Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 3131 สงครามปิดฉาก
ตอนที่ 3131 สงครามปิดฉาก
มนุษย์ทองแดงขนาดยักษ์แหวกอากาศหายไปในพริบตาเดียว
ทุกคนมองไปยังทิศทางที่มนุษย์ทองแดงยักษ์ได้หายไป เวลานี้ต่างรู้สึกงงงัน พวกเขาต่างไม่รู้ว่ามนุษย์ทองแดงยักษ์นี่บ่งบอกถึงสิ่งใด และพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามนุษย์ทองแดงยักษ์นี้ดำรงอยู่ในฐานะอะไรกันแน่
แต่ว่า มีผู้คนจำนวนมากล้วนตระหนักได้ว่า การดำรงอยู่ของมนุษย์ทองแดงยักษ์นี้มีความหมายที่ไม่ธรรมดา
ลองจินตนาการดู นี่คือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะออกมาจากทะเลปุ๊รู้ไห่ อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ไม่ได้ตาย และหรือทำให้กลายเป็นมาร ในนั้นย่อมต้องมีสิ่งที่ผู้คนบนโลกไม่สามารถเข้าใจได้ และหรือความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของจินตนาการ
“เสียดาย” ในใจของพระอาจารย์จินกวงรู้สึกเสียใจยิ่ง ขณะมองดูมนุษย์ทองแดงที่แหวกอากาศจากไป กล่าวสำหรับเขาแล้ว ช่วงเวลาที่ได้สัมผัสกับมนุษย์ทองแดงยักษ์นั้นสั้นเกินไป เขาเพิ่งจะได้อะไรบางอย่าง มนุษย์ทองแดงยักษ์ก็แหวกอากาศจากไป
หากสามารถให้เวลาเขามากกว่านี้อีกสักหน่อยก็จะดีมาก บางทีเขาอาจสมารถสืบค้นถึงความลับที่ลึกซึ้งบางอย่างจากตัวของมนุษย์ทองแดงยักษ์นี้ และหรือสามารถศึกษาค้นคว้าถึงแหล่งกำเนิดเผ่าเซียนถงของพวกเขาได้
เสียดาย เวลาสั้นเกินไป เขาแค่เกิดแรงบันดาลใจและเข้าใจตระหนักได้เล็กน้อยเท่านั้นเอง มนุษย์ทองแดงยักษ์คนนี้ก็แหวกอากาศจากไปแล้ว
ในใจของพระอาจารย์จินกวงปรารถนาเพียงใดที่จะรั้งตัวมนุษย์ทองแดงนี้เอาไว้ แน่นอน ภายในใจของเขาก็เข้าใจดี อาศัยกำลังความสามารถของเขาไม่สามารถรั้งมนุษย์ทองแดงยักษ์คนนี้เอาไว้ได้อยู่แล้ว
มนุษย์ทองแดงยักษ์นี้สามารถลอยออกมาจากทะเลปุ๊ตู้ไห่ ความแข็งแกร่งของมัน ความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของมันเป็นสิ่งที่ห่างไกลเกินกว่าที่เขาจะควบคุมได้อยู่แล้ว
สุดท้าย พระอาจารย์จินกวงได้แต่ละสายตากลับมาอย่างอาลัยอาวรณ์ การที่มนุษย์ทองแดงยักษ์แหวกอากาศจากไปเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองก็จนด้วยเกล้า
“ขอบคุณพี่ท่าน” หลังจากที่พระอาจารย์จินกวงได้สติกลับมาแล้วจึงแสดงคารวะแบบจีนต่อหลี่ชิเย่ เพื่อแสดงความขอบคุณ
ถ้าหากไม่ใช่หลี่ชิเย่เขาก็ไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับมนุษย์ทองแดงยักษ์ แม้ว่าการได้สัมผัสกับมนุษย์ทองแดงยักษ์ในครั้งนี้จะประสบผลจำกัด แต่ว่า กล่าวสำหรับเขาแล้ว ยังคงเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งมาก
