Eternal Martial Sovereign - ตอนที่ 58 อัจฉริยะคืออะไร?
Chapter 58 – อัจฉริยะคืออะไร?
เมื่อทุกคนมองไป พวกเขาก็พบเด็กหนุ่มอีกคนอยู่บนเวทีกำลังยืนอยู่อย่างมั่นคงราวกับผู้เขา มองไปเหมือนกับกษัตริย์ ดวงตามืดมนของเขากระพริบด้วยแสงขณะที่เขามองไปยังฝางเฮ่าด้วยความสงบ ผู้ที่กำลังนอนแผ่อย่างน่าสมเพชอยู่บนพื้น
เสื้อผ้าของฝางเฮ่าขาดรุ่งริ่งและมีจุดไหม้อยู่บนพวกมัน ดวงตาของเขาสลัวขณะที่กลิ่นอายของเขากลายเป็นอ่อนแออย่างน่าเหลือเชื่อ คลื่นความร้อนที่ขยายตัวได้โยนแก่นแท้แห่งปราณทั้งหมดของเขาสู่ความวุ่นวาย และแม้แต่เส้นลมปราณของเขาก็ถูกเผา เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสู้อีกต่อไปแล้ว
เซี่ยวหยุนดูเย็นชาขณะที่เขาเดินไปหาฝางเฮ่าทีละก้าว
“เจ้าหลอมรวมกับเปลวไฟผันแปรกที่ทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?” ความสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฝางเฮ่า เขาไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าจริงๆว่าเด็กหนุ่มคนนี้ที่อยู่แค่ขอบเขตต้นกำเนิดจะพิชิตเปลวไฟผันแปรนี้ได้อย่างไร เปลวไฟสามัญมิอาจเปรียบเทียบกับเปลวไฟแปรผันที่ทรงพลังได้!
มิฉะนั้นแล้วปราณเย็นของเขาจากจิตวิญญาณการต่อสู้จะไม่สามารถทนต่อการโจมตีครั้งเดียวจากมันได้เชียวหรือ?
“แล้วทำไมข้าจึงจะไม่สามารถควบคุมเปลวไฟแปรผันที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ล่ะ?” เซี่ยวหยุนมองลงไปที่ฝางเฮ่า “ข้าบอกไปแล้วว่าเจ้ามันไม่มีอะไรเลยในสายตาของข้า แล้วมันจะเป็นอะไรถ้าเจ้าปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้น้ำแข็ง? มันมีอะไรน่าภูมิใจกัน?”
การแสดงออกของเด็กหนุ่มสงบมากขณะที่เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น เสียงของเขาไม่ได้ดังมากนัก แต่เดินทางข้ามไปสู่ทั่วทั้งสนาม ในทันใดนั้นทุกคนในปัจจุบันก็ตกลงสู่ความเงียบและจ้องมองไปข้างหน้าโดยสมบูรณ์ เด็กหนุ่มบนเวทีบนเวทีเหมือนกับกษัตริย์ผู้ดูถูกสิ่งมีชีวิตทั้งมวลได้ ทำให้พวกเขารู้สึกเคารพต่อเขาอย่างไม่มีสิ้นสุด
“อัจฉริยะจากอดีตได้กลับมาแล้ว?” ผู้ฝึกตนจากตระกูลต่างๆก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขามองภาพมายาหรือฉากจากความฝัน มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เด็กหนุ่มผู้ที่ไม่ได้ทะลวงผ่านใน 8 ปีแต่จู่ๆก็ไปถึงเวทีดังกล่าวได้ในไม่กี่เดือน?
เด็กหนุ่มคนนี้ผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นขยะมา 8 ปีกำลังจะลุกกลับขึ้นมาอีกครั้ง? ผู้ฝึกตนที่มี ‘จิตวิญญาณการต่อสู้ขยะ’ ได้ควบคุมเปลวไฟผันแปรและเอาชนะอัจฉริยะที่มีจิตวิญญาณการต่อสู้น้ำแข็งได้ คนเช่นนี้จะเป็นขยะไปได้อย่างไร? เนื่องจากการหลอมรวมกับเปลวไฟแปรผันเป็นบางสิ่งที่มีเฉพาะผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้!
อัจฉริยะคืออะไร? นี่แหละอัจฉริยะ!
