บทที่ 297 – สงครามหุ่นเชิด (14)
เหล่ามนุษย์ต่างร้องขอชีวิต
“โอ ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่! โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย! ได้โปรดเถอะ—”
“เมตต้าด้วย! เรายินดีทำทุกอย่าง ได้โปรดไว้ชีวิตเราด้วย!”
คนทั้งห้าสิบคนต่างพูดร้องขอชีวิต ราวกับเป็นดนตรีวงออเคสตร้าที่ไม่เคยซักซ้อมมาก่อนแล้วขึ้นแสดง
จึงไม่มีทางที่ผมจะตื้นตันใจกับเสียงดนตรีไม่เข้าท่าแบบนั้น
– แกร่ก
เหล่าทหารของพวกเราจุดไฟที่ไม้แห้งให้ลุกโชนขึ้น เปลวเพลิงจากคบไฟขยายตัวใหญ่ขึ้น เสียงกรีดร้องก็ยิ่งดังขึ้นเช่นกัน
การเผาให้ตายคาไม้เป็นอะไรที่วุ่นวายพอสมควร คุณต้องเอาท่อนไม้กองฟืนแห้งๆมาสุมแล้วเผาโดยใช้เวลาที่นาน ซึ่งก็เห็นๆกันอยู่ว่า มันเป็นวิธีการฆ่าที่ไร้ประสิทธิภาพมากเพราะเราต้องฆ่าอีกนับร้อยคน
ดังนั้นแล้วผมจึงเลือกวิธีการที่ง่าย
และโหดร้าย
“แม่งเอ๊ย ปล่อยข้าไป! ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้—!”
“โอ้ เพอซีโฟเน่ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา ได้โปรดนำทางดวงวิญญาณของฉัน…….”
“อั่กก! ฮั่กกกก! อ่อกกกกก!”
หัวหน้าหมู่บ้าน,เจ้าของที่นา ,คนเก็บภาษี รวมถึงหัวหน้ากองทหารอาสา คนเหล่านั้นต่างเป็นผู้ปกครองในสังคมขนาดเล็ก ค่อยๆถูกเผารมควันอย่างช้าๆ
พวกเขาย่อมจะมองเห็นอะไรไม่ชัดเพราะเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ พวกเขานั้นทั้งกรีดร้องและไอสำลักควันที่เต็มปอด
บางคนก็ตายไปก่อน และ บางคนก็ร้องต่อไปจนสิ้นใจ
ถึงอย่างนั้น วาระสุดท้ายของทุกคนก็ไม่ต่างกัน ทุกคนก็จะกลายเป็นกองกระดูกที่เกรียมไหม้แล้วร่วงลงสู่ผืนดิน
“…….”
ทหารบริททานี่นี่อยู่บนกำแพงยังคงเงียบงัน
มีข้อดีอยู่เหมือนกันสำหรับการจัดมัดแล้วเผาทั้งเป็นนั่นคือ การเป็นจุดสนใจ
คุณสามารถจะเห็นควันพวยพุ่งจากที่ไกลๆ ซึ่งก็เห็นกันชัดเจนเลยว่า ควันพวกนั้นคือ ประชาชนแห่งปารีส
ผู้คนตายกันไม่หยุดหย่อนด้านในกำแพง…….
มันจะเป็นปัญหามากหาก อีกฝ่ายไม่มีเรื่องพวกนี้อยู่ในหัว
เป้าหมายของผมนั้น คือ การกดดันชาวเมืองปารีส และกดดันเฮนริเอตต้าไปพร้อมกัน
“เมื่อเป็นดังนี้แล้ว”
คำเตือนของผมดังก้องไปทั่วทั้งท้องฟ้าสีหม่นดำ
“พวกเขาจะถูกเผาอยู่ที่ทางประตูทิศใต้ทุกๆ หกชั่วโมง
ยิ่งผู้ปกครองบริททานี่หลบเลี่ยงความผิดตัวเองนานเท่าไหร่ จำนวนชีวิตที่ต้องเซ่นสังเวยก็มากยิ่งขึ้น
ไม่มีการเมตตาใดๆทั้งนั้น”
“…….”
“เหล่ามนุษย์ของชาติบริททานี่เอ๋ย ข้าขอแนะให้พวกเข้ามองดูใกล้ๆ
ว่าเมล็ดพันธุ์หายนะที่พวกเจ้าได้หว่านไว้ ตอนนี้นั้นมันเติบโตและพร้อมจะเก็บเกี่ยวแล้ว
มาดูว่า พวกแกจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นการเสียสละของเจ้าพวกนี้ไปได้นานแค่ไหนกัน…….”
