Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1760 ถูกสะกดรอย
ตอนที่ 1760 ถูกสะกดรอย
ในเวลานี้ พวกเสิ่นเสี่ยวซันสามคนตระลึงงันจนไม่อาจได้สติกลับมา ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันน่าสะเทือนหวั่นไหวเหลือเกิน พวกเขาไม่รู้ว่าจะหาคำเช่นใดมาเปรียบเปรยจึงจะเหมาะสม
เวลานี้ พวกของเสิ่นเสี่ยวซันต่างไม่รู้ว่าควรจะตกใจกับการที่หลี่ชิเย่จัดการเล่นงานจนใบหน้าของเหลียนยี่หานจนแหลกเละดี หรือว่าสะเทือนหวั่นไหวกับการที่ราชันประจัญบานสามารถถูกนำมาใช้โดยหลี่ชิเย่ดี
แม้แต่เถ้าแก่เฒ่าก็ถูกทำให้ต้องสะเทือนหวั่นไหวเช่นกัน แน่นอน สิ่งที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวให้กับเถ้าแก่เฒ่าแตกต่างจากพวกของเสิ่นเสี่ยวซันโดยสิ้นเชิง ระดับการตระหนกตกใจของเถ้าแก่เฒ่าไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกของเสิ่นเสี่ยวซันแม้แต่น้อย
ขณะที่เถ้าแก่เฒ่าจ้องมองดูหลี่ชิเย่นั้น เขาไม่สามารถอาศัยคำพูดใดๆ มาเปรียบเปรยได้อีกแล้ว ตำนานที่ดึกดำบรรพ์ นิทานที่เนิ่นนาน วันนี้กลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าของตนอีกครั้งหนึ่ง สร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อเขามากเหลือเกิน
คนอื่นที่ไม่รู้ความ ได้แต่มองว่าผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่ว่า คนที่รู้ถึงประวัติความเป็นมาของเขาแล้ว เคยได้ยินได้ฟังนิทานที่เกี่ยวกับเขามาแล้ว ล้วนแล้วแต่ถูกทำให้ตระหนกตกใจสุดขีด
คนคนหนึ่งที่ดำรงอยู่ในฐานะสามารถทำให้บรรดาราชันและเหล่าเทพของแดนสิบต้องหวาดหวั่น คนๆ หนึ่งที่อยู่ในตำนาน ทำให้แดนสิบต้องตกอยู่ในสภาพที่หวาดกลัวและสับสนวุ่นวายไปทั่ว มันช่างเป็นเรื่องราวที่น่าสะเทือนหวั่นไหวเพียงใด
เวลานี้ หลี่ชิเย่ได้นำเอาผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดมอบให้กับเถ้าแก่เฒ่า กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “เอาไปดูเองก็แล้วกัน”
ผ้าเช็ดหน้าผืนที่เดิมทีใช้เช็ดคราบเลือดที่อยู่บนราชันประจัญบาน แต่ว่า เวลานี้ คราบเลือดที่อยู่บนผ้าเช็ดหน้าได้ถูกวาดให้กลายเป็นภาพๆ หนึ่งขึ้นมา โดยที่ภาพนี้ดูเหมือนจริงมากยิ่งนัก
เถ้าแก่เฒ่าเมื่อได้สติคืนกลับมา รีบรับเอาผ้าเช็ดหน้าผืนดังกล่าวด้วยสองมืออย่างเคารพนอบน้อม หลังจากที่ได้เห็นภาพวาดบนผ้าเช็ดหน้าแล้ว เขาถึงกับสะเทือนหวั่นไหวในใจ รีบเร่งโค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่ ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกเลย เก็บผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“เอาหละ ที่ตรงนี้ไม่มีอะไรน่าดูชมอีกแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง หันหลังก้าวเดินออกไปจากหอราชันทันที
