Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2563 สารภาพผิดด้วยตนเอง
ตอนที่ 2563 สารภาพผิดด้วยตนเอง
หลี่ชิเย่กลับมาถึงวังไม่ทันได้สามวัน มาวันนี้มีผู้เข้ามารายงานว่า “ทูลฝ่าบาท ฉินเจี้ยนเหยาแห่งวัดจิ้งเหลียนกวานมาสารภาพผิดอยู่นอกวังด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
“น่าสนใจ” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย และไม่รู้สึกเหนือความคาดคิด
เวลานี้ด้านนอกพระราชวังมีผู้คนกลุ่มหนึ่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น คนกลุ่มนี้ล้วนแล้วแต่มีผมเผ้าสีขาว พลันที่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นผู้ที่อยู่ในระดับบรรพบุรุษ
ผู้ที่ละเอียดนิดหนึ่งมองดูให้ชัดเจนอีกหน่อย มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่จดจำบรรดาผู้เฒ่าที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นเหล่านี้ ทั้งหมดเป็นระดับบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวานทั้งสิ้น
ขณะที่ผู้ที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดคือฉินเจี้ยนเหยาที่งดงามน่าประทับใจ เวลานี้นางคุกเข่าอยู่กับพื้น ก้มหน้าลง เงียบสงัดไร้เสียง
ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังฉินเจี้ยนเหยาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นระดับบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวานทั้งสิ้น อีกทั้งในนั้นมีอยู่จำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะเทพแท้จริงขั้นอมตะ เวลานี้พวกเขาคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เดิมวัดจิ้งเหลียนกวานก็คือหนึ่งในห้าแกร่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่อยู่แล้ว กระทั่งกล่าวได้ว่าเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาห้าแกร่ง เคยมีสองเคล็ดวิชาของจิ่วมี่อยู่ในครอบครอง ในช่วงเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่งเรียกได้ว่าสามารถคานอำนาจกับราชวงศ์โต่ว่เซิ่นได้
กล่าวได้ว่า บรรดาระดับบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวานล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสิ้น ต่างก็เคยมีอำนาจบารมีสยบใต้หล้า ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้า แต่ว่า มาถึงวันนี้พวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่คุกเข่าอยู่ด้านนอกพระราชวัง เดินทางมาขอรับการลงโทษด้วยตนเอง รอคอยการตัดสินโทษจากฮ่องเต้องค์ใหม่เงียบๆ
แม้แต่ผู้สังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ก็ไม่กล้าส่งเสียงขึ้นมา เมื่อเห็นฉินเจี้ยนเหยาที่นำพาบรรดาระดับบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวานมาคุกเข่าอยู่ด้านนอกพระราชวัง ผู้คนจำนวนมากต่างอดที่จะกลั้นลมหายใจเอาไว้ไม่ได้ แม้แต่จะหายใจแรงก็ไม่กล้า
ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ปรากฏเสียงของความวุ่นวายดังขึ้นเป็นระลอก ไม่รู้ว่าใครที่ร้องเสียงแผ่วเบาขึ้นมาเสียงหนึ่ง “ฝ่าบาทเสด็จแล้ว”
