Eternal Martial Sovereign - ตอนที่ 52 – เวลาแห่งศึกประลองยุทธ์
Chapter 52 – เวลาแห่งศึกประลองยุทธ์
หลังจากพูดคุยกันสักพัน สมาชิกตระกูลเซี่ยวคนอื่นๆก็ออกไป เซี่ยวหยุนก็ไปใช้เวลาอยู่กับหยานซือเฟยและคนอื่น และก็ไม่ได้ฝึกต่อ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เช่นเดียวกันกับรัศมีแห่งแสงที่ทะลวงผ่านเมฆา ทั่วทั้งเขตเมฆาม่วงได้กลายเป็นมีชีวิตชีวาและคึกคัก
มีผู้ฝึกตนจากตระกูลใหญ่ในแต่ละแห่งรวมตัวกันอยู่ในสถานที่เดียวกันและพวกเขาทั้งหมดก็เตรียมพร้อมอยู่ นี่เป็นเพราะว่าวันนี้คือศึกประลองยุทธ์แห่งเขตเมฆาม่วง
ถ้าคนรุ่นเยาว์คนใดก็ตามกระทำได้ดีในการประลอง พวกเขาจะได้รับโอกาสมุ่งหน้าไปที่นครหลวงแห่งราชอาณาจักร(ให้สอดคล้องกับชื่อของราชอาณาจักรจันทราวายุครับ) เพื่อเข้ารับการตรวจสอบจากนิกายต้นกำเนิดสวรรค์ เมื่อลูกหลานของตระกูลถูกเลือกโดยบุคคลสำคัญ ตระกูลของพวกเขาทั้งหมดจะเป็นเหมือนกับปลาที่กระโดดผ่านประตูมังกรและยกระดับชื่อเสียงขึ้น
ตระกูลเซี่ยวก็มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉง คนรุ่นก่อนทั้งหมดต่างก็รวมตัวเข้าด้วยกันซึ่งเต็มไปด้วยความหวัง 5 วันก่อน พวกเขาจะเต็มไปด้วยความกังวล นี่เป็นเพราะว่าไม่มีใครที่สามารถต่อสู้กับฝางเฮ่าได้!
อย่างไรก็ตาม เซี่ยวไห่และเซี่ยวหงก็มั่นใจอย่างสมบูรณ์แบบ
แม้กระนั้น ก็ยังคงมีสมาชิกของตระกู,คนอื่นที่ค่อนข้างกังวล เพราะว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเซี่ยวหยุนทรงพลังขนาดไหน
“นายน้อยเซี่ยวหยุน ท่านมีทางที่จะเอาชนะฝางเฮ่า?”
“มีคนกล่าวว่าฝางเฮ่าได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิดเมื่อนานมาแล้ว!”
หลังจากเห็นเซี่ยวหยุน สมาชิกของตระกูลบางคนก็เริ่มตั้งคำถามเขาด้วยความกังวล
“ฮ่าฮ่า เจ้าจะได้เห็นในเร็วๆนี้” เซี่ยวหยุนไม่ได้กล่าวน่ารำคาญเกินความจำเป็นและเพียงยิ้มง่ายๆเท่านั้น
หยานซือเฟยยืนอยู่ข้างเซี่ยวหยุนและได้แผ่ความมีสุขภาพและเรี่ยวแรงออกมา นางดูเหมือนกับหญิงสาวที่งดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ และเพียงยิ้มง่ายๆของนางก็สามารถทำให้สวรรค์และปฐพีต้องสูญเสียความรุ่งโรจน์ไป ยิ้มของนางเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นต่อเซี่ยวหยุน เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เพียงแต่จะฟื้นคืนพรสวรรค์ของเขากลับมาเท่านั้น แต่ตอนนี้ยังควบคุมจิตวิญญาณการต่อสู้เปลวไฟได้อีกด้วย แล้วเขาจะด้อยกว่าฝางเฮ่าได้อย่างไรเล่า?
ทุกคนรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อพวกเขาเห็นว่าเซี่ยวหยุนดูมั่นใจเยี่ยงไร
อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสบางคนยังคงกระวนกระวายอย่างน่าเหลือเชื่อ
หัวหน้าผู้อาวุโสถาม “เหตุใดผู้นำคนก่อนยังไม่มากัน?”
ทุกคนต่างก็เห็นด้วย “ใช่แล้ว!” ผู้นำคนก่อนของตระกูลเซี่ยวมีการบ่มเพาะที่สูงที่สุดในทั้งตระกูล และถ้าไม่มีเขาอยู่ที่นี่ ทุกคนก็จะรู้สึกเสียขวัญอย่างมาก
เนื่องจากว่ามีตระกูลใหญ่หลายตระกูลอยู่ในปัจจุบัน แล้วพวกเขาจะปล่อยให้ไม่มีคนคอยทำให้สถานการณ์ตกอยู่ใต้การควบคุมได้อย่างไร?
“ท่านพ่อกำลังปิดประตูฝึกตน ไม่จำเป็นต้องรบกวนท่าน” เซี่ยวไห่กล่าว “ไปกันเลย ข้ามั่นใจว่าตระกูลฝางกำลังรอทำการเยาะเย้ยพวกเรา”
“อืม” เซี่ยวหงเห็นด้วย “เริ่มออกเดินทางกันเถิด”
เห็นว่าทั้งสองพี่น้องดูมั่นใจขนาดไหน คนอื่นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หัวหน้าผู้อาวุโสถามด้วยความแปลกใจว่า “จะ-เจ้าทั้งคู่ทะลวงผ่านแล้ว?” หลังจากที่ส่งสัมผัสของเขาออกมา ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบบางสิ่ง
แต่สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร? พี่น้องสองคนนี้ติดอยู่ในขั้นสมบูรณ์ขอบเขตต้นกำเนิดมานานกว่า 10 ปีแล้ว!
ในการตอบรับ เซี่ยวหงและเซี่ยวไห่เพียงแค่ยิ้มอย่างใจเย็นเท่านั้น
“เซี่ยฮู่ เจ้าจะรับผิดชอบในการปกป้องตระกูล” เซี่ยวหงกล่าวกับเซี่ยวฮู่ข้างๆเขา
“ขอรับ!” เซี่ยวฮู่พยักหน้า “โปรดวางใจได้เลยท่านผู้นำตระกูล เซี่ยวฮู่จะปกป้องตระกูลอย่างแน่นอน”
เขาเข้าใจสิ่งที่เซี่ยวหงหมายถึง
เนื่องจากผู้นำตระกูลคนก่อนอยู่ในการปิดประตูฝึกตน เขาจำเป็นต้องอยู่ข้างหลังและปกป้องเขา พร้อมกับป้องกันไม่ให้ใครมารบกวน
“ไปกันเถิด!” เซี่ยวหยุนกวาดมือของเขาออกและนำผู้คนของตระกูลออกไป
“วันนี้ ข้าสัญญากับพ่อแม่ของเจ้าว่า ข้า เซี่ยวหยุนไม่ใช่ขยะ” เซี่ยวหยุนกล่าวกับหยานซือเฟยขณะที่เขาจับมืออันอ่อนนุ่มและนิ่มนวลของนาง
“ข้าเชื่อในตัวเจ้า” หยานซือเฟยกระพริบตา มีความสุขร่าเริงบนใบหน้าอันสวยงามของนาง หลังจากที่วันนี้ นางจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพ่อแม่ของนางจะไม่เห็นด้วยอีกต่อไปแล้ว นางภูมิใจกับเด็กหนุ่มคนนี้
ผู้คนของตระกูลเซี่ยวเดินขบวนไปยังสังเวียนประลองยุทธ์ของเขตเมฆาม่วง มันสามารถรองรับผู้คนได้กว่า 100,000 คน และมันก็เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว เสียงแห่งการพูดคุยและสนทนาอาจทำให้หูตึงได้
