดออกมา ก้อนหินและหินทั้งหมดรอบๆ ตัวพวกเขาได้สลายกลายเป็นฝุ่น และคลื่นกระแทกอันบ้าคลั่งที่ถูกส่งออกมาก็ไม่สามารถป้องกันได้ ผู้ฝึกตนขอบเขตต้นกำเนิดบริเวณใกล้เคียงได้รีบร้อนหนีไปและไม่กล้าที่จะเข้ามาใกล้ เมื่อพวกเขาติดอยู่ภายในระยะนั้น พวกเขาก็จะต้องได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
เช่นนี้แล้ว คนทั้งหมดของตระกูลไทและตระกูลฉีก็ได้ถอยห่างออกไป แต่อย่างไรก็ตาม คนของตระกูลฉีก็ยังคงก้าวเข้ามาใกล้ที่ตั้งค่ายต่อเพื่อที่จะได้ยิงลูกศรออกมาอย่างต่อเนื่อง ในทันทีก็ได้มีคนสองถึงสามคนได้รับบาดเจ็บหนัก
“อ๊ากกก!” เสียงกรีดร้องอันน่าสงสารก็ดังออกมาอย่างไรที่สิ้นสุด หลังจากถูกลูกศรโจมตี ร่างกายของคนที่โดนก็จะกลายเป็นปวกเปียกและไร้พลัง พืษร้ายนี้ทำให้มันเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะเคลื่อนไหว ทำให้พวกเขากลายเป็นเป้าง่ายๆ ของลูกศรมากขึ้น เพียงชั่วครู่เท่านั้นก็ได้มีคนถึง 2 คนตายลงจากลูกศร ทำให้ผู้ฝึกตนของตระกูลไทต้องรู้สึกสยดสยอง
ก่อนหน้านี้ มีพวกเขามากกว่าสิบคนได้ตายลงไปแบบนี้และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงได้ก็ได้ยอมตายเพื่อซื้อเวลาให้พวกเขาหนีไปอีกด้วย
“รีบตั้งวงกลมแล้วนำหลังชนกันเพื่อที่เราแต่ละคนจะสามารถป้องกันตัวเองจากลูกศรได้!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลไทคำรามออกมา ทุกคนก็ได้รวมตัวกันเป็นวงกลมโดยทันทีขณะที่ใช้อาวุธของพวกเขาเพื่อป้องกันตัวเองจากลูกศร มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่จะสามารถทำให้สถานการณ์มั่นคงได้
แม้กระนั้นแล้วก็ยังมีคนได้รับบาดเจ็บอยู่ดี
“อ๊ากกก!”
มีคนได้ถูกแทงด้วยลูกศรทำให้เลือดสีดำรั่วไหลออกมาจากแขนของเขา ซึ่งได้กลายเป็นขี้เเถ้าสีเทา
“อ๊ากกก!” ยังคงอื่นที่ถูกโจมตีโดยลูกศรอยู่อีกด้วย ซึ่งได้แทงทะลุผ่านลำคอของเขา
คนของตระกูลไททั้งหมดอย่างน้อยก็อยู่ที่ขอบเขตต้นกำเนิดและก็ไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่นิดเดียว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับห่าฝนของลูกศรอันทรงพลังที่ไร้จุดสิ้นสุดแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถป้องกันได้อีกต่อไป ทักษะการต่อสู้และเทคนิคทุกประเภททั้งหมดก็ได้ถูกทะลวงผ่านโดยลูกศร – เนื่องจากศัตรูก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตต้นกำเนิดเช่นกัน!
ห่างออกไป ฉีจงสะบัดข้อมือขณะที่ลูกเหล็กได้ปรากฏขึ้นในมือของเขา ซึ่งจากนั้นเขาก็ได้โยนไปทางผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไท
ปัง!