ทุกคนทยอยกันมองไป เห็นหลี่ชิเย่เดินมาอย่างช้าๆ แม้ว่าบนตัวของหลี่ชิเย่ในขณะนี้ไม่ได้สวมชุดมังกร แค่สวมชุดธรรมดาเท่านั้น แต่ในสายตาของทุกคน เขาก็คือผู้ที่อยู่ในฐานะสูงสุด
“ฝ่าบาท…” ผู้ที่อยู่ด้านนอกพระราชวังต่างทยอยกันคุกเข่าลง เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ก้าวเดินออกมา หมอบกราบกับพื้นไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
“ฝ่าบาท…” ฉินเจี้ยนเหยาหมอบกราบกับพื้นหลังจากเห็นหลี่ชิเย่เดินมาถึง บรรดาระดับบรรพบุรุษที่อยู่ด้านหลังก็ทยอยหมอบกราบกับพื้น ไม่กล้าลุกขึ้นมา
หลี่ชิเย่มองดูฉินเจี้ยนเหยาแวบหนึ่ง กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “นังหนูฉิน การทำงานของเจ้านับว่ารวดเร็วอย่างยิ่งเลยนะ”
“ทูลฝ่าบาท วันนี้ข้าน้อยเดินทางมาขอรับพระอาญา” ฉินเจี้ยนเหยาไม่ได้มีอาการตระหนก และไม่ได้หวั่นเกรง ท่าทียังคงเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ว่าท่าทีและน้ำเสียงล้วนแล้วแต่เป็นไปด้วยความจริงใจและให้ความเคารพอย่างยิ่ง
อืมมหลี่ชิเย่เพียงตอบรับเบาๆ คำหนึ่งเมื่อได้ฟังคำพูดและน้ำเสียงที่จริงใจ และพยักหน้าช้าๆ เท่านั้น
“ทุกระดับชั้นของวัดจิ้งเหลียนกวานข้าไม่รู้จักกาลเทศะ ทรยศต่อฝ่าบาทอาศัยกำลังหมายกบฏ นับเป็นโทษมหันต์” ฉินเจี้ยนเหยากล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าน้อยรู้ตัวดีว่าไม่อาจหลีกหนีการถูกลงทัณฑ์ไปได้ ดังนั้น วันนี้จึงได้นำบรรดาเหล่าบรรพบุรุษของสำนักมาขอรับพระอาญาจากฝ่าบาท”
ในขณะนี้ บรรดาระดับบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวานหมอบกราบกับพื้นไม่กล้ากระดิกตัว ตัวสั่นงันงก สุดแล้วแต่หลี่ชิเย่จะลงโทษ
บรรดาระดับบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวานล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ยโสโอหังยิ่งนัก โดยเฉพาะบรรดาระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือที่เคยผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วน พวกเขาเองอาจจะไม่กลัวตาย พวกเขากระทั่งสามารถไปเผชิญกับความตายอย่างไม่สะทกสะท้านได้
แต่ทว่า พวกเขาไม่สามารถมองตาปริบๆ เห็นสำนักของตนต้องล่มสลาย ครั้งนั้น ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดของพวกเขาหวังจะชิงเอาเชือกเก้าเซียนมาจากมือของหลี่ชิเย่นั้น ได้รับการสนับสนุนและเห็นชอบจากพวกเขา
มาวันนี้ เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้า ย่อมต้องทำลายล้างวัดจิ้งเหลียนกวานของพวกเขาแน่นอน ขณะที่พวกเขาคือผู้ริเริ่มนำพาให้สำนักของตนต้องล่มสลาย หากสำนักถูกทำลายล้างจริงๆ พวกเขาก็คือคนบาปตลอดกาลของวัดจิ้งเหลียนกวาน ละอายต่อเหล่าบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวาน ไม่มีหน้าไปพบปรัชญาเมธีของวัดจิ้งเหลียนกวานในปรโลก
ดังนั้น มาวันนี้พวกเขาทั้งหมดล้วนติดตามฉินเจี้ยนเหยามาคุกเข่าอยู่ด้านนอกพระราชวัง เพื่อรับการลงโทษจากฮ่องเต้องค์ใหม่ด้วยตนเอง
“ดูจะมีความจริงใจอยู่บ้าง” หลี่ชิเย่มองหน้าฉินเจี้ยนเหยาแวบหนึ่ง กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “โทษตายบางอย่างไม่สามารถละเว้นได้อยู่แล้ว”