มีเวทียกขึ้นสูงที่สงวนไว้สำหรับตระกูลใหญ่ซึ่งค่อยๆถูกเติมเต็มอย่างช้าๆ ที่ศูนย์กลางของเวทีที่ยกขึ้นสูงเป็นของดยุคแห่งเขตเมฆาม่วง หยานหรง หยานหรงสวมใส่ชุดปักและมีการแสดงออกที่เคร่งขรึมและภูมิฐานบนใบหน้าของเขา
ดยุคมีการบ่มเพาะที่ขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง เขาอยู่ในวัยสี่สิบต้นๆซึ่งทำให้เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ มีคนน้อยมากในเขตเมฆาม่วงที่จะกล้าสร้างปัญหากับเขา
ข้างหยานหรงก็คือท่านหญิงหยาน ผู้ที่มีลูสาวที่สวยงามนั่งอยู่ข้างนาง เป็นเรื่องธรรมดาที่หญิงสาวคนนี้คือหยานซือหยัน
“เหตุใดพี่ใหญ่เซี่ยวหยุนจึงยังไม่มาอีก?” ดวงตาที่สวยงามของหยานซือหยันกระพริบขณะที่นางกัดริมฝีปาก ดวงตาใสราวกับคริสตัลของนางกวาดไปรอบๆเมฆ ราวกัว่านางกำลังพยายามมองหาเด็กหนุ่ม อย่างไรก็ตาม น้องก็ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ท่านหญิงหยานขมวดคิ้ว รู้สึกขุ่นเคืองใจยิ่งนัก “เด็กหญิงคนนี้… เป็นไปได้ไหมว่านางก็ชอบไอ้เด็กเหลือขอเซี่ยวหยุนเหมือนกัน?” ใบหน้าของนางเริ่มมืดครึ้มลง
ในขณะนี้ ฝูงชนจำนวนมากได้มาถึงและเริ่มก้าวขึ้นไปที่เวที
“ฮ่าฮ่า ดยุคหยาน ข้าเชื่อว่าท่านก็สบายดีเช่นกันตั้งแต่ที่เราได้พบกันครั้งสุดท้าย!” ผู้อาวุโสที่มีเคราขาวเดินขึ้นมา ดวงตาของเขากำลังเผาไหม้เหมือนกับไฟฉายขณะที่มีรอยยิ้มเต็มอยู่บนใบหน้า ใบหน้าของเขาดูค่อนข้างเป็นมิตร แต่ก็มีแรงกดดันไร้รูปร่างกระจายออกมาจากเขา ซึ่งทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจที่ได้สบตากับเขา
“ฝางคุน?” หยานหรงขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ถึงสัมผัสที่กดดันจากชายชราคนนี้ “มันเป็นไปได้ไหมว่าเขาทะลวงผ่านแล้ว”
หยานหรงรู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจ
“ฮ่าฮ่า ผู้นำตระกูลคนก่อนของตระกูลฝสง! ท่านมองดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆเลยนะ” หยานหรงลุกขึ้นขณะที่เขายิ้มให้ชายชรา เขาเป็นหัวหน้าของตระกูลฝางและคนที่โดดเด่นมาก
“ข้าแก่แล้ว” ฝางคุนยิ้มขณะที่เขาสาวเท้าไปยังแถวที่นั่งบนเวที หลังฝางคุนนั้นเป็นคนของตระกูลฝางจำนวนมากซึ่งรวมถึงฝางซุนและฝางเฮ่า
ข้างฝางเฮ่าเป็นคนที่ไม่ได้มาจากตระกูลฝาง ฉินหยูเฉิน ในฐานะที่เป็นศิษย์จากนิกายต้นกำเนิดสวรรค์ เขามีสิทธิ์ที่จะนั่งกับผู้อาวุโสเหล่านี้
หลังจากนั่งลง ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางก็ยิ้มขณะที่เขาถามดยุคหยานว่า “ทำไมข้าจึงไม่เห็นซือเฟยของตระกูลท่านกันล่ะ?”