ในชั่วครู่ ฉายา ‘ขยะ’ ของเด็กหนุ่มภายในใจของของเหล่าผู้ชมนับร้อยนับพันก็ถูกโยนทิ้งไปไกลๆ ตอนนี้พรสวรรค์ของเด็กหนุ่มได้กลับมาแล้ว มันราวกับว่าเขาได้เกิดใหม่ และเขาก็จะถูกปกคลุมไปด้วยแสงแห่งความรุ่งโรจน์และไต่ขึ้นสู่ยอดเขาที่สูงขึ้นไป
ในความตกใจของพวกเขา มีหลายคนที่จินตนาการได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต และรู้สึกตกตะลึงอย่างไม่น่าเชื่อ
เซี่ยวหยุนมองไปที่ผู้ตัดสินด้วยสายตาอันสว่างไสวแล้วกล่าวอย่างสงบว่า “มันถึงเวลาที่จะประกาศว่าข้าชนะแล้วใช่ไหม?” จากการวางตัวอันสงบของเขา ทุกคนรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นราชาสูงสุดอย่างแท้จริง
“เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุจริงๆหรือ?” แม้ว่าผู้ตัดสินจะรู้สึกแปลกใจอย่างช่วยไม่ได้ – ที่เด็กหนุ่มคนนี้สงบจนเกินไป มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เด็กหนุ่มจะเพ้อด้วยความปิติยินดี เพราะว่าพวกเขาพึ่งจะได้รับโอกาสเข้าร่วมนิกายต้นกำเนิดสวรรค์
เป็นไปได้ไหมที่เขาไม่รู้สึกตื่นเต้น?
หลังจากจ้องด้วยความตกใจอยู่ชั่วครู่ ผู้ตัดสินก็ยิ้มก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปบนเวที
“ข้าขอประกาศอย่างเป็นทางการว่าผู้ชนะเลิศแห่งศึกประลองยุทธ์ของเขต้มฆาม่วงคือเซี่ยวหยุน เช่นนั้นเขาจึงจะได้รับสิทธิ์มุ่งหน้าไปยังนครหลวงแห่งราชอาณาจักรเพื่อเข้ารับการตรวจสอบจากนิกายต้นกำเนิดสวรรค์” ชายวัยกลางคนเหลือบมองไปที่เด็กหนุ่มบนเวทีขณะที่เขาถอนหายใจความประหลาดใจอยู่ข้างใน แม้แต่เขาก็ไม่คิดว่าเซี่ยวหยุนจะชนะได้
หลังจากได้ยินเสียงนี้ เหล่าผู้ที่ยังคงหลงทางกับความตกใจก็กลับมารู้สึกอีกครั้ง
ฝูงชนกำลังส่งเสียงเชียร์อย่างมีชีวิตชีวา “เซี่ยวหยุน! เซี่ยวหยุน!”
เสียงเชียร์ดังสนั่นจนดูเหมือนจะขึ้นไปถึงสวรรค์ได้ และทั้งหมดของความรู้สึกเร่าร้อนกับความรู้สึกตื่นเต้นที่ฝูงชนได้เก็บไว้ก็ระเบิดออกมาในทันที ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อกับการที่ได้เห็นปาฏิหาริย์ดังกล่าว
เด็กหนุ่มผู้ที่ถูกเรียกเป็นขยะมาถึง 8 ปีได้พลิกกระดานแห่งโชคชะตาของตน สิ่งนี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากมองเห็นความหวังและหวังว่าสักวันหนึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับพวกเขา
“หยุนเอ๋อชนะ?” บนเวที การแสดงออกของอารมณ์อย่างไม่น่าเชื่อได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซี่ยวหงขณะที่เขามองไปบนนั้นด้วยความไม่เชื่อถือ
“นายน้อยเซี่ยวหยุนชนะ ฮ่าฮ่า นายน้อยเซี่ยวหยุนไม่ใช่แค่ฟื้นคืนพรสวรรค์เท่านั้น แต่ยังหลอมรวมกับเปลวไฟแปรผันอีก สิ่งนี้เหมือนกับการติดปีกให้เสือเพื่อกำหนดให้เขากลายเป็นเซียนสูงสุดในอนาคต ในอนาคตตระกูลเซี่ยวของเราจะไม่ต้องถูกหัวเราะโดยคนอื่นอีกต่อไป!” ชายวัยกลางคนอื่นก็ยังดูตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อเช่นกันและส่งเสียเชียร์อย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าเซี่ยวหยุนจะชนะได้เลย
เนื่องจากทั้งหมดนั้น ฝางเฮ่ามีจิตวิญญาณการต่อสู้!