“ข้าน้อยรู้ตัวว่าโทษตายไม่อาจละเว้น” ฉินเจี้ยนเหยาไม่ได้ตื่นตระหนก และกล่าวว่า “ดังนั้น ข้าน้อยและเหล่าบรรพบุรุษอยู่ที่ตรงนี้ รอรับพระราชทานความตาย ข้าน้อยและบรรดาเหล่าบรรพบุรุษยินดีตาย เพื่อล้างความผิดอกตัญญูของวัดจิ้งเหลียนกวาน ขอฝ่าบาททรงเมตตา อภัยไว้ชีวิตให้กับศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ของวัดจิ้งเหลียนกวาน…”
“…พวกเขาเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่สามารถร่วมตัดสินนโยบายใดๆ ของวัดจิ้งเหลียนกวานได้ ความผิดใหญ่หลวงทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วแต่มาจากพวกเรา ความผิดใหญ่หลวงทั้งหมดล้วนแล้วแต่เริ่มขึ้นที่พวกเรา ดังนั้น พวกเรามีโทษไม่อาจละเว้น มีเพียงความตายเท่านั้น” ฉินเจี้ยนเหยาในเวลานี้ได้พูดขึ้นช้าๆ ขอรับการลงโทษจากหลี่ชิเย่
แม้จะกล่าวว่า ก่อนหน้านั้น ขณะปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดตัดสินใจชิงเอาเชือกเก้าเซียนของหลี่ชิเย่นั้น นางเคยคัดค้านอย่างเต็มที่ และเคยหว่านล้อมบรรดาบรรพบุรุษให้ละทิ้งแผนการเช่นนี้ แต่เหล่าบรรพบุรุษ และปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดกลับไม่ฟังข้อเสนอของนาง กระทำการดื้อรั้นโดยไม่ฟังคำเตือนของผู้อื่น
มาวันนี้ ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดของพวกเขาพ่ายแพ้ วัดจิ้งเหลียนกวานของพวกเขากำลังเผชิญกับความตาย แม้ว่าเรื่องนี้หาใช่ความผิดของนาง นางกระทั่งเคยถูกต้องโทษจองจำ แต่ว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความอยู่รอดหรือล่มสลายของสำนัก ฉินเจี้ยนเหยายังคงรับเอามาเป็นภาระอย่างเด็ดเดี่ยว แบกรับความผิดใหญ่หลวง นำพาบรรดาเหล่าบรรพบุรุษมาขอรับโทษ ขอเพียงอาศัยความตายของพวกเขาแลกมาซึ่งการได้ไปต่อของวัดจิ้งเหลียนกวาน
ฉินเจี้ยนเหยารู้ดีว่า มาถึงวันนี้ วัดจิ้งเหลียนกวานของพวกเขาจบสิ้นแล้ว หลี่ชิเย่จะต้องลงมือทำลายล้างวัดจิ้งเหลียนกวานของพวกเขาแน่นอน สิ่งที่นางสามารถทำได้ในเวลานี้ก็คือ พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้มาซึ่งทางรอดของศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ แม้ว่าจะต้องพ่วงเอาชีวิตของตนเข้าไปด้วย นางก็ไม่หวั่น
“ไว้ชีวิตพวกเขานะเนี่ย” หลี่ชิเย่ยืนอยู่ที่ตรงนั้นไม่หวั่นไหวต่อสิ่งนี้ ยิ้มจางๆ ขึ้นมา
“ถูกต้อง ขอฝ่าบาททรงพระเมตตา” ฉินเจี้ยนเหยากล่าวว่า “จิ้งเหลียนกวานพวกเรายินดียกดินแดน ยกคลังสมบัติให้ ข้ากับบรรดาเหล่าบรรพบุรุษใช้ความตายไถ่ความผิด เพียงขอฝ่าบาทไว้ชีวิตให้กับศิษย์ของวัดจิ้งเหลียนกวาน พวกเขาเป็นเพียงศิษย์ธรรมดา ทักษะยุทธอ่อนด้อยเสมือนดั่งมดปลวก ไม่สามารถขัดขวางกิจอันยิ่งใหญ่ของฝ่าบาทได้แม้แต่น้อยอยู่แล้ว”
บรรดาผู้ที่อยู่ด้านข้างต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเจี้ยนเหยา การที่วัดจิ้งเหลียนกวานยอมยกดินแดน ยกคลังสมบัติให้ ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าวัดจิ้งเหลียนกวานจะหายวับไปกับตาในพริบตา นับแต่นี้ไปวัดจิ้งเหลียนกวานจะไม่คงอยู่อีกต่อไป