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย มองดูท้องฟ้าทีหนึ่งและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ได้เวลาแล้ว ข้าสมควรไปได้แล้ว”
“พี่ท่านจะไปจากแล้วรึ? ” เมื่อพระอาจารย์จินกวงได้ฟังคำนี้แล้วถึงกับหวั่นไหวในใจ
พระอาจารย์จินกวงสามารถฟังออกถึงความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูด หลี่ชิเย่ไม่เพียงต้องการไปจากที่นี่เท่านั้น เกรงว่าจะไปจากแดนสามเซียนแล้ว
“ยังคงรั้งอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง สุดแล้วแต่วาสนาเถิด” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย
พระอาจารย์จินกวงถึงกับใจหาย หลี่ชิเย่ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น การไปจากของหลี่ชิเย่ถือเป็นเรื่องดี จะอย่างไรเสียการที่มีผู้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้กดทับอยู่เหนือศีรษะของตน ไม่ว่าใครก็รู้สึกไม่สบาย
แต่ว่า กล่าวสำหรับพระอาจารย์จินกวงแล้ว การจากไปของหลี่ชิเย่ไม่เพียงเป็นความเสียหายของแดนสามเซียนอย่างหนึ่งเท่านั้น ยังเป็นความเสียหายอย่างหนึ่งของเขาด้วย
การจากไปของหลี่ชิเย่บ่งบอกว่าเขาจะสูญเสียผู้ที่จะเป็นแบบอย่างในการปีนสู่ยอดเขาสูง ผู้ที่จะเป็นเป้าหมายไป และสูญเสียคู่ต่อสู้ที่เป็นทั้งอาจารย์ที่ดีและสหายที่ให้ความช่วยเหลือยามทุกข์ยาก
ยิ่งไปกว่านั้นในทัศนะของพระอาจารย์จินกวงมองว่า เมื่อหลี่ชิเย่จากไปแล้ว มันหาใช่เป็นเรื่องดีสำหรับแดนสามเซียนทั้งหมดโดยรวม พระอาจารย์จินกวงเห็นว่า ขอเพียงหลี่ชิเย่ยังอยู่ในแดนสามเซียน ก็จะมีหลักประกันเพิ่มขึ้นชั้นหนึ่งให้กับแดนสามเซียน
“หวังว่าพี่ท่านยังคงสามารถรั้งอยู่อีกสักระยะหนึ่ง” พระอาจารย์จินกวงแสดงคารวะแบบจีน โค้งคำนับด้วยท่าทีเคารพนับถือ
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา เขาย่อมเข้าใจแนวคิดของพระอาจารย์จินกวง ส่ายหน้าเบาๆ ว่า “เรื่องแบบนี้ปล่อยไปตามวาสนาเถอะ แต่ว่า ตามความเห็นของข้าเกือบได้เวลาที่จะลงมาแล้วล่ะ” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ได้มองไปยังทะเลปุ๊ตู้ไห่
พระอาจารย์จินกวงก็มองตามไปยังทะเลปุ๊ตู้ไห่ ในใจของเขารู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี เขาเคยรั้งอยู่ริมทะเลปุ๊ตู้ไห่มาก่อน และเคยคำนวณดูแล้ว รู้ว่าจะต้องมีสิ่งที่ไม่เป็นมงคลลงมาจากทะเลปุ๊ตู้ไห่แน่ รายละเอียดว่าเป็นวันเวลาใดนั้น เขาเองก็ไม่กล้ายืนยัน
เวลานี้เมื่อหลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ พระอาจารย์จินกวงรู้ว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใดเร็วๆ นี้แล้ว พระอาจารย์จินกวงไม่รู้ว่ามันจะมีผลลัพธ์เช่นใด
