Eternal Martial Sovereign - ตอนที่ 53 – แสดงอำนาจเป็นครั้งแรก
Chapter 53 – แสดงอำนาจเป็นครั้งแรก
การปรากฏตัวของเซี่ยวหยุนทำให้เกิดคลื่นของการพูดคุย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาก็เคยเป็นอัจฉริยะที่ถูกยอมรับจากสาธารณะ และแม้ว่าเขาจะตกลงสู่สถานะที่น่าเวทนามากนัก แต่ก็ยังคงมีอยู่หลายคนที่ให้ความสนใจเขา
แต่มันก็เพียงแค่ความสนใจที่มาจากความเยาะเย้ย ราวกับว่าพวกเขากำลังสำราญไปกับโชคร้ายของเขา อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นหญิงสาวผู้งดงามข้างๆเขา ความอิจฉาก็เผาไหม้อยู่ในดวงตาของพวกเขาราวกับพระอาทิตย์
ในการตอบสนอง เซี่ยวหยุนมีความสงบมากต่อเสียงพูดคุยเหล่านี้
“ฟังสิ พวกเขากำลังพูดว่าข้าถูกกินโดยหมู” หยานซือเฟยกล่าวขณะที่ปิดปากและหัวเราะ
“พวกมันก็แค่อิจฉา” เซี่ยวหยุนกล่าวขณะที่ยกคิ้วขึ้น ดวงตาของหดแคบลงขณะที่เขากล่าวด้วยความผิดปกติ “แต่ข้าก็ยังไม่ได้กินเจ้าเลย ดังนั้นอย่างน้อยข้าควรจะได้ผลประโยชน์นิดหน่อยในวันนี้” หลังจากกล่าวเช่นนี้ เขาก็จูบหญิงสาวที่อยู่ข้างๆเขา
“ไม่ได้ มีคนจำนวนมากอยู่ที่นี่” หลังจากถูกเด็กหนุ่มโจมตีกะทันหัน ใบหน้าของหยานซือเฟยก็กลายเป็นสีแดงสนิท
ในขณะเดียวกันนี้ เจตนาสังหารก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเด็กหนุ่มรอบๆพวกเขา
“น่ารังเกียจ เซี่ยวหยุนมันกล้าทำสิ่งเช่นนี้ในที่สาธารณะ!”
“เขาแสดงมันออกมา!” เด็กหนุ่มหลายโกรธอย่างเหลือเชื่อขณะที่พวกเขาร้องตะโกนว่า “ข้าอยากไปฆ่าเขา!”
ผู้คนจำนวนมากเหล่านี้เลื่อมใสและใฝหาหยานซือเฟยมาก แต่ทั้งหมดก็ถูกปฏิเสธ เห็นเทพธิดาของพวกเขาอยู่กับคนอื่น พวกเกือบจะยิงไฟออกมาจากตาได้อยู่แล้ว และโกรธมากขนฟันของพวกเขาสั่น แม้แต่ใบหน้าของเหล่าลูกหลานตระกูลใหญ่บนเวทีก็มืดครึ้มลง
“ฮึ่ม มันมีอะไรน่าภาคภูมิใจกัน? หยานซือเฟยทรมานจากพิษร้าย และไม่มีชีวิตอยู่ได้นานหรอก ลองดูกันว่าเขาจะแสดงมันได้แค่ไหนกัน”
“เขาต้องใกล้ชิดกับหยานซือเฟยเพราะว่าเขาสกัดพิษให้นางแน่” ฝูงชนยังคนสนทนาต่อ
เซี่ยวหงและคนในตระกูลเซี่ยวที่เหลือเดินไปที่เวทีสูง พวกเขาได้นำคนหลายร้อยคนมาในครั้งนี้ และบางส่วนของผู้อาวุโสและผู้ฝึกตนขอบเขตต้นกำเนิดก็เดินไปที่เวทีสูง ขณะที่สมาชิกตระกูลธรรมดาที่เหลือได้อยู่บนพื้นดิน สิ่งนี้คือกฎ – ไม่ใช่ว่าใครจะขึ้นไปที่เวทีก็ได้ ในการตอบสนอง ตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นไม่ได้ดูกระตือรือร้นต่อสิ่งนี้มากนัก
เห็นได้ชัดเลยว่าตระกูลอื่นๆรู้เรื่องที่ตระกูลฝางและตระกูลเซี่ยวได้ขัดแย้งกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าแสดงความเป็นมิตรต่อตระกูลเซี่ยวในที่สาธารณะมากเกินไปนัก เนื่องจากว่าศักยภาพของตระกูลฝางนั้นไร้ขีดจำกัด
เมื่อฝางเฮ่าเข้าสู่นิกายต้นกำเนิดสวรรค์ ภายใต้การสนับสนุนของเขา ตระกูลฝางจะทรงพลังมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น ใครมันจะไปกล้าขัดแย้งกับตระกูลฝางกัน?
