Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2856 เทพธนูม้าบิน
ตอนที่ 2856 เทพธนูม้าบิน
กล่าวสำหรับนักศึกษาอย่างจ้าวชิวสือเหล่านี้แล้ว พวกเขาย่อมต้องการหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับไปสักตัวสองตัวอยู่แล้ว จะอย่างไรเสีย หากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มีความแข็งแกร่งขึ้นมา ย่อมสามารถกลายเป็นแขนซ้ายแขนขวาของพวกเขาได้ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักศึกษาที่เกิดและเติบโตในหอจรัสศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเขาย่อมมีความต้องการในสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มากกว่านักศึกษาที่มาจากภายนอก
แต่ว่าเวลานี้ดูไปแล้ว มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาอยู่แล้ว พวกเขาได้แต่มองเท่านั้นเอง แม้แต่นักศึกษาระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งปานนั้น ยังถูกพวกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไล่ฆ่าจนแทบหนีไปไหนไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาแล้ว
อาจกล่าวได้ว่า ขอเพียงเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความแข็งแกร่งสักนิด พวกเขาก็ไปหาเรื่องมันไม่ได้ แม้ว่า พวกเขาก็เคยคิดที่จะไปขโมยลูกน้อยของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และหรือไข่ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อะไรทำนองนั้น เวลานี้พวกเขาก็ได้ล้มเลิกความคิดนี้ไปแล้ว เมื่อไรที่ถูกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามฆ่าล่ะก็ พวกเขาก็ยากจะหนีความตายไปได้พ้น
“เฮ่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ช่างยากเหลือเกิน” มีนักศึกษากล่าวด้วยความจนด้วยเกล้าว่า “พวกเราแค่มองดูแล้วก็กลับไปเถอะ” พวกเขาต่างรู้สึกหมดอารมณ์อยู่บ้าง จะอย่างไรเสีย กำลังความสามารถของพวกเขาอ่อนด้อยเหลือเกิน
“ต่อให้สยบมันได้แล้วก็ไม่สามารถพาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปจากที่ตรงนี้ได้” นักศึกษาอีกผู้หนึ่งก็หัวเราะเจื่อนๆ เมื่อครู่นี้จ้าวชิวสือก็สยบหมูป่าได้ตัวหนึ่งมิใช่รึ แต่ว่า หมูป่าตัวนั้นเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมติดตามจ้าวชิวสือไปด้วย
“เรื่องนี้ใช่ว่าจะไม่มีวิธี แค่ตัดขาดก็ใช้ได้แล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉยทีหนึ่ง
ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่เพียงกางนิ้วออกนิดหนึ่ง มองเห็นปลายนิ้วของเขาปรากฎประกายล้อมรอบ โดยประกายแต่ละสายที่ล้อมรอบปลายนิ้วของเขานั้น หากมองดูให้ละเอียดเสมือนดั่งเป็นทางช้างเผือกขนาดเล็กจิ๋วมากและงดงามยิ่งนัก มีความลึกซึ้งยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนไม่สามารถบรรลุได้
ตูม ตูม ตูมในขณะที่พวกของจ้าวชิวสือยังมองดูแล้วไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรนั้น เสียงดังตูมตามดังขึ้นมาเป็นระลอก สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แต่ละตัวเสมือนดั่งลูกคลื่นที่วิ่งเข้ามาทุกทิศทุกทาง