สรุปแล้ว การสังเวยชีวิตดำเนินไปต่อเนื่องสี่วัน
การประหารเกิดขึ้นตลอดทั้งช่วงกลางวัน กลางคืน โดยไม่แบ่งแยกว่าจะเป็นชาย เป็นหญิง เป็นผู้เยาว์ เป็นผู้เฒ่า
ควันสีดำพวยพุ่งขึ้นให้เห็นเด่นในช่วงกลางวัน และเปลวไฟสีแดงเถือกแลบเลียผืนฟ้าในช่วงกลางคืน ไม่มีใดที่ไร้ควัน
และก็เป็นไปอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ บริททานี่ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ไม่เลย ผมควรจะบอกว่า พวกเขาไม่อาจทำอะไรได้ต่างหาก
“เกิดการต่อต้านขึ้นที่ปารีส”
กามิกินรายงาน เธอคอยเฝ้าสังเกตการณ์เมืองจากบนฟ้าด้วยหน่วยไวเวิร์นของเธอ
พวกเขาเริ่มก่อความวุ่นวายสองวันนับตั้งแต่ที่พวกเราเริ่มการประหาร
“ยอดเยี่ยม แล้วระดับล่ะ?”
“ยิ่งนานก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น
ทีแรกก็ราวห้าสิบคน ตอนนี้ก็เกือบสี่ร้อยคนแล้ว”
จำนวนผู้ต่อต้านเริ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่า พวกเขากำลังหวั่นวิตก
ตามที่กามิกินรายงานมา ข้อเรียกร้องของพวกเขานั้นง่ายมาก พวกเขาต้องการให้หยุดการฆ่าล้างนอกเมืองเสียที
เฮนริเอตต้าทำอะไรไม่ได้ เธออยากที่จะออกจากเมือง แต่ก็โดนขังไว้
สามวัน สี่วัน และห้าวัน ผ่านไปอย่างนั้น
ีมีการรบปะทะกันในช่วงระหว่างนั้น หากแต่ไม่ได้เกิดขึ้นในปารีส มันเป็นการรบกันทางน้ำในทะเลที่ห่างออกไปจากเมืองปารีส พอเส้นทางบกของบริททานี่โดนปิด พวกเขาก็พยายามขนส่งลำเลียงเสบียงผ่านเส้นทางน้ำแทน
แต่โชคไม่ดีเลยนะ สาธารณรัฐบัทตาเวียนั้นเฝ้าคอยท่า อยู่ที่ปากแม่น้ำแล้ว
“เนื่องจากพวกเขาไม่อาจตีฝ่าวงล้อมออกไปได้ ดังนั้นสิ่งที่บริททานี่จะต้องทำอย่างไม่ต้องสงสัยเลยก็คือ พวกเขาจะพยายามขนส่งเสบียงมาทางแม่น้ำ”
ลอร่าชี้ประเด็น
“หากเราวางกองกำลังซุ่มโจมตีไว้ที่ทางเข้าแม่น้ำ ซีเควียนน่า พวกเราจะได้รับความสำเร็จครั้งใหญ่”
กองทหารบริททานี่อาจจะไร้คู่ต่อสู้บนบก แต่หากเป็นทางเรือแล้วมันคนละเรื่องกัน
สาธารณรัฐบริททานี่นั้นมีกองทัพเรือที่แข็งแกร่งที่สุดเคียงคู่กับจักรวรรดิซาดิเนีย กองทัพเรือของบริททานี่เองก็นับว่า หมดท่าทันทีที่โดนกองเรือขนาดใหญ่ห้าสิบลำลอบโจมตี
เรือน้อยใหญ่เกือบยี่สิบลำจมก้นแม่น้ำ ส่วนเรือขนเสบียงอีกสามสิบลำโดนยึด
การคาดการณ์ของลอร่านั้นแม่นยำเหมือนเช่นทุกที
พอเราได้รับรายงานว่า เรือเสบียงที่เต็มไปด้วยอาหารมากมายกำลังแล่นมาทางพวกเรา เหล่าผู้บัญชาการก็หัวเราะลั่น
แม้แต่จอมมารยังมองลอร่าด้วยสายตาประหลาดใจแกมนับถือ
“ถ้าอย่างนั้น เธอก็ไม่ต่างจากผู้พยากรณ์เลย”
พี่เบเลธถึงกับหน้ามุ่ย
ในตอนนี้ลอร่าไม่เพียงแต่ถืออำนาจในการบัญชาการเท่านั้น หากแต่ยังทำให้คนรอบตัวประจักษ์แล้วว่า เธอขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการการรบได้ด้วยความสามารถของตัวเอง
แต่ถึงอย่างนั้น ลอร่าก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนัก
สีหน้าสีตาเธอยังคงเป็นเหมือนเช่นเคย ราวกับว่ามันเป็นผลลัพธ์ที่ย่อมต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว
มันให้ความรู้สึกแบบนั้น และเธอเองก็เชื่ออย่างนั้นเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ บริททานี่จึงสูญเสียช่องทางการรับเสบียงอาหารของตัวเอง
ความหวังทั้งหมดทั้งมวลที่พวกเขามีขณะที่อยู่ในปารีสแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ใครจะรู้ว่า พวกเขาจะอดทนต่อไปได้นานแค่ไหน
หากพวกเขาจะหนีก็ต้องรีบหนีโดยทันที
การเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อมีแต่จะพากันให้ทุกอย่างยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม เฮนริเอตต้าน่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าใครทั้งนั้น
* * *
“ทัพเรือของเราแพ้ทัพเรือของบัทตาเวีย”
พอราชินีเฮนริเอตต้าประกาศอย่างนั้น ทุกคนก็เงียบ นายพลทั้งหลายต่างก้มหน้าคอตก
ราชินีของพวกเขาติดต่อกับกองเรือประจำชาติทันทีที่ทราบว่า โกดังเสบียงโดนปล้น
เธอสั่งการด้วยความรวดเร็ว แต่เร็วแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์…….