ทุกคนจากตระกูลฝางก็มองไปเช่นกัน หยานหรงขมวดคื้ว ไม่มั่นใจว่าจะต้องตอบอย่างไร
“พี่สาวใหญ่อยู่กับตระกูลเซี่ยว” หยานซือหยันบุ้ยปาก รู้สึกค่อนข้างไม่มีความสุขต่อผู้นำคนก่อนของตระกูลฝาง
ฉินหยูเฉินรู้ว่าหยานซือเฟยออกจากบ้านของนางมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังถามเกี่ยวกับมันอีก มันทำให้นางรู้สึกรังเกียจมาก
ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางกล่าวขณะที่ดวงตาของเขาหดแคบลง “ตระกูลเซี่ยว… ดยุคหยาน ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว และมันก็ไม่สิ่งดีสำหรับลูกสาวที่มีเกียรติของท่านที่จะใกล้ชิดกับเซี่ยวหยุน ชายชราคนนี้แนะนำให้ท่านรีบไปนำหยานซือเฟยกลับมาโดยเร็ว”
ดยุคหยานรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยและยิ้มเชืงขอโทษ “ฮ่าฮ่า ลูกสาวข้าคนนั้นได้ทำตัวเกเรเมื่อเร็วๆนี้ ข้าจึงคิดว่าควรจะสอนบทเรียนให้กับนางเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง”
“นี่เป็นเรื่องในตระกูลของดยุคหยาน ชายชราคนนี้จะไม่กล่าวอะไรอีก”
“ไอ้แก่ปีศาจนี้จะกระทำการต่อสู้กับตระกูลเซี่ยวจริงๆ?” ดยุคหยานคิดกับตัวเอง
ข้างๆพวกเขาเป็นฉินหยูเฉินที่มีความเงียบสงบบนใบหน้า ดูราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย อย่างไรก็ตาม มันยังมีร่องรอยความหนาวเหน็บบนริมฝีปากของเขา
ฝางเฮ่าทีคิ้วที่เหมือนกับกระบี่และมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา แต่ดวงตาของเขาหดแคบลงและเขาก็ปล่อยสัมผัสที่หนาวเย็นและเย่อหยิ่งออกมา
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว หยานหรงรู้สึกค่อนข้างไม่สงบ – คนเหล่านี้จะเงียบสงบกันเกินไปแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับฉินหยูเฉิน – เขาได้ขอแต่งงานกับลูกสาวของเขา แต่หลังจากที่หยานซือเฟยปฏิเสธไป เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย มันผิดปกติมากเกินไป
หลังจากนั้น ตระกูลโจวก็มาถึง คนที่นำมาก็เป็นชายชราเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นผู้ที่มาทักทายผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางทันที
“ฮ่าฮ่า พี่ฟาง ท่านมาถึงเร็วมาก!” ผู้นำคนก่อนของตระกูลโจวมีอายุเกือบ 50 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังมีรูปลักษณ์ที่แดงก่ำและดูสุขภาพดีมาก
“น้องโจวก็ไม่ได้มาสายเลย!” ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางยิ้มอย่างสงบ
หลังจากทักทายผู้นำคนก่อนของตระกูลฝาง ผู้นำคนก่อนของตระกูลโจวแล้วจึงก็ค่อยทักทายดยุคหยาน ท่าท่าผิดปกตินี้ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจมาก
หลังจากนั้น ตระกูลหลินก็มาถึง หลินเซี่ยวเหมาอยู่ท่ามกลางพวกเขา ความงามของนางนั้นสามารถเป็นคู่แข่งของหยานซือเฟยได้เลย (หลินเซี่ยวเหมาจากตอนแรกๆที่มากับหยานซือหยันนะครับ)
หลังจากนั้น ตระกูลเล็กบางตระกูลก็มาถึงเวทีสูงแล้วเช่นกัน
“ฮ่าฮ่า พี่ฝาง ท่านมีหลานชายที่ดีมาก จากกลิ่นอายของนางน้อยฝางเฮ่า เขามีแนวโน้มอย่างที่มากจะก้าวเข้าสู่ขั้นกลางของขอบเขตต้นกำเนิดแล้วใช่ไหม? ” ผู้อาวุโสบางคนยิ้ม แล้วมองไปที่เด็กหนุ่มด้วยความยกย่อง
นี่เป็นอัจฉริยะยุคปัจจุบันของเขตเมฆาม่วง!