มีแรดเผือก ราชางูแดง กระเรียนเพลิง วานรศักดิ์สิทธิ์ หมูทอง…ปรากฎสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แต่ละตัวที่วิ่งเข้ามา และสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แต่ละตัวล้วนแล้วแต่มีความแข็งแกร่งยิ่ง มันแผ่กลิ่นอายสัตว์วูบวาบออกมา ทำให้ผู้คนถึงกับสั่นเทิ้ม และสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แต่ละตัวต่างเปล่งประกายแสงที่เจิดจ้ามากออกมา ขณะที่ประกายเจิดจ้ากำลังเต้นวูบวาบอยู่นั้น แลดูเหมือนมีความสุขมากเป็นพิเศษ เหมือนว่าได้พานพบกับเรื่องราวที่ทำให้รู้สึกดีใจมากเป็นพิเศษ
ในขณะนี้ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แต่ละตัวที่วิ่งเข้ามาล้วนแล้วแต่หมอบอยู่แทบเท้าของหลี่ชิเย่ ดูเชื่องอย่างยิ่ง กระทั่งแรดเผือก ราชางูแดง กระเรียนเพลิงที่เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ก็ยังใช้หัวถูไถกับขากางเกงของหลี่ชิเย่ ดูให้ความสนิทสนมเป็นอย่างยิ่ง
พวกนักศึกษาอย่างจ้าวชิวสือมองเห็นสัตว์จำนวนมากที่เหมือนมาเข้าเฝ้าอย่างนั้นจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก ทำให้ในเวลานี้พวกเขาถึงกับนัยน์ตาเบิกกว้างไม่อยากเชื่อในสายตาตนเอง นี้มันเหมือนเป็นความเพ้อฝันชัดๆ
กล่าวสำหรับนักศึกษาเท่าไร การจะสยบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้ได้สักตัวช่างยากเย็นเพียงใด นึกไม่ถึงว่าหลี่ชิเย่แค่กางนิ้วมือออกเท่านั้น ก็มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับหมื่นนับพันมาเข้าเฝ้า เหมือนว่าหลี่ชิเย่คือจ้าวแห่งสัตว์ทั้งหลายอย่างนั้น ขอเพียงเขายืนอยู่ที่ตรงนั้นก็จะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นับหมื่นนับพันมาเข้าเฝ้า
เสียงปุเสียงหนึ่งดังขึ้น ในขณะนี้ มือขนาดใหญ่ของหลี่ชิเย่พลันยื่นเข้าไปในหัวของแรดเผือก เมื่อเขาชักมือกลับมานั้น มองเห็นในมือของเขาได้กำกฎเกณฑ์ที่จรัสและเจิดจ้าอยู่เส้นหนึ่ง
“นี่ก็คือตัดขาด แน่นอน เจ้าจะต้องสยบให้ได้ก่อนจึงตัดขาดได้” หลี่ชิเย่แบฝ่ามือออกมา มองเห็นกฎเกณฑ์ที่จรัสและเจิดจ้าเต้นวูบวาบอยู่บนฝ่ามือ เหมือนมีชีวิตอย่างนั้น
กฎเกณฑ์ที่จรัสและเจิดจ้าเส้นนี้ทั้งๆ ที่ดูเหมือนมีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุด แต่ทว่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในเวลานี้พวกของจ้าวชิวสือมองดูแล้วในใจบังเกิดความรู้สึกที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาอย่างนั้น เหมือนว่าสิ่งนี้หาใช่เป็นกฎเกณฑ์ที่จรัสศักดิ์สิทธิ์อะไร เหมือนเป็นพยาธิตัวหนึ่งมากกว่า
โฮ่ววว…หลังจากที่แรดเผือกตัวนี้ถูกดึงเอากฎเกณฑ์ดังกล่าวออกไปแล้วพลันแสดงสัญชาตญาณสัตว์ขึ้นมา เหมือนฟื้นคืนสติขึ้นมาทันทีอย่างนั้น มันกระโดดขึ้นทันทีและใช้นอดันตัวหลี่ชิเย่เอาไว้ เหมือนต้องการแทงทะลุอกของหลี่ชิเย่
“หมอบลง” หลี่ชิเย่เพียงใช้นิ้วมือดีดไปเบาๆ ได้ยินเสียงดังปัง เจ้าแรดเผือกตัวนี้ไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงพลันนอนหมอบกับพื้น และถูกพลังของหลี่ชิเย่สยบเอาไว้
“นอกเหนือจากตัดขาด นั่นก็คือเจ้าต้องมีพลังจรัสอย่างเพียงพอ ซึ่งก็สามารถพาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปได้เหมือนกัน เฉกเช่นใต้เท้าเซิ่นตู๋อย่างนั้น” พลันที่กล่าวขาดคำ หลี่ชิเย่หัวเราะและได้ยินเสียงแว้งค์ดังขึ้น