ผู้นำคนก่อนของตระกูลหลินถามว่า “อะไรกัน พี่หยวนฉานไม่มาหรือ?” (หยวนฉาน = ชื่อของผู้นำตระกูลเซี่ยวในตอนที่ 10 กว่าๆนะครับ ผมเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อนี้นะครับ)
ความสัมพันธ์ของเขากับผู้คนก่อนของตระกูลฝางไม่ได้เลวร้าย และเขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่เย็นชาเพราะตระกูลฝาง
“ท่านพ่อกำลังปิดประตูฝึกตนอยู่ ดังนั้นท่านจึงไม่สามารถมาได้” เซี่ยวหงยิ้มอย่างสงบ เขาได้จำกัดกลิ่นอายของเขาไว้ ไม่ได้พูดทั้งแบบประจบประแจงหรือยกตนข่มท่าน และก็มีร่องรอยความมั่นใจในตนเองอยู่ หลังจากก้าวเข้าสู่ขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง สิ่งทั้งหมดที่เขาได้แบกรับก็ได้เปลี่ยนไปเช่นกัน
“โอ้ ปิดประตูฝึกตน?”ดวงตาของผู้นำคนก่อนตระกูลหลินหดแคบลงและถอนหายใจ มันเห็นได้ชัดว่าผู้นำคนก่อนของตระกูลเซี่ยวอยู่ภายใต้แรงกดดันมากขนาดไหน เมื่อเขามองไปที่ผู้นำคนก่อนของตระกูลฝาง เขาก็ต้องขมวดคิ้ว – เขาไม่สามารถขัดใจคนเช่นนี้ได้!
มีที่ว่างเหลืออยู่บนเวที ซึ่งสงวนไว้สำหรับคนของตระกูลเซี่ยว เซี่ยวหงและเซี่ยวไห่นั่งลงที่ตำแหน่งของผู้นำ
“เซี่ยวหยุนคือมัน?” ขณะที่เซี่ยวหยุนและหยานซือเฟยเดินผ่าน ร่องรอยของความเย็นชาก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของฉินหยูเฉิน ส่วนฝางเฮ่าผู้ที่นั่งข้างเขาด้วยดวงตาที่ปิดสนิท ก็ลืมตาขึ้นและยิ้มเย็นชาออกมา
“เฟยเอ๋อ” เมื่อเซี่ยวหยุนและหยานซือเฟยเดินผ่านไป การแสดงออกของท่านหญิงหยานก็มืดลงขณะที่นางเรียนออกมา “เจ้าจะไม่มา?”
“ท่านแม่” ความลังเลปรากฏขึ้นในดวงตาของหยานซือเฟยขณะที่นางกัดริมฝีปากเล็กน้อยและมองไปที่เด็กหนุ่มข้างๆนาง
เซี่ยวหยุนยิ้ม “เจ้าควรไป จงอย่าได้กังวล ในเวลาอันใกล้นี้ข้าจะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าเจ้าไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาด”
“อือ” หยานซือเฟยพยักหน้าและเดินไปยังศูนย์กลางของเวที
“ลูกสาวข้า เหตุใดเจ้าจึงเป็นคนดื้อรั้นกัน?” ขณะที่ลูกสาวของนางเดินมาอย่างช้าๆ ท่านหญิงหยานก็รู้สึกโกรธอย่างเหลือเชื่อและต้องการจะเริ่มดุด่านาง
“เอาล่ะ พอได้แล้ว” ดยุคหยานกล่าวขณะที่เขาโบกมือ “มันดีแล้วที่เฟยเอ๋อกลับมา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก”
ท่านหญิงหยานหยุดพูด
“ในเมื่อตระกูลเซี่ยวมาถึงแล้ว ก็เริ่มศึกประลองยุทธ์กันเถิด” ดยุนหยานลุกขึ้นและมองไปรอบๆขณะที่เขากล่าว “กฎยังคงเป็นเช่นเดิม แต่ละตระกูลส่ง 3 คนเพื่อเข้าร่วมและผู้ชนะจะได้สิทธิ์ไปยังนครหลวงแห่งราชอาณาจักรเพื่อเข้ารับการตรวจสอบจากนิกายต้นกำเนิดสวรรค์ มันช่างน่าเสียดายที่เขตเมฆาม่วงของพวกเราขาดแคลนทรัพยากรและไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากนิกายใหญ่จำนวนมาก จึงเป็นผลให้พวกเรามีเพียงแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้น”