แม้ว่าเขาคือระดับปฐมบรรพบุรุษคนหนึ่งแล้ว ทอดสายตาทั่วทั้งแดนสามเซียนก็นับว่าปราศจากผู้ต่อกรแล้ว แต่ว่า การเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่กำลังจะมาเยือนนั้น ภายในใจของพระอาจารย์จินกวงไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย เนื่องนากเขาไม่รู้ว่าที่กำลังจะเผชิญนั้นคืออะไร บางที อาจเป็นสิ่งที่ทั่วทั้งแดนสามเซียนไม่ต้องการเผชิญมากที่สุด
“เจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วยัง? ” ขณะที่พระอาจารย์จินกวงมองดูทะเลปุ๊ตู้ไห่และนิ่งเงียบอยู่นานไม่พูดไม่จาอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้เอ่ยขึ้นมาเบาๆ
พระอาจารย์จินกวงจ้องมองดูทะเลปุ๊ตู้ไห่ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าจะทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ! นี่คือหน้าที่ของข้า”
“ผู้คนทั่วหล้าล้วนไม่สามารถผลักภาระนี้ให้ผู้อื่น” หลี่ชิเย่มองดูทะเลปุ๊ตู้ไห่แล้วกล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
พระอาจารย์จินกวงจ้องมองดูหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีหนักแน่น เคารพนับถือ และกล่าวว่า “ขอพี่ท่านมีจิตเมตตากรุณา ช่วยเหลือพวกข้าอีกแรง”
เวลานี้ พระอาจารย์จินกวงได้ขอความช่วยเหลือต่อหลี่ชิเย่ เขารู้ว่าหากหลี่ชิเย่ลงมือ กล่าวสำหรับแดนสามเซียนทั้งหมดแล้ว มันจะมีความหวังเพิ่มมากขึ้น
“ข้าเป็นเพียงแขกที่เดินทางผ่านมาเท่านั้น โลกนี้ยังคงต้องอาศัยพวกเจ้าเอง” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นเบาๆ
พระอาจารย์จินกวงจิตหดหู่นิดหนึ่ง เขาถึงกับทอดถอนใจเบาๆ ขึ้นมา เขาสามารถเข้าใจได้ เหมือนที่หลี่ชิเย่พูดไว้อย่างนั้น เขาเป็นเพียงแขกคนหนึ่งที่เดินทางผ่านมาเท่านั้น
แต่ทว่า ช่วงนี้ไม่ได้ยืดเส้นยืดสายเป็นงานเป็นการสักหน่อย” หลี่ชิเย่ยิ้มบางๆ และกล่าวว่า “ในช่วงนี้หากมาจริงๆ ข้าก็จะได้อุ่นกายสักหน่อย หลังจากอุ่นกายเสร็จแล้วค่อยออกเดินทางจะได้มีแรงมากขึ้น”
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่เท่ากับเป็นการตอบตกลงแล้ว พระอาจารย์จินกวงถึงกับดีใจ โค้งคำนับ และแสดงคารวะสูงสุดด้วยท่าทีเคารพนับถือ ไม่จำเป็นต้องกล่าวให้มากความแล้ว
“เตรียมพร้อมเผชิญหน้าเถอะ” หลี่ชิเย่มองหน้าพระอาจารย์จินกวงทีหนึ่ง จากนั้นหันหลังจากไปทันที
“น้อมส่งพี่ท่าน” พระอาจารย์จินกวงโค้งคำนับ น้อมส่งหลี่ชิเย่จากไป”ฮณ๊ฯดฯฌซ,
ศิษย์และยอดฝีมือของเขาเซียนถงซานก็ทยอยกันโค้งคำนับ น้อมส่งหลี่ชิเย่จากไป
ขณะที่หลี่ชิเย่ไปจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ด่านเทียนสงกวาน หรือว่าบริเวณที่ห่างไกลมากล้วนแล้วแต่มียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ทยอยกันโค้งคำนับ พวกเขาน้อมส่งการจากไปของหลี่ชิเย่