ไม่ง่ายนัก กว่าที่พวกสือโส่วสามคนจะได้สติกลับมาจึงรีบเร่งเดินตามให้ทัน ก่อนจาก พวกของสือโส่วต่างอดที่จะหันไปมองราชันประจัญบานที่วางอยู่ในตู้สักครั้งไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ถึงประวัติความเป็นมาของแผ่นทองแดงที่มีชื่อว่าราชันประจัญบานนี้ แต่จากการลงมือของราชันประจัญบานเมื่อครู่ พลังของตรีสหัสโลกธาตุนั้นสร้างความสะเทือนหวั่นไหวเหลือเกิน ถุงมือลักษณะเช่นนี้ต้องเป็นอาวุธที่ปราศจากผู้ต่อกรแน่นอน มันสามารถสยบและสังหารยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วน
อาวุธที่ปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้กลับสามารถให้หลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งควบคุมบังคับได้ กระทั่งมีท่าทียอมรับความเป็นเจ้าของๆ หลี่ชิเย่ ช่างเป็นเรื่องที่สะเทือนจิตใจขอผู้คนเหลือเกิน
ขณะที่ไปจากหอราชัน เฮ่อเฉินอดที่จะหันกลับไปมองดูป้ายไม้ที่แขวนอยู่ด้านนอกของร้าน ป้านไม้ที่แขวนแบบเอียงๆ ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตลกขบขัน แค่ร้านขายของเบ็ดเตล็ดร้านหนึ่งถึงกับบตั้งชื่อร้านได้อหังการเช่นนี้
แต่ว่า ในเวลานี้เฮ่อเฉินกลับมีจิตใจที่แตกต่าง เวลานี้เขารู้สึกว่า “หอราชัน” ชื่อนี้เหมาะสมกับร้านขายของเบ็ดเตล็ดร้านนี้อย่างสิ้นเชิง ไม่ทำให้ผู้คนต้องรู้สึกสูงส่งโดดเด่นแม้แต่น้อย
หลังจากที่หลี่ชิเย่ไปจากหอราชันแล้ว ในเวลานี้พวกของสือโส่วสามคนไม่มีคำพูดใดจะกล่าว พวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี โดยเฉพาะสือโส่วขณะจ้องมองหลี่ชิเย่ถึงกับรู้สึกเคารพยำเกรงยิ่งนัก เวลานี้รู้สึกได้ว่าหลี่ชิเย่นั้นน่ากลัวมากไม่กล้าเข้าใกล้มากเกินไป
ลองนึกภาพดู การพบกับจวิ้นหวังอย่างเหลียงยี่หาน แม้แต่ศิษย์พี่ของเขาเถี่ยซู่องยังต้องให้ความเคารพอยู่สามส่วน เวลานี้ หลี่ชิเย่อาศัยราชันประจัญบานซัดจนหน้าตาแหลกเละ ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ตั้งแต่ต้นจนจบหลี่ชิเย่ไม่ได้มีการขมวดคิ้วแม้แต่นิดเดียว เหมือนว่าแค่เหยียบบี้มดให้ตายตัวหนึ่งเท่านั้น กระทั่งเทียบไม่ได้กับมดตัวหนึ่งด้วยซ้ำ
ภาพเช่นนี้ส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของสือโส่ว รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าเหลียงยี่หานมีประวัติความเป็นมาอย่างไร แต่หลี่ชิเย่ยังคงจัดการทุบใบหน้าของเขาจนเละ ทั้งยังมีท่าทีไม่สนใจใยดีอย่างสิ้นเชิง ซึ่งบ่งบอกว่าเขาไม่ได้มองเหลียงยี่หานอยู่ในสายตา และไม่ได้มองแคว้นซีถัวอยู่ในสายตาเช่นกัน
ลองคิดดู มนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งถึงกับไม่มองแคว้นของผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่งอยู่ในสายตา มันต้องมีความมั่นใจเช่นใด และต้องมีความอหังการเพียงใด
ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ สือโส่วไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ของหลี่ชิเย่เป็นการกระทำที่โง่เขลาและอวดดี แต่เป็นการไม่เห็นฝ่ายตรงข้ามอยู่ในสายตาเลย ซึ่งทำให้สือโส่วต้องหวาดหวั่นในใจขึ้นมาแล้ว หลี่ชิเย่มีประวัติความเป็นมาเช่นใดกันแน่นะ!