“ฮ่าฮ่า ดยุคหยานไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ มาเริ่มเตรียมพร้อมสำหรับศึกประลองยุทธ์กันเถิด” ผู้คนจากนิกายใหญ่ต่างๆกล่าวขณะที่พวกเขาหัวเราะ
“เอาล่ะ ผู้ที่ต้องการเข้าร่วม โปรดมาลงทะเบียน” ดยุคหยานกล่าว
หลังจากนั้น ผู้ชายคนหนึ่งก็เดินมาจากข้างหลังของเขาและเริ่มทำการลงทะเบียน พวกเขาไม่ได้ต้องการเพียงแค่ลงชื่อเท่านั้น แต่ยังต้องตรวจสอบผู้เยาว์ด้วยเช่นกัน ใครก็ตามที่อายุเกิน 16 ปีจะไม่สามารถเข้าร่วมได้
ในไม่ช้า การลงทะเบียนส่วนใหญ่ก็เสร็จสมบูรณ์ ผู้ชายที่รับผิดชอบการรับลงทะเบียนก็เดินไปที่เซี่ยวหงและเซี่ยวไห่ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮ่าฮ่า พี่เซี่ยว คนรุ่นเยาว์คนไหนกันที่ตระกูลเซี่ยวของท่านจะส่งออกมา?”
“เซี่ยวเฉียน เซี่ยวเย่ เซี่ยวหยุน” เซี่ยวหงตอบอย่างสงบ
“เซี่ยวหยุน?” ความตกใจปรากฏขึ้นในดวงตาของชายคนั้นขณะที่เขาถาม “นายน้อยเซี่ยวหยุนก็จะเข้าร่วมในการประลองเช่นกัน?”
ได้ยินแบบนี้ สายตานับไม่ถ้วนได้มองมา
“ถูกแล้ว” เซี่ยวหงกล่าวเฉียบขาด
“ไอ้ขยะเซี่ยวหยุนก็จะเข้าร่วม?”
ผู้อาวุโสและคนรุ่นเยาว์จากตระกูลต่างๆเริ่มพูดคุยกันเอง ในไม่ช้า วาจาเยาะเย้ยทุกประเภทก็เริ่มดังออกมา “ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนที่เหมาะสมเหลืออยู่ในตระกูลเซี่ยวอีกแล้ว!”
“อะไรนะ? เซี่ยวหยุนก็เข้าร่วมเช่นกัน?”
“เขารนหาที่ตายแล้ว” ด้านล่างของเวที ฝูงชนกำลังถูกส่งเข้าสู่ความบ้า เกือบทั่วทั้งเขตเมฆาม่วงรู้ดีว่าเซี่ยวหยุนได้ติดอยู่ที่ระดับ 6 ขั้นหลอมร่างกายมาเป็นเวลา 8 ปี แม้ว่าเขาจะทะลวงผ่านได้ด้วยโชคดี แล้วยังไงล่ะ? เขาจะมีส่วนร่วมในศึกประลองยุทธ์นี้ได้อย่างไรกัน?
เกือบจะไม่มีใครที่เชื่อมั่นในเซี่ยวหยุนและก็คิดว่าเขาแค่รนหาที่ตายเฉยๆ แม้แต่ผู้ฝึกตนการต่อสู้จากเขตเมฆาม่วงผู้ที่มาดูการแสดงดีๆก็หัวเราะเย็นชา และบอกว่าไม่มีใครที่เหลืออยู่ในตระกูลเซี่ยวแล้ว
“ขยะ?” เซี่ยวหยุนยิ้มอย่างสงบขณะที่เขากำหมัด มีความตื่นเต้นอยู่ในดวงตาของเขา ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา เขาได้ยินผู้คนมากมายหัวเราะเยาะเย้ยเขา แต่วันนี้ เขาจะล้างความอับยศทิ้งไปและกลายเป็นที่รู้จักทั่วทั้งแผ่นดิน
เขาจะบอกทุกคนว่า เขา เซี่ยวหยุน ไม่ได้เป็นขยะเสมอไป ขณะที่ทุกคนสนทนากันเอง เขาก็ลุกขึ้นและเดินออกไป
“เขากำลังจะทำอะไร?” ทุกคนประหลาดใจมาก
“ถูกแล้ว ข้าจะเข้าร่วมศึกประลองยุทธ์ครั้งนี้” เซี่ยวหยุนยังคงสงบอยู่ขณะที่เขามองไปรอบๆและเผชิญหน้ากับการตั้งคำถามทั้งหมด “ไม่เพียงแค่นั้น ข้าจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าข้า เซี่ยวหยุนไม่ใช่ขยะ ยิ่งไปกว่านั้นข้าจะเป็นผู้ชนะ”
คำพูดของเด็กหนุ่มถูกพูดออกมาอย่างเฉียบจนเหลือเชื่อ ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจอย่างไม่น่าเชื่อ
“อะไรนะ? เขาต้องการจะเป็นผู้ชนะ?” ผู้ฝึกตนจากตระกูลต่างๆ ตกตะลึงอย่างไม่น่าเชื่อ
“เขาบ้าไปแล้ว?”