พริบตาเดียวนั่นเอง มองเห็นบริเวณอกของเขาได้เปล่งประกายจรัสที่เจิดจ้าออกมา โดยที่ประกายแต่ละสายดังกล่าวช่างศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์อะไรอย่างนั้น นักศึกษาเช่นพวกของจ้าวชิวสือล้วนแล้วแต่อยากจะคุกเข่าก้มกราบบนพื้น ต้องการไปกราบไหวหลี่ชิเย่ เมื่อมองเห็นประกายแต่ละสายดังกล่าว
ขณะที่ในเวลานี้ บรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่ก้มกราบเต็มรูปแบบอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางที่เชื่องอย่างยิ่ง
“เห็นแล้วใช่ไหม นี่แหละคือการสยบ” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
บรรดานักศึกษาสถาบันศึกษาล้างบาปเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว ต่างรู้สึกหวั่นไหวยากจะหาใดเทียม พวกเขาต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ แรกทีเดียวพวกเขายังเข้าใจว่า การที่จะสยบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สักตัวจะต้องอาศัยลงไม้ลงมือเล่นงานจนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยอมศิโรราบทั้งกายและใจ เวลานี้ดูไปแล้วไม่ต้องขยับกระทั่งนิ้วมือด้วยซ้ำ ก็สามารถสยบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โดยตรงได้มากมายถึงเพียงนี้ ฝีมือเช่นนี้นับว่าฝืนลิขิตสวรรค์เหลือเกิน และสร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจมากเหลือเกิน
จังหวะที่พวกจ้าวชิวสือมองตาค้างพูดอะไรไม่ออกนั้น หลี่ชิเย่ได้สลายประกายศักดิ์สิทธิ์ออกไปเบาๆ ดีดนิ้วทีหนึ่ง หัวเราะทีหนึ่งและกล่าวว่า “ไปเถอะ” ได้ยินเสียงแว้งค์ดังขึ้นเสียงหนึ่ง มองเห็นประกายศักดิ์สิทธิ์เสมือนดั่งอนุภาคสีทองที่โปรยปรายลงมา และโปรยลงไปบนตัวของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ ตัวในพริบตาเดียว
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เหมือนตื่นขึ้นมาจากความฝันในทันที จากนั้นโกยอ้าววิ่งไปทันที ทั้งหมดหายเข้าไปในเทือกเขาที่ติดกันเป็นแนวในพริบตาเดียว
เวลานี้ หนึ่งเดียวที่ไม่ได้วิ่งหนีไปก็คือแรดเผือกที่ถูกหลี่ชิเย่ดึงเอากฎเกณฑ์จรัสออกมาตัวนั้น มันหมอบอยู่ตรงนั้นถูไถขากางเกงของหลี่ชิเย่ด้วยท่าทางที่เชื่องมาก
“ไปเถอะ ช่วยปลดพันธนาการให้เจ้าแล้ว สามารถไปจากที่นี่ได้แล้ว” หลี่ชิเย่ดีดนิ้วทีหนึ่ง แรดเผือกลอยขึ้นมาและตกลงพื้น
แรดเผือกทำท่างงๆ สุดท้ายหันหลังกลับไปจ้องมองหลี่ชิเย่ จากนั้นวิ่งโกยอ้าวออกไปจากสวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โดยไม่มีหยุดแม้แต่น้อย พลังจรัสในสวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่มีผลกระทบใดๆ กับตัวของมันอีกแล้ว มันเหมือนม้าป่าที่หลุดออกจากบังเหียนอย่างนั้น
“นี่คือสุดยอดอภินิหาร มีเพียงกำลังความสามารถเช่นคุณชายหลี่เท่านั้นที่ทำได้ อย่าได้เลียนแบบ” ตู้เหวินรุ่ยยิ้มเจื่อนๆ กล่าวกับนักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาป
หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ใช่ว่าข้ากำลังสอนพวกเขาไปสยบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ข้าเพียงให้พวกเขาได้เห็นชัดเจนถึงธาตุแท้เท่านั้นเอง ความสว่างก็เป็นเครื่องพันธนาการเหมือนกัน มันสามารถพันธนาการสมองของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็สามารถพันธนาการคอของคนอื่นได้เช่นกัน ง่ายๆ แค่นี้แหละ”