“พรสวรร์ของเฮ่าเอ๋อนั้น่าทึ่งและการบ่มเพาะของเขาเองก็เหนือกว่าทุกคนในรุ่นของเขาอย่างแท้จริง” ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางกล่าวขณะที่เขายิ้มอย่างสงบ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้พูดอะไรมากขึ้น
บางคนถาม “มีคนกล่าวว่านายน้อยฝางเฮ่าได้ถูกเฝ้ามองอย่างโปรดปรานโดยผู้อาวุโสฉินของนิกายต้นกำเนิดสวรรค์ ถ้าอย่างนั้นเขาจะเข้าร่วมศึกประลองยุทธ์ของปีนี้รึไม่?”
ผู้อาวุโสและเยาวชนจากตระกูลอื่นสองสามตระกูลมองมา และให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด ผู้ที่ชนะศึกประลองยุทธ์ครั้งนี้จะได้รับสิทธิ์ไปที่นครหลวงแห่งราชอาณาจักรเพื่อเข้ารับการตรวจสอบจากนิกายต้นกำเนิดสวรรค์ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับอนาคตของพวกเขา! เช่นนี้ ถ้าฝางเฮ่าเข้าร่วม พวกเขาก็มีฝ่ายตรงข้ามที่ทรงพลังเพิ่มอีกหนึ่ง ทำให้การชนะเป็นเรื่องยากลำบากราวกับการไต่ขึ้นสำหรับพวกเขา
“ถ้ามีใครมีค่าเพียงพอ บางทีฮ่าวเอ๋ออาจจะเข้าร่วม” ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝางตอบกลับอย่างไม่มีอารมณ์
สิ่งนี้ทำให้ทุกคงต่างก็ขมวดคิ้ว
“เขาก็จะเป็นศิษย์ของนิกายต้นกำเนิดสวรรค์อยู่แล้วนิ แล้วเขาจะมาเข้าร่วมเพื่ออะไรอีก?” ทุกคนต่างก็บ่น แต่ไม่มีใครกล้าพอที่จะพูดแบบนี้
ในปัจจุบัน ตระกูลฝางเหมือนกับพระอาทิตย์ท่ามกลางท้องฟ้า และไม่มีใครกล้าขัดใจพวกเขาในที่สาธารณะ
“พี่ใหญ่เซี่ยวหยุนมาแล้ว” ขณะที่ทุกคนเริ่มพูดพึมพำระหว่างตัวพวกเขาเอง หยานซือหยันก็ยิ้มออกมาพร้อมกับดวงตาที่ส่องแสงของนาง ไกลออกไป เซี่ยวหยุนกำลังเดินมาที่เวทีพร้อมกับเซี่ยวหงและคนอื่น
“เขาก็แค่เศษขยะ มันจำเป็นเช่นนั้นรึที่เจ้าจะต้องตื่นเต้น?” หลินเซี่ยวเหมายกขึ้นของนางขึ้นขณะที่กล่าวอย่างสงบ
“พี่ใหญ่เซี่ยวหยุนไม่ใช่ขยะ” หยานซือหยันยิ้มจนเห็นถึงฟันที่น่ารักของนาง ขณะที่นางมองไปที่เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างล่าง นางดูมีความหลงใหลอยู่ภายในดวงตาของนาง อย่างไรก็ตาม นางย่นจมูกขณะที่นางบุ้ยปากเมื่อเห็นเขาจับมือของพี่สาวใหญ่อยู่; นางหึงหวงอย่างไม่น่าเชื่อ
“คนโง่ยึดติดกับความรัก” หลินเซี่ยวเหมากลอกตาของนางไปที่เด็กหญิงที่อยู่ถัดจากนาง แต่เมื่อนางมองลงไป ร่องรอยความตกใจก็อยู่ในดวงตาของนาง “เหตุใดพี่สาวใหญ่ซือเฟยจึงมากับเซี่ยวหยุนกัน? แล้วยังดูเหมือนพวกจะสนิทกันมากอีกด้วย!”