“ฝ่าบาทแล้วเสบียงของพวกเราจะทำอย่างไรดี……?”
“ไม่มีเรือสักลำที่ผ่านกองเรือบัทตาเวียได้เลย
ทุกคน, พวกเราไม่อาจคาดหวังเสบียงอาหารเพิ่มได้อีกแล้ว”
ชะตากรรมของราชอาณาจักรบริททานี่ได้ถูกตัดสินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เฮนริเอตต้าพูดอย่างขมขื่นใจ
“ข้าก็สงสัยอยู่แล้วว่า พวกนั้นจะใช้เวทย์ก่อกวนการสื่อสารไปทำไม
ไม่ใช่เพราะอยากที่จะทะลวงขอบเขตวงเวทย์ที่อยู่ในหวังอย่างที่ข้าคิดไว้
ศัตรูนั้นคาดการณ์ไว้แล้วด้วยว่า พวกเราจะขอความช่วยเหลือจากทางน้ำ…….”
“ท่านคิดว่า ศัตรูมองการณ์ไกลถึงเพียงนั้นเลยหรือ,ฝ่าบาท……?”
หนึ่งในเหล่านายพลถามขึ้น
“ส่วนหนึ่งอาจเป็นความบังเอิญ”
“ข้าก็ไม่รู้ แต่ในสงครามคราวนี้ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ
พวกเขาสร้างป้อม,ข้ามแม่น้ำ และโจมตีกองเสบียงของพวกเรา
พวกเราเต้นอยู่บนฝ่ามือพวกนั้นมาโดยตลอด…….”
เฮนริเอตต้าส่ายหน้า
“พวกเราคิดว่า มันจะกลายเป็นสงครามยืดเยื้อ แต่กลับกลายเป็นสงครามรวบรัดที่มุ่งเป้าไปที่จักรพรรดิ
พวกเราคิดว่าจะเป็นสงครามรวบรัด แต่พวกนั้นกลับขโมยเสบียงของพวกเรา
มาตอนนี้พวกนั้นกลับมาใช้สงครามยืดเยื้อกับพวกเราแล้ว…….ข้ารู้สึกว่า พวกเราไม่ต่างจากหุ่นเชิด”
“…….”
ความวุ่นวายทั้งหมดทั้งมวลในสงครามนี้ เป็นดั่งสงครามหุ่นเชิด
จักรพรรดิของจักรวรรดิฟรานเคีย กลายเป็นหุ่นเชิดของประเทศบริททานี่
และ มกุฏราชกุมารแห่งฮับบวร์กก็กลายเป็นหุ่นเชิดของกองทัพจอมมาร
ราวกับเป็นการประชดแดกดันกันที่หุ่นเชิดทั้งสองต้องมาก่อสงครามต่อกัน
เฮนริเอตต้าเชื่อว่า คำว่า สงครามหุ่นเชิดนั้นเป็นคำที่เหมาะสมในหลายๆความหมาย
ใครบางคนเขียนบท และทุกคน ทั้งกองทัพจอมมาร ทั้งกองทัพของบริททานี่ ดำเนินไปตามบทนั้น
แถมยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่า การแสดงหุ่นเชิดครั้งนี้จะจบลงเมื่อไหร่
นี่เป็นดั่งฝันร้าย…….
“พวกเราจะทนได้นานเท่าไหร่?”
นายพลต่างมองหน้ากันแล้วกลับไปตอบคำถามของราชินี
เฮนริเอตต้าประมาณการณ์ว่า เสบียงที่มีน่าจะอยู่ได้ราว 20 วัน
ต่อให้ประหยัดแค่ไหน ก็อยู่ได้ไม่เกินเดือนกว่า?