เสียงระเบิดอู้อี้ได้ดังขึ้นขณะที่ความมืดได้ออกมา แก๊สพิษได้ไหลออกมาจากภายในลูกเหล็ก
“มันเป็นแก๊สพิษ!” การแสดงออกของผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทมืดครึ้มลงขณะที่เขาเร่งรีบกลั้นลมหายใจ
“ฮ่าฮ่า นี่คือพิษร้ายที่ถูกสร้างขึ้นมาจากถุงพิษของงูหลามดาราทมิฬ” ฉีจงหัวเราะ “มาดูกันว่าเจ้าจะอยู่ได้นานแค่ไหน เมื่อพิษเข้าสู่เจ้าแล้ว แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงก็จะไม่สามารถต่อต้านมันได้ ฮี่ฮี่ ตระกูลไทของเจ้าถึงวาระสิ้นสลายก็คราวนี้แหละ”
“ตระกูลฉีของเจ้าแกร่งกล้าได้ด้วยพิษ?” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทถามขณะที่เขาล้อมรอบตัวเองด้วยแก่นแท้ที่แท้จริงเพื่อปกป้องตัวเองจากแก๊สพิษ เขาจ้องมองไปที่สองพี่น้องตระกูลฉีอย่างจริงจัง – จากที่ดูๆ พวกเขาแล้ว มันดูเหมือนว่าพวกเขาจะยาแก้พิษ!
“เจ้าจงไปถามในนรกเสียเถอะ” พี่น้องตระกูลฉีหัวเราะอย่างเหี้ยมโหดขณะที่พวกเขาโจมตีไปยังผู้นำตระกูลคนที่สองของตระกูลไทจากทั้งสองข้าง เขาไม่ใช่แค่ต้องต่อต้านพิษเท่านั้น แต่ยังต้องสู้กลับไปยังสองผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงอีกต่างหาก เขากำลังเข้าตาจนแล้ว
หลังจากนั้นสักครู่ ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทก็ต้องพบกับการโจมตีอันดุร้ายอีกครั้งและก็เกือบจะถูกแทงไปโดยสามง่ามแล้ว
เขารีบถอยกลับไป เลือดของเขากำลังเดือดพล่านขณะที่รอยเลือดไหลออกมาจากริมฝีปากของเขา คนของตระกูลไทยก็ถูกตีกลับหลังไปอย่างไร้ปราณี และหลังจากปลดปล่อยห่าฝนของลูกศรไปแล้ว คนของตระกูลฉีก็เริ่มวิ่งไปยังพวกเขา
เสียงแผดร้องได้ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ท่านหญิงสามดูกังวลอย่างมาก
“คุณชาย พิษของข้าถูกรักษารึยัง? มันเป็นไปได้ที่จะหยุดตอนนี้ไหม? ข้าจำเป็นต้องออกไปช่วยตระกูล” ท่านหญิงสามดูกระวนกระวายอย่างเหลือเชื่อ จากเสียงกรีดร้องที่เข้ามาจากข้างนอก มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่รู้ทันเหตุการณ์เลยว่าตระกูลของนางกำลังถูกโจมตีอยู่ นางรู้สึกว่านางไม่สามารถนั่งอยู่กับที่และไม่ทำสิ่งใดได้ ซึ่งนางได้แต่หวังว่านางจะได้รีบวิ่งออกไปและอาบน้ำอยู่ในสนามรบเปื้อนเลือดครั้งนี้
“เราจะทำเสร็จในอีกไม่ช้า” เซี่ยวหยุนก็มีการแสดงออกที่จริงจังบนใบหน้าของเขาเหมือนกัน ขณะที่เขาได้เร่งความเร็วของกระบวนการสกัดพิษ
หวือ!