“ฮี่ฮี่ ดูสิ ข้าบอกเจ้าแล้วว่าพี่ใหญ่เซี่ยวหยุนจะชนะ” หยานซือหยันเม้มริมฝีปากของนางอย่างยินดีขณะที่ความชื่นชมยินดีปรากฏขึ้นในดวงตาที่ใสราวคริสตัลของนาง นางมองไปยังหญิงสาวข้างนาง ผู้ที่ใบหน้าแข็งค้างด้วยความไม่เชื่อ
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน? เซี่ยวหยุนเอาชนะนายน้อยฝางเฮ่าได้อย่างไร?” หลินเซี่ยวเหมาจ้องไปยังเวทีขณะที่นางพึมพำกับตัวเอง “มันเห็นได้ชัดว่าเซี่ยวหยุนไม่ได้ทะลวงผ่านใน 8 ปีที่ผ่านมา แล้วเขาจะทรงพลังขึ้นมาในทันทีได้อย่างไร?”
บริเวณใกล้เคียง คนรุ่นเยาว์ของตระกูลฝางและตระกูลโจวอ้าปากค้างด้วยความตกใจ มันชัดเจนว่าพวกเขาไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ เป็นไปได้อย่างไรที่ไอ้ขยะตลอด 8 ปีที่ผ่านมาจะพลิกโชคชะตาของตัวเองได้?
ทั้งสนามเต็วไปด้วยเสียงเชียร์สำหรับชัยชนะของเด็กหนุ่ม
“เซี่ยวหยุนชนะจริงรึ?” ดวงตาของท่านหญิงหยานกลายเป็นมัวหมองขณะที่นางจ้องมองอย่างโง่งมต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้านาง นางไม่เคยคาดฝันเลยว่าสิ่งเช่นนี้จะเกิดขึ้น – เป็นไปได้อย่างไรที่เด็กหนุ่มที่นางคิดว่าไม่มีค่าอะไรเลยเอาชนะอัจฉริยะของเขตเมฆาม่วง ฝางเฮ่าได้?
ข้างกายนาง หยานซือเฟยกระพริบและในที่สุดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางรู้ดีว่าตั้งแต่วินาทีเป็นต้นไป แม่ของนางจะเปลี่ยนท่าทีต่อเซี่ยวหยุนและไม่พยายามหยุดพวกเขาจากการอยู่ด้วยกัน
“เด็กหนุ่มคนนี้มีความมั่นใจและความแข็งแกร่งที่แท้จริง!” คิ้วของดยุคหยานคลายตัวขณธที่ดวงตาของเขาสว่างขึ้น ตอนนั้นเขารู้สึกได้ว่าเซี่ยวหยุนไม่ธรรมดาและมีบางสิ่งซ่อนอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าเด็กหนุ่มจะทรงพลังมากและยังได้หลอมรวมเข้ากับเปลวไฟแปรผันอีก
ตอนนี้พรสวรรค์ของเด็กหนุ่มได้กลับมาแล้วและเขายังมีเปลวไฟแปรผันอีก เมื่อเขาโตขึ้น ใครจะสามารถโต้เถียงกับเขาได้กัน? มันก็ไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียวสำหรับการที่ลูกสาวของเขาจะอยู่กับบุรุษเช่นนี้!