ด้วยเหตุผลบางอย่างที่นางไม่รู้ แต่เมื่อนางได้เห็นเด็กหนุ่มจับมือของหยานซือเฟย นางรู้สึกว่าสัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดแปลกๆ
“ฮึ่ม เขาถูกลิขิตให้เป็นขยะ ใครจะไปสนใจเขากัน?” หลังจากที่สั่นศีรษะของนาง หลินเซี่ยวเหมาก็หยุดให้ความสนใจต่อเด็กหนุ่มเบื้องล่าง และมองไปที่ฝางเฮ่าอย่างช่วยไม่ได้และมองอย่างไม่วางตาด้วย นางพึมพำว่า “นี่สิจึงเป็นมังกรที่แท้จริงท่ามกลางเหล่าบุรุษ มันช่างน่าเสียดายที่มาตรฐานของเขาสูงเกินไป และข้าก็ไม่ใช่คนที่สามารถเป็นได้”
“นั้นไม่ใช่เซี่ยวหยุนรึ?” เมื่อเซี่ยวหยุนเดินผ่านภายในฝูงชน สายตานับไม่ถ้วนก็ตกลงร่างเขา
“ฮ่าฮ่า มีคนกล่าวว่าเซี่ยวหยุนไม่ได้ทะลวงผ่านมา 8 ปีแล้ว”
“เป็นไปได้ว่าเขาต้องการที่จะเข้าร่วมศึกประลองยุทธ์ครั้งนี้”
“มีคนบอกว่าเขาใช้พิษเพื่อทำร้ายนายน้อยฝางเว่ยด้วย ทำให้ตระกูลฝางและตระกูลเซี่ยวจ่อไปที่หอคอยของกันและกัน ไม่ใช่ว่าการที่เขามีส่วนร่วมในศึกประลองยุทธ์ครั้งนี้นมันก็แค่การรนหาที่ตายรึ?”
“ย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้น เซี่ยวหยุนคนนี้เป็นอัจฉริยะที่เป็นยอมรับของเขตเมฆาม่วงของพวกเรา แต่ตอนนี้เขากลับตกมาอยู่ในสถานะเช่นนี้เสียแล้ว”
“อัจฉริยะบ้าอะไรกัน? ที่เขามีก็แค่จิตวิญญาณการต่อสู้ขยะชัดๆ” หลายคนหัวเราะเย็นชา ไม่สนใจเกี่ยวกับเขาเลย
ทันใดนั้นก็มีบางคนร้องออกมาว่า “ดูสิ ท่านหญิงหยานคนโดตอยู่ด้วยกันกับเขา!”
“อะไรนะ ท่านหญิงหยานคนโตอยู่กับเขา?” ได้ยินสิ่งนี้ สายตานับไม่ถ้วนตกลงไปที่เซี่ยวหยุนอีกครา
“โธ่ นางถูกกินโดยหมูแล้ว!” หลังจากนั้น ฝูงชนก็ถอนหายใจออกมา มีหลายคนในพวกเขาปกคลุมไปด้วยความอิจฉา