[EA Index of Telesma] สารบัญแห่งดาวเออา - ตอนที่ 1 [Babelia] นครแห่งองค์ความรู้ โอเอซิสของเหล่านักปราชญ์
- Home
- [EA Index of Telesma] สารบัญแห่งดาวเออา
- ตอนที่ 1 [Babelia] นครแห่งองค์ความรู้ โอเอซิสของเหล่านักปราชญ์
นครบาเบเลีย เป็นนครที่ตั้งอยู่ ณ กลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ในสหรัฐซาลาซิน เดิมทีสสถานที่แห่งนี้ไม่เคยมีสัญญาณของชีวิตอาศัยอยู่เลยแม้เพียงนิด มีเพียงแค่สายลมและทะเลทรายอันแห้งแล้ง แต่ทว่าวันหนึ่งเมื่อมีเหล่าพ่อค้าและผู้ร่อนเร่เดินผ่านสถานที่แห่งนี้เหมือนกับทุกครั้ง พวกเขาก็ได้สังเกตเห็นสิ่งที่แปลกออกไป นั่นคือเสาศิลายักษ์สีขาวสูงเสียดฟ้ามีเส้นผ่านศูนย์กลางราวห้าร้อยเมตรที่ไม่อาจทราบได้ว่าโผล่มาจากแห่งหนใด แต่ในตอนแรกพวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้จึงมองอยู่ห่างๆ และเรียกสิ่งนั้นในภาษาซาลาดินว่า”อามุดุ อาลามี”อันมีความหมายว่า เสาพิภพหรือเสาโลกา
ในภายหลังจากที่มีข่าวเกี่ยวกับเสานั้นได้แพร่สะพัดออกไปทั่วสหรัฐซาลาดินลามไปจนถึงประเทศข้างเคียงอย่างเอเธนส์ ก็เริ่มมีกลุ่มนักวิชาการของทั้งสองประเทศมารวมตัวกันเพื่อที่จะศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของเสาโลกานั้น โดยข้อมูลที่ได้จากการศึกษาจะถูกไว้เป็นความลับปิดตายจนกว่าจะทำการศึกษาเสร็จสิ้น ไม่มีคนนอกคนใดที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปใกล้ค่ายวิจัยแห่งนั้น
และวันหนึ่งหลังจากเริ่มโครงการศึกษาวิจัยได้สามปีกระโจมผ้าที่ตั้งรายล้อมรอบเสาโลกาก็หายสิ้นราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่แต่แรก แม้ในตอนแรกจะมีการตั้งข้อสันนิฐานกันว่าอาจจะถูกพายุทรายกลบจนหมด แต่ข้อสันนิฐานนั้นก็ถูกตีกลับเพราะแม้แต่สัญญาณของซากศพก็ไม่หลงเหลืออยู่ ด้วยเหตุนั้นจึงมีการสืบสวนเกิดขึ้นแต่สุดท้ายก็ไม่อาจตั้งข้อสรุปใดๆ ได้เนื่องจากปริมาณข้อมูลที่น้อยเกินไป พร้อมกันก็ทำให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดแปลกๆ ขึ้นมากมายแต่ก็ไม่ได้รับความเชื่อถือในวงกว้างอยู่ดี ผู้คนภายนอกเรียกเหตุการณ์การหายสาบสูญอย่างแพร่หลายนั้นว่า”ราตรีไร้เสียง” และเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียที่ไม่อาจทราบที่มาและคาดเดาได้อีกก็มีการทำข้อตกลงตีกรอบพื้นที่บริเวณโดยรอบเสาโลกาให้เป็นเขตหวงห้ามพร้อมจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อคอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ
ในวันหนึ่ง หลังจากที่เรื่องเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ราตรีไร้เสียงได้จางหายไปจากกระแสสังคมไปเกือบสมบูรณ์แล้ว ก็มีรายงานว่าที่บริเวณฐานของเสาโลกาได้มีแสงส่องประกายขึ้น ณ จุดหนึ่งพร้อมกับการปรากฏตัวของกลุ่มบุคคลที่เดินออกมาจากประตูที่ส่องแสงนั้น เหล่านักวิจัยที่หายสาบสูญไปในราตรีไร้เสียงก้าวเดินออกมาจากเสาโลกาพร้อมป่าวประกาศว่าสถานที่แห่งนี้คือหอสมุดลอยฟ้าที่เก็บรวบรวมองค์ความรู้จากยุคสมัยเก่าก่อนจนมาถึงปัจจุบัน”บาเบล” ถูกสร้างขึ้นโดยมังกรสีหมึกผู้เดินทางมาจากดินแดนตะวันออกที่ปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิหลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตัวแทนของมังกรสีหมึกผู้เป็นผู้ดูแลหอสมุดแห่งนี้อย่าง”มฤคบรรณารักษ์”ก็ได้ฝากสารของผู้เป็นนายมาให้โดยมีเนื้อสรุปได้ว่าเป็นการขอโทษที่ทำให้เกิดความเดือดร้อน และเพื่อเป็นการชดใช้จึงขอเชิญให้เหล่าผู้กระหายในองค์ความรู้เข้ามาศึกษาหาข้อมูลภายในหอสมุดตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นเจ็ดสิบได้ตามอัธยาศัยภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ อีกทั้งยังยินดีหากจะมีการสร้างเมืองล้อมรอบหอสมุดแห่งนี้
หลังจากสารนั้นถูกเผยแพร่ออกไปเหล่าผู้กระหายความรู้จากทั่วสารทิศก็เดินทางมาตั้งรกรากล้อมรอบหอสมุดลอยฟ้าเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับองค์ความรู้ที่ถูกสะสมมาอย่างยาวนานไม่จบสิ้นราวกับหุบเหวไร้ก้นบ่อ ผืนทรายที่แห้งแล้งถูกทดแทนด้วยอาคารและถนนที่ก่อจากหิน ดิน อิฐและปูน ต้นไม้ใบหญ้าและพืชผลนานาพรรณถูกเพาะปลูกขึ้นด้วยการนำองค์ความรู้ในหอสมุดมาประยุกต์ใช้ ทุกอย่างถูกพัฒนาขึ้นภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วอายุคน และในท้ายที่สุดนครแห่งใหม่ที่เกิดขึ้นจากการร่วมแรงของเหล่าผู้กระหายก็ถูกขนานนามอย่างแพร่หลายว่า”บาเบเลีย” นครแห่งองค์ความรู้ที่ซึ่งใจกลางเมืองคือหอสมุดลอยฟ้าที่ไม่มีใครรู้ว่าปลายยอดของมันอยู่สูงเพียงใด
“อึก… อืม…” ดวงตาสีฟ้าที่ถูกไล่เฉดสีอย่างงดงามราวกับภาพวาดของห้วงนภาอันปลอดโปล่งไร้เมฒีลืมตาตื่นขึ้นจากห้วงนิทราอันแสนยาวนาน
มังกรสีหมึกลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าเพื่อไม่ให้เกิดอาการหน้ามืดจากการปรับตัวไม่ทันของร่างกาย มันนั่งอยู่บนโต๊ะทรงกลมที่กระจัดกระจายไปด้วยกระดาษแผ่นยาวจำนวนนับสิบที่ถูกย้อมโดยสีดำของบทกวีจากการตวัดหมึกด้วยปลายหาง สถานที่แห่งนี้คือศาลาเก๋งหลงทรงแปดเหลี่ยมที่ตั้งอยู่บนจุดยอดสุดของหอสมุดลอยฟ้าเบเบล ที่พำนักของมังกรสีหมึกผู้เพลิดเพลินในศิลปะและบทกวี
มังกรสีหมึกทอดสายตาออกไปมองหมู่เมฆาและตะวันยามสนธยาด้วยท่านั่งชันเข้าข้างเดียวในขณะที่ขาอีกข้างห้อยลงจากโต๊ะ สายตาสีฟ้าอ่อนทอดมองลงไปยังกระดาษยาวที่กองอยู่อย่างสะเปะสะปะ ไม่มีกลอนอันใดที่แต่งแล้วรู้สึกถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดีแม้เพียงนิด ขนาดดื่มสุราวานรมากฤทธิ์เพื่อให้ช่วยในการเข้นความคิดก็ยังมิอาจแต่งบทกลอนที่ดีพอดั่งใจหวังได้
คิดเช่นนั้นแล้วก็แอบหงุดหงุด มังกรสีหมึกยื่นมือไปขว้าน้ำเต้าคู่กายที่บรรจุสุราวานรมารินลงจอก ทว่าแม้เพียงหยดเดียวก็ไม่ไหลลงมากระทบกับจอกนั้นเลย
“บางทีมันคงถึงคราที่ต้องออกเดินทางเพื่อแสวงหารสเมรัยใหม่ๆ หลังจากที่ไม่ได้ทำแบบนั้นเสียนานแล้วสินะ”