ดยุคหยานยิ้มขณะที่โบกมือส่งสัญญาณให้ฝูงชนเงียบลง
โดยทันที ผู้ชมได้หยุดการเชียร์ของพวกเขา
“ข้าขอประกาศในตอนนี้ว่าศึกประลองยุทธ์ของเขตเมฆาม่วงของเราได้จบลงไปแล้ว เซี่ยวหยุนจงเข้ามารับเหรียญตรวจสอบของนิกายต้นกำเนิดสวรรค์” ดยุคหยานพูดด้วยรอยยิ้มและมีท่าทีที่มีอัญยาศัยดีบนใบหน้าของเขา เขาดูเหมือนจะเป็นคนง่ายๆและเข้าถึงได้
น้ำเสียงและการแสดงออกของดยุคหยานทำให้ผู้อาวุโสจากตระกูลต่างๆรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย มันดูเหมือนว่าดยุคหยานได้ตัดสินใจที่จะปฏิบัติอย่างเอาใจใส่กับเด็กหนุ่มคนนี้
ฝูงชนไม่ได้มีข้อสงสัยอีกต่อไปเมื่อพวกเขาคิดถึงความใกล้ชิดของบุตรีคนโตตระกูลหยานและเซี่ยวหยุน
“แน่นอนว่าเราไม่สามารถปล่อยให้ไอ้เด็กนี้เติบโตขึ้นได้” เมื่อเขาเห็นว่าลูกชายของเขาดูอนาถขนาดไหน ในขณะที่เซี่ยวหยุนดูใจเย็นและไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ฝางซุนก็หันไปมองที่ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝาง
ผู้อาวุโสคนอื่นของตระกูลฝางก็เปิดเผยความเย็นชาออกมาเช่นกัน
พรสวรรค์ของเซี่ยวหยุนยิ่งใหญ่จนเกินไป ซึ่งมันทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงสัมผัสแห่งความอันตราย
“รอก่อน” ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางผู้ที่ไม่ได้พูดอะไรเลยมาตลอดเวลา จู่ๆก็พูดขึ้นขณะที่ความเฉียบแหลมและความเย็นชาได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
“เขาต้องการอะไร?” ผู้อาวุโสทั้งหมดมองไปด้วยความสับสน
บรรยากาศบนชั้นสูงของเวทีกลายเป็นแปลกอย่างมาก
“ดูเหมือนว่าผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง?” เปลือกตาของดยุคหยานกระตุกขณะที่เขามองไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคารพและก็ยิ้ม เพราะเขารู้สึกว่าความรู้สึกว่าชายชราคนนี้ปลดปล่อยความรู้สึกที่มิอาจหยั่งถึงได้ออกมา
“ในอดีต เซี่ยวหยุนคนนี้ได้ใช้พิษเพื่อทำร้ายหลานชายของข้า ฝางเว่ย จนถึงจุดที่เขาตกลงสู่อาการสาหัสและเกือบตาย ถ้ามันไม่ใช่เพราะว่านิกายต้นกำเนิดสวรรค์ส่งเม็ดยาแก้พิษมา หลานชายของข้าอาจจะไม่มีชีวิตรอด เช่นนี้ชายชราคนนี้ก็จะแสวงหาความยุติธรรมให้กับหลานชายของข้า” ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางพูดดด้วยความสงบมากๆแต่ดวงตาของเขากลับส่องประกายเย็นชาอันหนาวเหน็บ
“ข้าเกรงว่านั้นจะไม่เหมาะอย่างมาก” ดยุคหยานตอบกลับด้วยรูปลักษณ์ที่มืดลง
ผู้ฝึกตนจากตระกูลต่างๆสนทนากันเองเงียบๆ มันดูเหมือนว่าผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางต้องการจะแก้แค้น
ใกล้เคียง เซี่ยวไห่จ้องเขม็งไปที่ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางด้วยความโกรธและแค่นเสียงเย็นชา “ฮึ่ม แสวงหาความยุติธรรม? ฝางเว่ยโจมตีเซี่ยวหยุนก่อน แต่ตระกูลเซี่ยวของเขาก็ไม่ได้พยายามแสวงหาความยุติธรรม ไอ้แก่วิตถารนี้กำลังพยายามที่จะเป็นโจรที่เรียกร้องโจร”
เซี่ยวไห่ผู้ที่มักจะมีบุคลิกที่ร้อนแรงสามารถพูดออกมาได้โดยไม่ต้องสงวนคำพูดไว้หลังจากที่มาถึงขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง
คนในตระกูลเซี่ยวจะถูกแกล้งแบบนี้รึ?
“อะไร เจ้าต้องการแสวงหาความยุติธรรมจากเรารึไง?” ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางหดแคบดวงตาของตนเองลงและยิ้มเย็นไปที่เซี่ยวไห่า ซึ่งทำให้บรรยากาศกลายเป็นตึงเครียด
เซี่ยวไห่คำราม “ฝางคุน เจ้าคิดว่าตระกูลฝางของเจ้าสามารถปกคลุมท้องฟ้าได้ด้วยมือของเจ้า? ตอนนี้อัจฉริยะของตระกูลเซี่ยวของเราได้กลับมาแล้ว เจ้าคิดว่าตระกูลฝางของเจ้าจะยังสามารถเปรียบเทียบกับตระกูลเซี่ยวของพวกเราได้?” เขาไม่ได้ความตั้งใจที่จะถอยกลับเลย – ตอนนี้ตระกูลเซี่ยวของเขาได้ทรงพลังขึ้นมากแล้ว มันจะมีอะไรให้พวกเขากลัวกัน?