ในเวลานี้ สือโส่วมีความรู้สึกว่าหลี่ชิเย่นั้นลึกล้ำยากจะหยั่งถึง ทำให้เขารู้สึกเคารพยำเกรงยิ่งนัก เฉกเช่นคนลักษณะเช่นนี้ หากไม่ระวังตัวแล้วเป็นศัตรูกับเขา บางทีอาจต้องตายโดยไร้ที่ฝัง
สือโส่วถึงกับหนาวสะท้านขึ้นมา เมื่อนึกถึงหลี่ชิเย่ที่จัดการซัดจนใบหน้าของเหลียงยี่หานจนแหลกเละอย่างโหดเหี้ยม ถ้าหากตนไปล่วงเกินหลี่ชิเย่เข้า เกรงว่าเขาคงจัดการทุบศีรษะของตนจนแหลก
แม้ว่าเวลานี้หลี่ชิเย่จะเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ว่า สือโส่วไม่ได้มองว่าเขาเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอีกต่อไป เขาได้มองว่าหลี่ชิเย่คือสัตว์ดุร้ายในยุคดึกดำบรรพ์ไปแล้ว
แม้ว่าหลี่ชิเย่ในเวลานี้จะมีลักษณะที่ไม่มีพิษมีภัยใดๆ แต่ว่า ในสายตาของสือโส่วยังคงมองว่าหลี่ชิเย่ก็คือสัตว์ดุร้ายที่เผยให้เห็นถึงเขี้ยวที่ขาวและแหลมคม พร้อมที่จะกระโจนเข้ามากัดจนหลอดลมขาดได้!
ขณะเดียวกัน สือโส่วก็เคารพในความเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมมองการณ์ไกลของศิษย์พี่ การที่ศิษย์พี่สามารถเกาะติดกับคนอย่างหลี่ชิเย่ได้ ต้องถือว่าเป็นความเป็นผู้มีสติปัญญาอย่างแท้จริง
สำหรับเสิ่นเสี่ยวซันนั้น นางไม่ได้คิดอะไรมาก กระทั่งแม้แต่เรื่องที่หลี่ชิเย่จัดการทุบใบหน้าของเหลียงยี่หานจนเละ นางก็ไม่ได้เก็บมาจำใส่ใจอีกต่อไป ในขณะนี้ภายในใจของนางมีเพียงผู้ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าของนาง นางที่ติดตามอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ ถึงกับแอบมองหลี่ชิเย่อยู่เป็นระยะๆ ภายในใจบังเกิดความหวานซึ้งขึ้นมา นางรู้สึกว่าตนเองนั้นเหมือนแช่อาบเอิบอยู่กับน้ำผึ้งอย่างนั้น
คำว่า “ผู้หญิงของข้า” ทำให้เสิ่นเสี่ยวซันต้องขบคิดไม่รู้จักจบสิ้น จิตใจล่องลอย ความรู้สึกเช่นนี้เสมือนดั่งนางได้ล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆอย่างนั้น
เมื่อเปรียบเทียบกับสือโส่วที่ให้ความเคารพยำเกรงต่อหลี่ชิเย่แล้ว เฮ่อเฉินที่อายุยังน้อยและมีนิสัยร่าเริง เขาถึงกับเป็นกังวลขึ้นมาว่า “เจ้าทุบใบหน้าของเหลียงยี่หานจนเละ และแคว้นซีถัวคิดบัญชีกับสำนักต้นไม้เหล็กพวกเรา แล้วจะทำอย่างไรดี? แคว้นซีถัวหาเรื่องสำนักต้นไม้เหล็กแล้วจะทำอย่างไร?”