“ไอ้ขยะนั้นไม่ได้ทะลวงผ่านมา 8 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังต้องการจะกลายเป็นผู้ชนะ?” ในชั่วพริบตา เสียงของการพูดคุยก็ดังยิ่งขึ้นและเสียงก็กวาดออกมาเหมือนกับคลื่น
หลังจากรู้สึกตกใจบางอย่างในตอนต้น ผู้อาวุโสบางคนก็นั่งลงและมองไปที่เด็กหนุ่มด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาดูสงบอย่างมาและดูเหมือนจะมั่นใจอย่างน่าเหลือเชื่อด้วย เขาไม่ได้ล้อเล่น!
คนรุ่นเยาว์บางคนแค่นเสียงเย็นชา “ฮึ่ม ใครก็สามารถพูดโม้แบบนั้นได้ ด้วยนายน้องฝางเฮ่าอยู่ที่นี่ ไอ้ขยะนั้นจะไปเป็นผู้ชนะได้ยังไงกัน?”
ทันใดนั้นบางคนก็ร้องออกมา “จากกลิ่นอายของเขา เขาดูเหมือนจะทะลวงผ่านไปในขอบเขตต้นกำเนิดแล้ว!”
นี่ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง หลังจากที่ส่งสัมผัสของเขาออกไป เขาก็ค้นพบบางสิ่งที่แตกต่างกันเกี่ยวกับกลิ่นอายของเซี่ยวหยุน
ผู้คนนับไม่ถ้วนตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “อะไรนะ? เซี่ยวหยุนทะลวงผ่านเข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิด?”
คำพูดของชายคนนั้นเหมือนกับหินขนาดมหึมาที่ตกลงไปในทะเล ทำให้เกิดระลอกคลื่นขนาดยักษ์ ผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลต่างๆทั้งหมดพากันส่งสัมผัสของพวกเขาไปที่เซี่ยวหยุน
“เขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิดแล้วจริงๆ” ดยุคหยานพึมพำด้วยดวงตาที่หดแคบลง
“ไม่ใช่มีคนกล่าวว่าเขาไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นเลยในเวลา 8 ปีหรอกหรือ?” ท่านหญิงหยานก็ตกตะลึงไปเช่นกัน มีความไม่เชื่ออยู่บนใบหน้าของนาง
“เซี่ยวหยุนก้าวเข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิดได้อย่างไรกัน?” ผู้เยาว์บางคนขมวดคิ้ว มองดูสับสนอย่างไม่น่าเชื่อ
“เขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิดแล้วจริงด้วย” ผู้นำคนก่อนของตระกูฝางกล่าวออกมาด้วยดวงตาที่ปิดลงของเขา
บางคนถาม “เป็นไปได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมว่าข่าวที่ว่าการบ่มเบาะของเขาได้หยุดความก้าวหน้าลงมันเป็นเรื่องหลอกลวง”
“คงไม่ใช่” คนอื่นตอบ
อัจฉริยะจะทำแบบนั้นกับตัวพวกเขาเองไปทำไม?