ตู้เหวินรุ่ยถึงกับยิ้มเจื่อนๆ ท่าทางเหมือนจนด้วยเกล้า และกล่าวว่า “ขืนเฉลยแบบนี้ต่อไป เกรงว่าเหล่านักศึกษาแทบจะสงสัยในชีวิตคนเราแล้ว”
“ใช่ว่าความสว่างไม่ดี” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง มองดูตู้เหวินรุ่ย และกล่าวว่า “แต่ว่า หากหลอกตัวเองก็คือความโง่เขลาแล้วล่ะ”
ตู้เหวินรุ่ยอยากจะพูดอะไร แต่ ท้ายที่สุดทอดถอนใจยาวๆ ออกมา และไม่อยากจะพูดอะไรอีก จะอย่างไรเสีย เขากับหลี่ชิเย่มีจุดยืนที่แตกต่างกัน มองต่างกันเท่านั้นเอง
ตูม ตูม ตูมในขณะที่นักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปอย่างพวกจ้าวชิวสือยังไม่ทันได้สติกลับมา เสียงดังตูมตามดังขึ้นมาเป็นระลอก มีคนกลุ่มหนึ่งที่วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เมื่อคนกลุ่มนี้วิ่งเข้ามาถึงก็ได้หยุดลงทันที ท่าทางเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
ทุกคนมองตามไป เห็นกลุ่มคนกลุ่มนี้ที่วิ่งเข้ามานั้น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ขี่ม้ามา ไม่ ไม่ถูก ตัวของพวกเขาเองก็คือม้าอยู่แล้ว นี่คือกลุ่มคนที่มีตัวเป็นคนขาเป็นม้า โดยที่คนกลุ่มนี้มีร่างกายที่ปราดเปรียวแข็งแรงมาก เพียงแต่ ท่อนบนของพวกเขาคือคน ท่อนล่างเป็นม้า และชายฉกรรจ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ในมือถือคันธนู
“เผ่ามนุษย์อาชา” มีนักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปที่เคยได้ยินชื่อเผ่าพันธุ์นี้มาก่อน ถึงกับร้องกล่าวเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
“น่าจะเป็นที่นี่ น่าจะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับพันนับหมื่นได้มารวมตัวกันที่นี่” ชายที่ลักษณะครึ่งคนครึ่งม้าผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
“ตรงนี้แหละ ไม่ผิด” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งของเผ่ามนุษย์อาชาสูดดมอากาศที่นี่ทีหนึ่ง ชายวัยกลางคนเผ่ามนุษย์อาชาผู้นี้สวมหมวกทรงสูงที่ถักทอมาจากกิ่งไม้ใบไม้ทองคำคนหนึ่ง
ชายวัยกลางคนผู้นี้เบิ่งตามอง และกล่าวกับนักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปว่า “ข้าน้อยหยางเฉิงลี่ ขอถามว่าเมื่อครู่ที่ตรงนี้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นหรือไม่? มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มารวมตัวกันนับหมื่นนับพันตัวตรงนี้”
บรรดานักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปต่างทยอยกันมองไปที่หลี่ชิเย่กับตู้เหวินรุ่ย เมื่อได้ยินคำนี้จากชายวัยกลางคนผู้นี้
“เหอะ เหอะ เหอะที่แท้เป็นเทพธนูม้าบินแห่งกองทัพสัตว์เทพเทียนหรง นับถือ นับถือ” ตู้เหวินรุ่ยกล่าวพร้อมกับหัวเราะเหอะเหอะ
“อธิการบดีตู้…” ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็จดจำตู้เหวินรุ่ยได้ เพ่งสายตาไปข้างหน้า จากนั้นกวาดตาทั้งสองมองออกไป และไปตกอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ที่สะพายกระบี่ล้างบาป นัยน์ตาทั้งสองเย็นยะเยือก เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้าก็คือหลี่ชิเย่คนนั้นแล้วสิ!”