วัดจิ้งเหลียนกวานคือสำนักที่แข็งแกร่งมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นะเนี่ย มาถึงวันนี้กำลังจะหายวับไปกับตาในพริบตาเดียว จุดจบเช่นนี้ ทำให้ผู้คนอดที่จะสะอื้นไม่ได้
แต่ว่า ในขณะนี้ทุกคนก็เข้าใจได้ว่า ฉินเจี้ยนเหยาเองก็ไม่มีทางเลือก การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดมากที่สุดแล้ว หากสามารถได้รับความเมตตาจากฮ่องเต้องค์ใหม่ อย่างน้อยก็สามารถทำให้ศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ของวัดจิ้งเหลียนกวานพ้นเคราะห์กรรมนี้ไปได้ ต่อให้วัดจิ้งเหลียนกวานต้องหายวับไปกับตาในพริบตาเดียวจริงๆ แต่อย่างน้อยสายของวัดจิ้งเหลียนกวานยังคงมีโอกาสสืบทอดต่อไปได้
ถ้าหากในเวลานี้ วัดจิ้งเหลียนกวานยังคงดื้อด้านต่อต้านอีกล่ะก็ เมื่อไรที่ทำให้ฮ่องเต้องค์ใหม่โกรธ เช่นนั้นแล้ววัดจิ้งเหลียนกวานก็ต้องเลือดไหลนองเป็นธารจริงๆ วัดจิ้งเหลียนกวานทั้งหมดก็ต้องหายวับไปกับตาในชั่วพริบตาเดียว และศิษย์ทั้งหมดของวัดจิ้งเหลียนกวานก็อาจจะถูกสังหารจนสิ้น และวัดจิ้งเหลียนกวานก็จะถูกโค่นไม่เหลือนับแต่นี้เป็นต้นไป
“คนที่มีความผิดย่อมต้องประหาร ผู้ไม่มีความผิดย่อมได้รับการอภัยโทษ” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้อกตัญญูต่อข้า ไหนเลยจะมีความผิด”
“นี่…” เดิมฉินเจี้ยนเหยาที่ยังคงควบคุมตนเองให้นิ่งถึงกับตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ เวลานี้นางไม่เข้าใจในคำพูดของหลี่ชิเย่
“ช่างเถอะ แม้ว่าเจ้าจะดูธรรมดาพื้นๆ ไปนิดหนึ่ง แต่ยังมีความฉลาดอยู่บ้าง ยังสามารถมองสถานการณ์ออก” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าไม่มีความผิด ก็ไม่จำเป็นต้องลงโทษเจ้า สำหรับบรรดาบรรพบุรุษที่ว่า สมควรตาย และวัดจิ้งเหลียนกวานก็ต้องถูกลงโทษอย่างหนัก เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง!”
“เรื่องนี้…” ฉินเจี้ยนเหยาถึงกับตะลึงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ วันนี้เขานำพาบรรดาเหล่าบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวานมารับโทษ นางก็ไม่เคยคิดว่าตนเองจะสามารถมีชีวิตรอดกลับไปได้แล้ว ภายในใจของนางได้ติดสินใจก้าวสู่ความตาย นางยินดีอาศัยความตายเพื่อแลกกับการอยู่รอดของศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่วัดจิ้งเหลียนกวาน
แต่ทว่า ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ หลี่ชิเย่กลับให้อภัยกับนาง
“ข้าน้อยยินดีรับโทษแทนสำนัก อาศัยความตายชดใช้ความผิด ล้างความทรยศของสำนักให้สิ้น” ฉินเจี้ยนเหยาก้มหน้า ท่าทีจริงใจและให้ความเคารพ
“เมื่อไม่มีความผิด ไหนเลยต้องรับโทษตาย” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “คนที่เหลือ ยากจะหนีโทษตาย จัดการตนเองก็แล้วกัน”
“ข้า…” ฉินเจี้ยนเหยาอ้าปากจะพูด สุดท้ายนางก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไรดี สุดท้าย นางได้แต่หันหลังกลับไปมองดูบรรดาเหล่าบรรพบุรุษที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง
บรรดาเหล่าบรรพบุรุษที่คุกเข่าอยู่ตรงนี้ มีทั้งผู้อาวุโสของนาง และมีอาจารย์ของนาง เรียกได้ว่าบรรดาเหล่าบรรพบุรุษเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เคยเฝ้ามองดูนางเติบใหญ่ ซึ่งนางมองว่าเป็นดั่งญาติของนาง แต่มาวันนี้พวกเขากลับจะต้องก้าวสู่ปรโลกก่อนนางไปแล้ว
“ลูกเอ๊ย อนาคตของวัดจิ้งเหลียนกวานก็มอบให้เจ้าแล้ว” สุดท้ายบรรพบุรุษผู้หนึ่งพยักหน้าหนักแน่นจริงจังกับฉินเจี้ยนเหยา และกล่าวว่า “พวกเราสมควรได้รับโทษ รักษาตัวด้วย” กล่าวจบได้ยินเสียงฮึในลำคอเบาๆ เสียงหนึ่ง เลือดไหลออกมาจากมุมปาก ร่างล้มลงตรงๆ
เมื่อบรรดาเหล่าบรรพบุรุษวัดจิ้งเหลียนกวานเห็นมีผู้นำหน้า ต่างทยอยกันลงมือทำตาม เสียงฮึในลำคอเบาๆ ดังขึ้นมาแต่ละเสียง พวกเขาต่างทำลายชีพจรตนเอง ทำลายชะตาแท้ตนเอง เลือดสดๆ ไหลออกมาจากมุมปาก ร่างแต่ละร่างทยอยกันล้มตัวลงนอน
เพียงชั่วพริบตาเดียวบรรดาบรรพบุรุษของวัดจิ้งเหลียนกวานทยอยกันตายลง ล้มนอนเป็นศพอยู่ตรงนั้น
ทุกคนต่างนิ่งเงียบเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว บรรดาบรรพบุรุษเหล่านี้ของวัดจิ้งเหลียนกวานช่างแข็งแกร่งอะไรปานนั้น เคยเป็นกลุ่มบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ แต่มาวันนี้ทั้งหมดต้องมาจัดการตนเอง ณ ที่ตรงนี้ พวกเขาอาศัยความตายของตนแลกมาซึ่งการได้ไปต่อของวัดจิ้งเหลียนกวาน
สิ่งนี้คือจุดจบที่ดีที่สุดกล่าวสำหรับวัดจิ้งเหลียนกวานแล้ว พวกเขาไม่เพียงได้กลุ่มคนรุนใหม่ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ทั้งยังมีฉินเจี้ยนเหยาที่รอดมาได้ด้วยความโชคดี ขอเพียงพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่ อนาคตของวัดจิ้งเหลียนกวานยังคงมีความหวัง
ฉินเจี้ยนเหยามองดูเหล่าบรรพบุรุษที่ล้มลง น้ำตาได้เอ่อท่วมนัยน์ตาของนางโดยไม่รู้ตัว แต่ว่า นางไม่ได้ร้องไห้ออกมา
“ไปเสีย ละเว้นวัดจิ้งเหลียนกวานพวกเจ้าไม่ต้องตาย แต่ว่า สมควรลงโทษสถานหนัก” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และสั่งการออกไป
“ขอบพระทัยที่กรุณา” ฉินเจี้ยนเหยาก้มกราบเต็มรูปแบบต่อหลี่ชิเย่ สุดท้ายทำการเก็บศพให้กับเหล่าบรรพบุรุษ
“ปิ้งจวิน” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ส่งเสียงเรียกเรียบเฉยคำหนึ่ง
“คุณชายมีอะไรจะสั่งการ” พลันที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ ปิ้งจวินก็ได้ปรากฏตัว คำนับอยู่ตรงหน้าหลี่ชิเย่
“เจ้านำพาพวกมังกรทองแปดแขนไป จัดการกวาดล้างให้เรียบร้อย ห้ากองทัพอะไร แคว้นว่านเจิ้นอะไรนั่น จัดการเก็บกวาดๆ ให้กับข้า ข้าเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว” หลี่ชิเย่สั่งการออกไปพร้อมกับโบกมือเบาๆ
“รับบัญชา” เวลานี้พวกของมังกรทองแปดแขนทั้งสี่คนก็ได้ยืนอยู่ด้านหลังของปิ้งจวินแล้ว ต่างส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกัน
ผู้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งหมดต่างใจหายใจคว่ำเมื่อได้ยินคำสั่งเช่นนี้ รู้ว่าจะบังเกิดลมคาวฝนเลือดขึ้นในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่อีกแล้ว
…………………………………………