คำพูดของเฮ่อเฉินทำเอาภายในใจของสือโส่วรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาเหมือนกัน คำพูดนี้มีเหตุผล แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ที่เมืองหลินเฉิน แต่อย่างไรเสียก็หนีไม่รอด เกิดแคว้นซีถัวเอาบัญชีแค้นนี้มาคิดเอากับสำนักต้นไม้เหล็ก เกรงว่าสำนักต้นไม้เหล็กพวกเขาจะต้องถูกทำลายล้างสำนัก
“วางใจเถอะ เวลานี้กษัตริย์ของแคว้นซีถัวไหนเลยจะมีเวลามาหาเรื่องกับสำนักต้นไม้เหล็กพวกเจ้า เกรงว่าศิลาขมุกขมัวระดับธรรมมังสัจธรรมห้าสิบล้านเม็ดพอที่จะทำให้แคว้นซีถัวต้องระทึกไประยะหนึ่งแล้วหละ เกรงว่าแคว้นซีถัวของพวกเขาคงต้องรวบรวมกันวุ่นวาย ยังต้องสาระวนกับการขายทรัพย์สินอีก ไหนเลยมีเวลามายุ่งวุ่นวายกับสำนักต้นไม้เหล็กพวกเจ้า” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับยิ้มที่เฉยเมย
พวกของสือโส่วสามคนเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วต่างมองหน้ากันและกัน เวลานี้เองพวกเขาเพิ่งจะนึกถึงขวดหยกที่ถูกทำให้แตกละเอียดใบนั้น
เมื่อนึกถึงขวดหยกใบนั้น ผู้ที่มีปฏิกิริยามากที่สุดก็คือเฮ่อเฉินแล้ว เขาถึงกับสะท้านขึ้นมา ยังดีนะเขาไม่ได้เป็นคนทำให้ขวดหยกใบนั้นต้องแตก มิฉะนั้นล่ะก็ต่อให้จับตัวเขาไปขายก็ไม่ได้ราคาเช่นนี้
เมื่อหวนนึกถึงก่อนหน้านั้นไม่นาน ขวดหยกใบนั้นยังอยู่บนมือเขาอยู่เลย นึกถึงตรงนี้แล้ว แม้ว่าเรื่องนี้ได้ผ่านไปแล้วแต่เฮ่อเฉินก็ยังนึกหวาดหวั่นย้อนหลังจนฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้ก้าวเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ เดินไปเดินไปกระทั่งเดินเข้าไปอยู่ในตรอกเล็กๆ ซอยหนึ่ง เป็นซอยตรอกเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมา อีกทั้งสภาพแวดล้อมโดยรอบดูสลับซับซ้อน
“เอาหละ สะกดรอยตามมานานมากแล้ว ได้เวลาแสดงตนออกมาได้แล้ว” หลังจากที่เดินเข้ามายังตรอกเล็กๆ นี้แล้ว หลี่ชิเย่ได้หันหลังกลับไป เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
คำพูดของหลี่ชิเย่สร้างความตะลึงให้กับพวกของสือโส่ว พวกเขาหันหลังตามและเวลานี้ จึงพบว่าด้านหลังมีคนผู้หนึ่งตามมาห่างๆ สะกดรอยพวกเขามาโดยตลอด
ภายในใจของสือโส่วถึงกับเย็นวาบเมื่อพบว่าถูกคนเขาสะกดรอยตาม เนื่องจากเมื่อครู่เขามัวแต่นึกถึงเรื่องอื่นๆ ไม่ได้สังเกตเห็นว่าถูกคนเขาสะกดรอยตาม สำหรับเสิ่นเสี่ยวซันและเฮ่อเฉินนั้น ต่อให้พวกเขาไม่ได้มีความในใจใดๆ ด้วยประสบการณ์ที่อ่อนด้อยก็ไม่ได้สังเกตว่าถูกใครเขาสะกดรอยตาม
“แหะ ตื่นตัวดีนี่” เมื่อถูกจับได้ ผู้ที่สะกดรอยตามก็เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง สวมชุดของสมุนรับใช้ เขาไม่ใช่มนุษย์ปุถุชนธรรมดา เป็นผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่ง