“ฮ่าฮ่า อัจฉริยะ?” ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางหัวเราะเย็นชาและกล่าวว่า “อัจฉริยะที่ตายตั้งแต่ยังเยาว์จะไปใช้อะไรได้?”
“เจ้าอยากจะทำอะไร?” การจ้องมองของเซี่ยวไห่กลายเป็นแหลมคมมายิ่งขั้นขณะที่กลิ่นทรงพลังได้กระจายออกมาจากเขา
“ขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง? เซี่ยวไห่คนนี้ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตแก่นที่แท้จริงแล้วรึ?” เมื่อพวกเขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายนี้ ผู้อาวุโสจากตระกูลต่างๆก็จ้องมองด้วยความตกใจ ผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงเป็นเซียนท่ามกลางเซียนภายในเขตเมฆาม่วง ทุกๆผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงจะทำให้ตระกูลของเขามีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมากยิ่งขึ้นไปอีกขั้น
ถัดจากเซี่ยวไห่ สายตาของเซี่ยวหงก็มืดลงเช่นกันขณะที่เขาส่งกลิ่นอายของเขาออกมาเพื่อเตรียมตัวต่อสู้
“ผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง? นั่นคือทั้งหมดที่เจ้ามี?”
ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางหัวเราะเย็นชา “ซุนเอ๋อไปฆ่าไอ้เด็กนั่นให้ข้า”
“ขอรับ!” ฝางซุนยอมรับทันทีแล้วก็ส่งกลิ่นอายอันทรงพลังของตัวเขาออกมา
“ขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง?” เซี่ยวไห่ขมวดคิ้ว เขาไม่เคยคิดเลยว่าฝางซุนก็จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงแล้วเช่นเดียวกัน
ในขณะที่เขารู้สึกตกใจ ฝางซุนก็ได้ก้าวออกไปและเร่งความเร็วไปยังเด็กหนุ่มบนเวทีแล้ว
“เจ้ากล้า!” เซี่ยวไห่คำรามด้วยความโกรธขณะที่เขาโจมตีฝางซุน พยายามที่จะหยุดให้ได้
“เป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงแต่กล้าที่จะหยิ่งยโส?” ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางจ้องออกไปขณะที่เขากวาดออกด้วยมือของเขา ส่งคลื่นแห่งแก่นแท้ปราณอันหนาแน่นออกไป แก่นแท้แห่งปราณได้ปิดกั้นเส้นทางของเซี่ยวไห่ดังเช่นกำแพงทึบ ทำให้เขาชนเข้ากับมันและต้องล่าถอยไป
ร่างกายของเซี่ยวไห่สั่นสะท้านและเขาทำให้ตัวมั่นคงหลังที่จากถอยหลังไปหลายก้าว สามารถมองเห็นรอยเลือดได้จากริมฝีปาก
“ช่างเป็นกลิ่นอายที่ทรงพลัง เจ้าไม่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตแกนกลางแก่นแท้ได้” เซี่ยวไห่มองขึ้นไปยังผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางด้วยร่องรอยความหวาดกลัวในดวงตาของเขา อำนาจที่ไอ้แก่วิตถารแสดงออกมามันทรงพลังจนเกินไป และมันก็เกินกว่าสิ่งที่เขารู้
สิ่งนี้แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เกินกว่าระดับพลังของผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง
“อะไรนะ? ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางก้าวเข้าสู่ขั้นแกนกลางแก่นแท้?” ผู้ฝึกตนจากตระกูลอื่นๆตกตะลึงไปโดยสมบูรณ์
“ชายชราคนนี้ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตแกนกลางแก่นแท้?” ไม่ไกลเกินไป ดยุคหยานขมวดคิ้วแน่น “นี่จึงอธิบายได้ถึงกลิ่นอายแปลกๆที่ข้ารู้สึกได้จากเขาซึ่งทำให้ข้ารู้สึกมิอาจหยั่งถึงได้… ถ้าเช่นนั้นเขาก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตแกนกลางแก่นแท้แล้ว สิ่งนี้เป็นปัญหาอย่างไม่น่าเชื่อ”
ในชั่วพริบตา ผู้คนทั้งหมดบนเวทียกสูงก็จดจ่ออยู่กับผู้นำคนก่อนของตระกูลฝาง