ไม่ว่าหลี่ชิเย่จะมีฐานะเช่นใด ไม่ว่าหลี่ชิเย่จะดำรงอยู่ในสถานะอย่างไร ลำพังเขาบุกเบิกสิบสามลัคนาก็คู่ควรได้รับการเคารพนับถือเช่นนี้จากผู้คนทั่วหล้าแล้ว
หลังจากที่ทุกคนส่งสายตามองตามหลี่ชิเย่จากไปแล้ว ในเวลานี้ทุกคนต่างนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่นาน และมีผู้คนจำนวนมากมองไปยังทิศทางที่หลี่ชิเย่จากไปไกลด้วยท่าทีเหม่อลอย
ตำนาน นาทีนี้ในสายตาของชาวโลกมองว่าหลี่ชิเย่นั้นเสมือนดั่งเป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะที่เป็นตำนาน คล้ายดั่งเทพนิยายอย่างนั้น
ถอนกำลัง…หลังจากที่พระอาจารย์จินกวงส่งหลี่ชิเย่จากไปแล้วก็ได้ร้องเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา สั่งถอนกำลังจากไป
ทุกระดับชั้นในเขาเซียนถงซานเคลื่อนไหวรวดเร็ว พวกเขาถอนกำลังติดตามพระอาจารย์จินกวงจากไปในพริบตาเดียว หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที
สุดท้ายแล้ว พวกของพระอาจารย์จินกวงก็ได้ถอนกำลังไปจากท้องฟ้าด้านทิศเหนือ ทั่วท้องฟ้ากลับกลายเป็นเงียบสงบขึ้นมาในพริบตาเดียว กระทั่งเงียบสงบจนดูน่ากลัว
“ในที่สุดก็ปิดฉากลงแล้ว” มีผู้ที่พึมพำขึ้นมา ขณะมองดูท้องฟ้าด้านทิศเหนือที่ว่างเปล่า
กล่าวสำหรับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่นึกไม่ถึงว่าจะปิดฉากลงเช่นนี้ เรียกได้ว่าจุดจบเช่นนี้อยู่เหนือความคาดคิดของทุกคนไปมากทีเดียว
นาทีนี้ ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกถึงความพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กล่าวสำหรับทุกคนที่ดูชมการต่อสู้แล้ว ผลที่ได้เรียกว่าอุดมสมบูรณ์เหลือเกิน
สุดยอดสงครามแห่งยุคในครั้งนี้ ไม่เพียงทำให้ผู้คนได้มองเห็นการศึกระหว่างปฐมบรรพบุรุษเท่านั้น ความปราศจากผู้ต่อกรของระดับปฐมบรรพบุรุษได้ฝากความทรงจำที่ลึกซึ้งให้กับทุกคน ขณะเดียวกัน ทุกคนก็ได้มองเห็น ‘แสงสุวรรณเรืองรอง’ ที่ปราศจากผู้เทียบเทียมในหล้าของพระอาจารย์จินกวง ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ ทุกคนล้วนแล้วแต่ได้เห็นสิ่งมหัศจรรยเพียงหนึ่งเดียวนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน นั่นก็คือสิบสามลัคนานั่นเอง
กล่าวได้ว่า จะเป็นผู้บำเพ็ญตนผู้ใดก็ตาม สามารถมองเห็นสิบสามลัคนาด้วยตาของตนเองนั้น สงครามในครั้งนี้นับว่าบริบูรณ์แล้ว สามารถมองเห็นภาพความมหัศจรรย์เช่นนี้ คือความโชคดีอันใหญ่หลวงสำหรับพวกเขาแล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนบางส่วนถึงกับพูดจากใจว่า “บางที พวกเราอาจเป็นผู้ที่โชคดีที่สุดนับแต่อดีตถึงปัจจุบันแล้ว โชคดีที่สุดคือ สามารถอยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกันกัคนโหดอันดับหนึ่ง สามารถมองเห็นสิบสามลัคนากับตาตนเอง นับแต่อดีตถึงปัจจุบันก็คงมียุคสมัยนี้เท่านั้นที่มีสิบสามลัคนา”