“ดูเหมือนว่ามีเพียงข้าเท่านั้นที่ชื่อหลี่ชิเย่” หลี่ชิเย่ทำท่ายิ้มๆ
ชายวัยกลางคนผู้นี้ส่งเสียงฮึเย็นชา ปรากฏปณิธานการฆ่าที่แวบผ่านดวงตาทั้งสอง จากนั้นกล่าวกับตู้เหวินรุ่ยช้าๆ ว่า “อธิการบดีตู้ พวกเราก็รู้จักมารยาทดีในหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่า คนของกองทัพสัตว์เทพเทียนหรงก็ตายเปล่าไม่ได้! ศิษย์ของพวกเราตายภายใต้เงื้อมมือของนักศึกษาของสถาบันศึกษาท่าน ดังนั้น เรื่องนี้ต้องมีคำอธิบาย จึงสามารถรายงานต่อราชันหญิงฝ่าบาททราบ”
ที่แท้ชายวัยกลางคนผู้นี้มีชื่อว่าหยางเฉิงลี่ ผู้คนยกย่องว่าเทพธนูม้าบิน มีชาติกำเนิดมาจากมนุษย์อาชา แต่ว่า ขณะเดียวกันเขาก็กำเนิดจากตำหนักมังกรแท้จริง ทำงานให้กับราชันหญิงจื่อหลง ดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพสัตว์เทพเทียนหรง
ขณะที่ก่อนหน้านี้ พวกอู๋เคอที่ถูกหลี่ชิเย่สังหารไปนั้น เป็นสมาชิกของกองทัพสัตว์เทพเทียนหรง ซึ่งเป็นกองกำลังย่อยที่สังกัดอยู่กับหยางเฉิงลี่
“เรื่องนี้ได้แต่โทษพวกเขาฝีมือไม่เอาไหน เพียงแค่นี้เท่านั้น” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ
ตู้เหวินรุ่ยถือโอกาสไม่พูดอะไรอีก เมื่อหลี่ชิเย่ออกรับหน้าโดยตรง
เทพธนูม้าบินถึงกับมีดวงตาทั้งสองที่ดูดุดันน่าเกรงขาม จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีเย็นชา และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “คนหนุ่มอย่าได้อวดดี เรื่องนี้เจ้าสมควรอธิบายสาเหตุเพื่อรายงานต่อฝ่าบาทราชันหญิง หากคำพูดมีเหตุผลก็จะไม่เอาความ หากเจ้าฆ่าลูกน้องของข้าตามอำเภอใจ ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต จะไม่มีการละเว้น”
“ไม่มีอะไรต้องพูด” ท่าทางหลี่ชิเย่ตามอารมณ์ยิ่ง และกล่าวว่า “เจ้าต้องการความจริงให้ไปถามคนอื่น ข้าบอกเจ้าได้แต่เพียงว่า ข้าเป็นคนฆ่าคนเหล่านั้น แน่นอน หากมีใครต้องการแก้แค้นให้พวกเขา ข้ายินดีต้อนรับ!”
…………………………………………………