เนื่องจากเขามีชื่อเสียงอยู่แล้ว ดังนั้นเขาควรจะพยายามหนุนชื่อเสียงของเขาให้ดึงดูดความสนใจจากนิกายใหญ่มา นั่นคือที่ฝางเฮ่าทำขึ้นมา และมันก็เป็นผลให้เขาดึงดูดความสนใจของบางคนจากนิกายต้นกำเนิดสวรรค์ได้
“ใครจะไปคิดกันว่าไอ้เด็กเหลือขอนั่นได้ก้าวเข้าสู่ของเขตต้นกำเนิดแล้ว” ฝางซุนแค่นเสียงเย็นชา ดวงตาของเขาก็ส่องประกาย
“แล้วจะมันทำไมล่ะถ้าเขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิด?” ฝางเฮ่ากล่าวขณะยักไหล่
“ถูกต้อง แล้วมันจะทำไมล่ะถ้าเขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิด? ที่เขามีมันก็แค่จิตวิญญาณการต่อสู้ขยะ” คนอื่นจากตระกูลฝางให้ข้อคิดอย่างเย็นชา
“พี่ใหญ่ ท่านต้องช่วยข้าสั่งสองบทเรียนไอ้เวรนั้น” ฝางเว่ยกล่าวด้วยการแสดงออกที่มืดลง
ย้อนกลับไปเมื่อเขาถูกพิษ เขาได้ใช้ส่วนผสมสมุนไพรจำนวนมากเพื่อทำให้พิษมั่นคง และเพิ่งฟื้นตัวอย่างเต็มที่หลังจากที่ฉินหยูเฉินนำเม็ดยาแก้พิษออกมาเท่านั้น
ฝางเฮ่ายิ้มกว้าง “อย่ากังวล เนื่องจากเขากล้าล่วงเกินตระกูลฝางของเรา เขาจึงถูกกำหนดให้ไม่ได้อยู่อย่างสุขสบาย”
หลังจากได้รับการยืนยัน ชายที่มีหน้าที่รับผิดชอบการลงทะเบียนก็จ้องไปด้วยความตกใจชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะยิ้มและกล่าวว่า “ยินดีด้วยนายน้อยเซี่ยวหยุนสำหรับการได้รับพรสวรรค์คืนมา เนื่องจากท่านก้าวเข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิดแล้ว มันจึงเหมาะสมแล้วที่ท่านจะเข้าร่วมศึกประลองยุทธ์ครั้งนี้”
หลังจากเสร็จสิ้นการลงทะเบียน เขาก็หมุนตัวและไปที่ตระกูลฝาง
“ข้าก็จะเข้าร่วมศึกประลองยุทธ์ครั้งนี้เช่นกัน” ฝางเฮ่ากล่าวอย่างเย็นชา
“อะไรนะ?! ฝางเฮ่าก็เข้าร่วมเช่นกัน”
“ดูเหมือนว่าเขาจะเอาตำแหน่งของผู้ชนะมา”
“เขาเป็นอัจฉริยะเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้ได้ในเขตเมฆาม่วงของพวกเรา!” เมื่อพวกเขาได้ยินฝางเฮ่าจะเข้าร่วมด้วย ผู้เยาว์จำนวนมากก็เปิดเผยความเศร้าใจ อย่างไรก็ตามยังมีคนอื่นที่มีความมุ่งมั่นอยู่ในดวงตาของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้โดยไม่ได้สู้
หลังจากการลงทะเบียนเสร็จสิ้น ดยุคหยานก็ประกาศให้ทุกคนฟัง “เอาล่ะ เนื่องจากมันเป็นกรณีแล้ว ก็มาเริ่มรอบแพ้คัดออกกันเถิด”
มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 80 คนในศึกประลองยุทธ์ครั้งนี้ และมีผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์จำนวนมากจากตระกูลต่างๆ เช่นเดียวกับพวกลูกหลานของผู้ฝึกตนธรรมดาบางคน อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิดแล้ว มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่มีแม้แต่สิทธ์ในการเข้าร่วม แม้ว่าบางคนจะเล็งตำแหน่งผู้ชนะเอาไว้ แต่ก็ยังมีรางวัลสำหรับ 10 อันดับแรกอยู่คือ – เม็ดยาระบายปราณ นี่เป็นรางวัลที่มอบให้โดยนิกายต้นกำเนิดสวรรค์
หลังจากการประกาศของดยุคหยาน ทั้ง 80 คนก็รวมตัวกันที่เวที ณ ศูนย์กลางของสนามประลอง
“เริ่มต้นการจับสลาก”
หลังจากได้รับคำสั่งแล้ว ผู้เข้าร่วมก็เริ่มจับสลากกันเพื่อเตรียมตัวสำหรับรอบแรก
ฝางเฮ่ายิ้มกว้างขณะที่เขามองไปที่เซี่ยวหยุน “ข้าหวังว่าเราจะสามารถพบกันได้ ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าอะไรหมายถึงอัจฉริยะ”
“ข้าจะเอาชนะเจ้า” เซี่ยวหยุนไม่ยอมถอยกลับเลยและแม้ว่าเขาจะพูดอย่างสงบก็ตาม แต่คำพูดของเขานั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