“สิ่งนี้ก็เป็นความโชคร้ายของผู้คนจำนวนมาก” มีระดับบรรพบุรุษหัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “ไม่ว่าเจ้าจะปราดเปรื่องน่าทึ่งเพียงใด ไม่ว่าเจ้าจะยอดเยี่ยมปราศจากผู้เทียบเทียมในหล้าเช่นใด ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะบุคคลที่ยอดเยี่ยมปานใดก็ตาม แต่ว่า เมื่ออยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกันกับคนโหดอันดับหนึ่ง ก็ถูกลิขิตแล้วว่าเป็นละครเศร้า ถูกลิขิตเอาไว้ว่าสามารถเป็นได้แค่ตัวประกอบในยุคสมัยนี้”
ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่หัวเราะด้วยความขมขื่นเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ คำพูดนี้ใช่จะไร้เหตุผล นับว่าคนโหดอันดับหนึ่งแข็งกร้าวและพาลเหลือเกิน ใช้อำนาจบาตรใหญ่และปราศจากผู้ต่อกรเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานสิบสามลัคนาเช่นนี้ ก็ทำให้ทุกคนไม่สามารถล้ำหน้าเขาไปได้ชั่วชีวิตแล้ว
ลองนึกภาพดู การที่เกิดร่วมยุคสมัยเดียวกันกับคนโหดอันดับหนึ่ง ไม่ว่าเจ้าจะมีความยอดเยี่ยมเช่นใด ไม่ว่าจะมีความปราดเปรื่องน่าทึ่งเพียงใด แต่ทว่า เจ้าจะต้องสลดและอับแสงภายใต้วงแหวนที่สูงสุดของคนโหดอันดับหนึ่ง
ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะบุคคลที่ปราศจากผู้เทียบเทียมแห่งยุค หากเปลี่ยนไปอีกยุคสมัยหนึ่ง บางทีอาจจะกลายเป็นพระเอกของยุคสมัยนั้น แต่ เมื่ออยู่ร่วมสมัยเดียวกันกับคนโหดอันดับหนึ่ง ย่อมถูกลิขิตแล้วว่าจะต้องเป็นตัวประกอบของยุคสมัยนี้ ไม่สามารถเทียบได้กับคนโหดอันดับหนึ่งอยู่แล้ว
“สิบสามลัคนา ผู้บำเพ็ญตนสามารถฝึกสิบสามลัคนาให้สำเร็จได้จริงๆ ” ระดับคงความอมตะตลอดกาลขั้นสูงสุดเริ่มศึกษาพิจารณาถึงปัญหาข้อนี้กันแล้ว
ต่อให้เป็นระดับคงความอมตะตลอดกาลขั้นสูงสุดที่ปราดเปรื่องน่าทึ่ง แข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรเหล่านี้รู้ทั้งรู้แล้วถึงการดำรงอยู่ของสิบสามลัคนาแล้ว แต่ว่า เมื่อพวกเขามีการศึกษาพิจารณาแล้วนั้น กลับไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นอย่างใด พวกเขาไม่รู้ว่าต้องฝึกแบบไหนถึงจะฝึกให้ได้ลัคนาที่สิบสามขึ้นมา
“มันจะต้องฝึกอย่างไรกันแน่นะ จึงจะฝึกให้ได้สิบสามลัคนากันเล่า? ” หลังจากรู้ถึงการดำรงอยู่ของสิบสามลัคนาแล้ว มีผู้ทำการทดลองนับไม่ถ้วน มันไม่ประสบผลอยู่แล้ว
สิ่งนี้ได้สร้างความท้อใจ จนด้วยเกล้าให้กับระดับคงความอมตะตลอดกาลขั้นสูงสุดบางคน และกล่าวว่า “ดูท่า พวกเราที่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ชาตินี้คงฝึกสิบสามลัคนาไม่สำเร็จแน่แล้ว”