ลูกศรสองสามดอกได้แทงทะลุผ่านเต็นท์ซึ่งกำลังบินไปยังทั้งสองคน
“ระวัง!” ลูกศรกำลังจะโจมตีโดนหัวของเซี่ยวหยุนจากข้างหลัง ซึ่งทำให้ท่านหญิงสามต้องร้องออกมา
แต่อย่างไรก็ตาม เซี่ยวหยุนสงบอย่างเหลือเชื่อ เขาโบกมือซ้ายไว้ข้างหลังของเขาขณะที่ลมกระโชกของแก่นแท้แห่งปราณได้ระเบิดออกมา ซึ่งได้นำเปลวไฟสีม่วงออกกับมันด้วย ลูกศรถูกแผดเผาให้ความว่างเปล่าไปในทันที หลังจากนั้นเซี่ยวหยุนก็โบกมือของเขาเพื่อดับเปลวไฟสีม่วงลงและทำให้ดูราวกับไม่มีสิ่งใดได้เกิดขึ้น
“เขาพึ่งทำอะไรไป?” เห็นสิ่งนี้ ท่านหญิงสามก็ได้แต่จ้องมองด้วยความรู้สึกตกตะลึง ดวงตาอันงดงามของนางได้เบิกกว้างด้วยความตกใจและการแสดงออกของนางก็แปลกอย่างมากขณะที่นางได้มองไปยังเด็กหนุ่ม สิ่งที่เขาทำนั้นทรงพลังเกินไป – แสงสีม่วงได้สว่างวาบและก็ทำลายลูกศรอันน่ากลัวไปโดยสมบูรณ์ในทันที
“เขาเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตต้นกำเนิดจริงรึ?” ท่านหญิงสามสงสัยกับตัวเอง “ความร้อนอันแผดจ้านั้นเกิดขึ้นมาจากเปลวไฟ?” ทันใดนั้นนางก็รู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ช่างลึกลับและลึกซึ้งอย่างเหลือเชื่อ
ลูกศรทุกดอกที่มาถึงได้ถูกเด็กหนุ่มกระทำราวกับว่าเขากำลังรอพวกมันอยู่แล้วจึงจัดการกับพวกมันได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
หวือ! หวือ!
ลูกศรอีกสองสามดอกได้โจมตีเป็นทางยาวเข้ามาในเต็นท์
สายตาของเซี่ยวหยุนได้มืดลง ซึ่งกำลังเผยให้ถึงท่าทีของความรำคาญ
ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและผลักฝ่ามือทั้งสองออกไป
ปัง!
แสงสีม่วงได้สว่างวาบขณะที่ลูกศรได้ถูกขจัดหายไปอีกครั้ง
“ข้าสบายดีแล้วใช่ไหม?” ท่านหญิงสามจ้องมองจากนั้นก็ถามออกมาในทันที
“ใช่” เซี่ยวหยุนตอบกลับ “พิษได้ถูกลบล้างอย่างสมบูรณ์แล้ว”
ขณะที่เซี่ยวหยุนพูด เขาก็ได้ปล่อยพลังวิญญาณของเขาออกมา หลังจากที่พบเกี่ยวกับสถานการณ์ข้างนอกแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตอนนี้ท่านหญิงสามได้สวมเสื้อผ้าและรองเท้าของนาง และกำลังจะเดินออกไปจากเต็นท์
“เจ้าจะทำอะไร?” เซี่ยวหยุนถามขณะที่เขาจับมือของหญิงสาว
“ข้าจะไปช่วยตระกูลของข้า” ร่างกายของท่านหญิงสามนั้นสูงและเรียวยาว แล้วนางยังดูสง่างามอย่างเหลือเชื่ออีกด้วย นางกระพริบตาด้วยดวงตาอันงดงามของนางและมีร่องรอยของความสิ้นหวังในเสียงของนางในตอนที่พูดกับเด็กหนุ่มด้วย จากนั้นแล้วจึงพยายามจะเดินออกไปอีกครั้ง
“เจ้าอยากช่วยพวกเขา?” เซี่ยวหยุนไม่ปล่อยมือนางไป “ถ้าเจ้าออกไปตอนนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายหรอกนะ”