พี่น้องทั้งหลาย เมื่อถูกจับได้แล้ว พวกเราก็เผยตัวออกมาพบแขกหน่อย” ชายหนุ่มผู้นี้กล่าวพร้อมกับหัวเราะแหะแหะ
ในเวลานี้ บ้านเรือนที่อยู่รอบๆ ตรอกเล็กๆ นี้ปรากฏร่างเงาออกมาทีละสายๆ เมื่อร่างเงาเหล่านี้ปรากฎออกมาแล้ว พวกเขาต่างมุ่งหน้าเดินตรงไปยังพวกของหลี่ชิเย่ทั้งสี่คนและล้อมเอาไว้ ตั้งใจไม่ให้มีทางที่จะหนีไปไหนได้
พวกเขาสือโส่วสามคนสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเห็นคนมากมายที่ล้อมกรอบเข้ามา พวกเขาจึงแยกกันยึดไว้คนละมุมโดยกันหลี่ชิเย่เอาไว้ตรงกลาง เนื่องจากหลี่ชิเย่คือคนๆ เดียวในกลุ่มพวกเขาที่ไม่มีทักษะยุทธ
หลังจากที่คนเหล่านี้ล้อมกรอบเข้ามาแล้ว ล้วนแล้วแต่จับจ้องพวกของหลี่ชิเย่ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
พวกของสือโส่วมองดูบรรดาพวกที่ล้อมเข้ามาตรงหน้า ทั้งหมดสวมใส่ชุดที่แตกต่างกันออกไป บางคนมาในชุดของพ่อค้า บางคนเป็นชุดของเสี่ยวเอ้อ และมีบางคนสวมชุดที่มีสัญลักษณ์ของสำนัก………เรียกได้ว่า ในจำนวนหลายสิบคนล้วนแล้วแต่มาจากสารพัดสำนัก และมีทุกรูปแบบ
อีกทั้ง หลายสิบคนที่มาจากต่างสำนักเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้บำเพ็ญตน ไม่ใช่ประเภทที่คอยดักปล้นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอะไรนั่น
ภายในใจของพวกสือโส่วต่างรู้สึกแปลกใจ เมื่อมองดูบรรดาผู้บำเพ็ญตนที่มาจากสำนักต่างๆ เข้ามาปิดล้อมพวกตนเอาไว้ พวกเขาไปล่วงเกินคนเหล่านี้ตรงไหน ถึงกับแสดงความไม่เป็นมิตรกับพวกตนถึงเพียงนี้
“เอาหละ ข้าไม่มีเวลามาเพ้อเจ้อกับพวกไร้สาระอย่างพวกเจ้า ให้คนที่คุยกันรู้เรื่องออกมา” ท่าทีของหลี่ชิเย่ไม่ใส่ใจทั้งสิ้น แม้จะถูกคนหลายสิบคนล้อมเอาไว้ กล่าวออกมาตามอารมณ์
“ลูกพี่ คนนี้แหละ” ในเวลานี้เอง ผู้คนหลายสิบคนที่ล้อมพวกของหลี่ชิเย่เอาไว้ได้เปิดทางออกมา และมีชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเดินเข้ามา ข้างกายของเขายังติดตามมาด้วยชายอีกคน
ชายคนนี้หลังจากติดตามชายหนุ่มเข้ามาแล้ว ได้ชี้ไปที่หลี่ชิเย่
พวกของสือโส่วมองไปที่ชายคนนั้น พวกเขารู้จักชายคนนั้น ชายคนนั้นที่อยู่ตรงหน้าก็คือพ่อค้าที่ขายของปลอมซึ่งพวกเขาเจอะเจอที่ข้างถนนมาไม่นานนี้เอง
ครั้งนั้น พวกเขาสือโส่วเข้าใจว่าเรื่องราวจะจบลงเพียงเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาอีก
ผู้ที่ถูกพ่อค้าเรียกขานว่าเป็นลูกพี่เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้อายุยังไม่มาก ความจริงแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้ดูไปแล้วก็ราวสิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้น รูปร่างเตี้ยตัวเล็ก สวมใส่ชุดที่กว้างและยาวมาก พุงโต ดูไปแล้วเหมือนเป็นพ่อค้าตัวน้อย โดยเฉพาะคู่ดวงตาคู่นั้นของเขา เมื่อยามที่เขาหรี่ตา ปรากฎประกายที่เต้นระริก เหมือนว่าพร้อมจะค้นพบช่องทางการค้าได้ทุกเวลาอย่างนั้น