แน่นอน มีพรรคพวกได้กล่าวปลอบใจว่า “มันก็หาใช่เป็นเรื่องน่าอับอายอะไร ลองนึกดู นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผู้ที่ปราดเปรื่องน่าทึ่ง ผู้ที่ยอดเยี่ยมปราศจากผู้เทียบเทียมในหล้ามีจำนวนเท่าไร มีระดับปฐมบรรพบุรุษ มีระดับคงความอมตะตลอดกาล ชั้นวิถีไกล ซึ่งพวกเขามีความปราศจากผู้ต่อกรเพียงใด ส่องสว่างเป็นนิรันดร์เพียงใด แต่ว่า ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่สามารถฝึกสิบสามลัคนาได้สำเร็จ ยกเว้นคนโหดอันดับหนึ่ง! ”
“ที่พูดมาก็ถูก” การปลอบโยนเช่นนี้ได้ทำให้ระดับคงความอมตะตลอดกาลขั้นสูงสุดจำนวนมากที่พยายามฝึกฝนอย่างหนักแต่ไม่สำเร็จรู้สึกโล่งอกขึ้นมาไม่น้อย
จะอย่างไรเสียผู้ทีปราศจากผู้เทียบเทียมอย่างเกาหยาง ปราดเปรื่องน่าทึ่งเช่นบรรพบุรุษอัคคี พวกเขาล้วนไม่สามารถฝึกสิบสามลัคนาได้สำเร็จ
ระดับคงความอมตะตลอดกาลอย่างพวกเขาเมื่อเทียบกับเกาหยาง บรรพบุรุษอัคคีที่เป็นปฐมบรรพบุรุษที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งแล้ว นับว่าห่างชั้นกันมากเหลือเกิน เรียกได้ว่าสลดและอับแสง
เกาหยาง บรรพบุรุษอัคคีพวกเขาเหล่านี้ที่เป็นสิบยอดปฐมบรรพบุรุษยังฝึกไม่สำเร่จ พวกเขาที่เป็นระดับคงความอมตะตลอดกาลจะฝึกไม่สำเร็จ ก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียหน้าอยู่แล้ว
“เป็นความจริงที่คนโหดอันดับหนึ่งคือความอัศจรรย์ หนึ่งเดียวตลอดกาล” หลังจากพ่ายแพ้ในการสู้รบแล้ว ทุกคนยิ่งเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา ยิ่งเข้าใจในความปราศจากผู้เทียบเทียมของคนโหดอันดับหนึ่งว่า คนโหดอันดับหนึ่ง ปราศจากผู้เทียบเทียมเพียงใด และมีความยอดเยี่ยมเช่นใด
ลองจินตนาการดู เคยมีอัจฉริยะบุคคลกำเนิดขึ้นมาเท่าใด เคยมีราชันแท้จริงเกิดขึ้นมากน้อยเท่าใด มีระดับปฐมบรรพบุรุษเท่าไรในรอบพันล้านปีที่ผ่านมา แต่ว่า ไม่ว่าปรัชญาเมธีเหล่านี้จะปราดเปรื่องน่าทึ่งเพียงใด ก็ไม่สามารถฝึกให้ได้สิบสามลัคนา
ขณะที่คนโหดอันดับหนึ่งกลับจะเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน เป็นคนเดียวที่สามารถฝึกสิบสามลัคนาได้สำเร็จ
“จะบอกว่าคนโหดอันดับหนึ่งคือหนึ่งเดียวนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน นับว่าไม่ได้เกินเลยแม้แต่น้อย กระทั่งจัดให้เขาอยู่ในอันดับหนึ่งของสิบยอดปฐมบรรพบุรุษ สิ่งนี้ล้วนคือชื่อเสียงและความรู้ความสามารถของเขาคู่ควรกัน” มีระดับบรรพบุรุษบางคนกล่าวเสนอขึ้นมา
ไม่มีผู้ใดคัดค้านสำหรับการเสนอเช่นนี้ เป็นความจริงที่คนโหดอันดับหนึ่งซึ่งมีสิบสามลัคนาในครอบครองมีสิทธิ์ถูกจัดให้เป็นอันดับหนึ่งของสิบยอดปฐมบรรพบุรุษได้ กระทั่งกล่าวได้ว่า นี่คือผู้ที่มีชื่อเสียงและความรู้ความสามารถที่คู่ควรกัน
…………………………………………………………………………………….