“แม้ว่าข้าจะตาย แต่ข้าก็ไม่สามารถทำแค่เฝ้ามองตระกูลตายไปก่อนข้าได้หรอก” ท่านหญิงสามกล่าวอย่างเด็กเดี่ยว ดวงตาของนางพร่ามัวไปด้วยน้ำตาที่กำลังรวมตัวกัน เสียงกรีดร้องของตระกูลที่อยู่ข้างนอกทำให้นางรู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังหลั่งเลือดออกมา
“จงพักอยู่ที่นี่ ข้าจะดูแลพวกเขาในฐานะเจ้าเอง” เห็นว่าหญิงสาวห่วงใยตระกูลของนางมากแค่ไหน หัวใจของเซี่ยวหยุนก็รู้สึกซึ้งใจ เนื่องจากเขาอยู่กับตระกูลไท ดังนั้นเขาจะไม่ทิ้งพวกเขาทุกคนไว้ข้างหลังอย่างง่ายดายเด็ดขาด (หัวใจพี่จะซึ้งกับหญิงบ่อยเกินไปแล้วนะครับ)
“เจ้า?” ท่านหญิงสามจ้องมองด้วยความประหลาดใจ นางไม่เคยคิดเลยว่าคนแปลกหน้าคนนี้จะยินดีช่วยเหลือพวกนาง
“ใช่” เซี่ยวหยุนพยักหน้า “จงอยู่ที่นี่เสีย”
“แต่ตระกูลฉีมีความได้เปรียบที่ล้มหลามเช่นนี้แล้ว เจ้าจะสามารถไปทำอะไรได้กัน?” ความกังวลปรากฏขึ้นใบหน้าของท่านหญิงสาม สำหรับการเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลไท นางต้องการจะออกไปข้างนอกเพื่อตายกับตระกูลของนาง แต่อย่างไรก็ตาม มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เซี่ยวหยุนจำเป็นต้องทำแบบนี้
ในสถานการณ์แบบนี้ มันค่อนหายากสำหรับเด็กหนุ่มที่ไม่ได้ทำเพื่อนางด้วยแรงจูงใจซ่อนเร้น
เช่นนี้แล้วนางจึงกังวลเกี่ยวกับเขาอย่างช่วยไม่ได้และพยายามที่จะหยุดเขาจากการพาตัวเองมาเกี่ยวพันในเรื่องนี้
“อย่ากังวล ข้าสามารถจัดการกับคนเหล่านี้ได้” เซี่ยวหยุนยกคิ้วขึ้นขณะที่เขายิ้มจางๆ เขามองดูสงบมาก แต่ก็มีบรรยากาศของความมั่นใจอยู่ในดวงตาของเขา ซึ่งทำให้ท่านหญิงสามรู้สึกสบายใจ
“เจ้าแน่ใจหรือ?” นางถาม
“อืม” เซี่ยวหยุนไม่ได้กล่าวอะไรอีกขณะที่เขาเปิดทางเข้าเต็นและสาวเท้าออกไป
หวือ!
ในขณะนี้ได้มีลูกศรสองดอกบินเข้ามาหาเขาด้วยแรงอันยิ่งใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม เซี่ยวหยุนไม่สนใจแม้แต่จะมองไปที่พวกมัน มือของเขาได้ขยับแล้วทิ้งภาพติดตาไว้ขณะที่ส่งลูกศรลอยออกไป
ด้วยพลังวิญญาณอันทรงพลังของเซี่ยวหยุน เขาสามารถทำนายวิถีการยิงของลูกศรเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ ลูกศรซึ่งดูเหมือนจะรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อและไม่สามารถหลีกเลี่ยงสำหรับคนอื่นแล้วมันกลับช้าราวกับหอยทากต่อเซี่ยวหยุน ซึ่งทำให้เขาทุบพวกมันไปได้อย่างง่ายดาย
หลังจากเบนทิศของลูกศรไปสองสามดอกแล้ว เซี่ยวหยุนก็ยังคงเดินมาจนถึงฉากของสนามรบ คนของตระกูลไทอยู่ในสถานะที่น่าสงสารอย่างมาก และกำลังถูกสะกดข่มโดยสมบูรณ์จากคนของตระกูลฉีที่แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม หนึ่งกลุ่มต่อสู้และเผชิญหน้ากับคนของตระกูลไทขณะที่อีกกลุ่มยังคงยิงธนูออกมาจากระยะไกล พวกเขาประสานงานกันจนทำให้พวกเขาดูเหมือนจะไม่ถูกตีแตกได้
“อ๊ากก!” เด็กหนุ่มร้องออกมาขณะที่เขาถูกแทงโดยลูกธนู
ไทเฟิง!
เซี่ยวหยุนมองไปและพบว่านั่นคือไทเฟิง หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้เล่นสนุกแล้ว ร่างกายของเขาสว่างวูบขณะที่เขากระโดดไปรอบๆ ลูกศร แล้วไปถึงที่อยู่ของผู้ฝึกตนตระกูลไทอย่างรวดเร็ว
“เซี่ยวหยุนเหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่?” เมื่อได้เห็นเซี่ยวหยุน ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจมาก “ท่านหญิงสามอยู่ที่ไหน?”
ทุกคนเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของท่านหญิงสามมากกว่า
“ท่านหญิงสามสบายดี” เซี่ยวมองไปยังบาดแผลของไทเฟิงขณะที่เขากล่าวว่า “ดูแลเขา”
หลังจากนั้นเขาก็ก้าวออกไปด้วยความรุนแรงภายในดวงตาของเขา กำลังเตรียมตัวที่จะทำการต่อสู้
“เขากำลังจะสู้?” ไทเฟิงและคนอื่นที่ได้รับบาดเจ็บจ้องมองไปด้วยความประหลาดใจ
ในทันใดนั้น ดวงตาของทุกคนก็ได้สว่างขึ้นขณะที่พวกเขาอ้าปากค้าง “เขาแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยรึ?” พวกเขาเฝ้ามองชั่วขณะที่เด็กหนุ่มเข้าสู่สนามรบ เขาได้เข้าไปใกล้กับหนึ่งในคนของตระกูลฉี ผู้ที่กำลังทำการโจมตีอย่างบ้าคลั่งอยู่ แต่ในชั่วพริบตาต่อมาการแสดงออกของเขาก็ลายเป็นมืดครึ้มขณะที่ร่างกายของเขาได้กลายเป็นอืดอาด เซี่ยวหยุนได้ฟาดฝ่ามือของเขาไปแล้วจบชีวิตของเขาด้วยการโจมตีเดียว ฉากอันแปลกประหลาดนี้ทำให้ทุกคนต้องจ้องมองด้วยความตกใจ
“เด็กนี่มาจากไหนกัน?” สองคนจากตระกูลฉีกลายเป็นโกรธอย่างเหลือเชื่อและรีบพุ่งไปหาเซี่ยวหยุน
ฆ่า!
เซี่ยวหยุนไม่ได้กล่าวอะไรที่ไร้ความจำเป็นและโจมตีออกไปโดยตรง – เนื่องจากเขายืนอยู่ข้างตระกูลไท แล้วตระกูลฉีจะปล่อยเขาไปได้หรือ?
วันนี้ สถานการณ์ก็คือถ้าหากตระกูลฉีไม่มอดม้วยมรณาไป ตระกูลไทก็จะต้องดับสิ้นไปแทน นั่นเป็นข้อสรุปเพียงอย่างเดียวในการรบนี้
ขณะที่คนของตระกูลฉีพุ่งไปยังเขา เซี่ยวหยุนก็รวมรวบพลังวิญญาณอันไร้ขอบเขตมาและส่งมันให้ท่วมท้นออกมาจากจิตใจของเขา