เสบียงที่มีกันแค่เดือนหนึ่งนั้นนับเป็นเรื่องที่ไม่ไหวเอามากๆสำหรับการรับมือกับการปิดล้อม
เฮนริเอตต้าพูดแบบนั้นเพื่ออยากทดสอบดูด้วยว่า เหล่านายพลของเธอเข้าใจสถานการณ์นี้ไหม
“ขอประทานอภัยฝ่าบาท น้อยที่สุดคือ 15 วัน มากที่สุดก็ไม่เกิน 2 เดือน”
นายพลท่านอื่นต่างพากันพยักหน้า เฮนริเอตต้ายิ้มแห้งๆก่อนที่จะตระหนักว่า นายพลของเธอทุกคนมีข้อสรุปอย่างเดียวกัน
เธอพอใจที่ นายพลของเธอนั้นมีความสามารถ
แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจที่เธอไม่สามารถเอาชนะได้แม้จะมีนายพลเก่งๆอยู่ นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมเฮนริเอตต้าจึงได้แต่ยิ้ม
นายพลท่านหนึ่งพูดขึ้นด้วยท่าทีที่ลังเล
“ฝ่าบาท เราไม่ควรจะอยู่ในวงล้อมแบบนี้
ถึงตอนนี้พวกนั้นจะกั้นแค่ที่ประตูเมืองฝั่งใต้ แต่อีกไม่นานพวกนั้นจะปิดกั้นทุกฝั่ง ท่านต้องยอมตัดสินใจรักษาเกียรติภูมิของประเทศเรา”
“ไม่, มันอาจจะตรงข้ามกันก็ได้”
เฮนริเอตต้าพูดขึ้น
“พวกนั้นอาจจงใจกั้นเฉพาะแต่ประตูทางใต้
พูดอีกอย่างนั้น พวกนั้นชักนำให้พวกเราหนี นายพลทั้งหลาย
เราต้องออกไปทางตะวันตก เพื่อกลับบริททานี่ และเส้นทางกลับนั้นก็ผ่านแม่น้ำซีเคียนน่า แม่น้ำสายนั้นตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม”
“……พวกนั้นจะโจมตีเราตอนเรากำลังข้ามแม่น้ำ”
เหล่านายพลคำรามขึ้น
“หนักกว่านั้น คือ กองเรือบัตตาเวียจะโผล่มา
พวกนั้นจะโจมตีด้วยกองเรือในทันทีที่เราหายตัวไปจากปารีส
…….ไม่มีเหตุผลเลยที่พวกมันจะไม่ทำอย่างนั้น?”
“……ดังนั้นแล้วจึงไม่มีประโยชน์ให้พวกนั้นยึดปารีสคืน นั่นคือสิ่งที่ศัตรูคิด”
เฮนริเอตต้าพยักหน้า
“ถูกแล้ว เป้าหมายมิใช่ปารีส และไม่ใช่แม้แต่การชนะในสงครามนี้
หากแต่เป็นการล่มสลายของพวกเรา การล่มสลายของบริททานี่”
“หากเราป้องกันปารีส พวกเราก็จะล้มตายกันหมด บริททานี่ก็จะกลายเป็นชาติที่ไร้กองทัพโดยจบลงที่กลายเป็นชาติที่อ่อนแอที่สุดในทวีป แต่หากพวกเราไม่ปกป้องปารีสแล้วหนีไป เราก็เสียอุดมการณ์ไป ผู้คนจะเริ่มตั้งข้อสงสัยกับพวกเรา ซึ่งนั่นก็นำมาสู๋จุดจบของชาติ…….”
เฮนริเอตต้าบ่นกับตัวเอง
“ไม่ว่าจะทางไหนก็มีแต่ การล่มสลาย พอพวกเรารู้ตัวอีกทีก็มาถึงจุดจบทางตันเสียแล้ว
……. ช่างเป็นศัตรูที่ดื้อด้านและน่ากลัวเสียจริง”
ดื้อด้านและน่ากลัว
เหล่านายพลทวนได้แต่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น
ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาไม่ได้รบแตกหักกันเลยสักครั้งเดียว
อัศวินกุหลาบเขียวโดนกวาดล้างไป หากวัดที่จำนวนพวกเขาก็สูญเสียทหารไปราวพันนาย แต่ก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว สงครามก็จบลงแล้ว
แม้แต่เหล่านายพลก็ไม่คาดคิดว่า สงครามครั้งนี้จะเป็นแบบนั้นก็ตาม
“เราจะแยกกองทัพออกเป็นสองส่วน
ครึ่งหนึ่งให้ป้องกันปารีส ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งให้หนีไปจากที่นี่”
“ฝ่าบาท”
“เราต้องทิ้งทหารส่วนหนึ่งไว้่เพื่อข่าวลือจะได้ไม่แพร่ไปกว่าพวกเราทอดทิ้งเมืองนี้”
พวกนายพลกลับพูดไม่ออก
พวกเขารู้ดีว่า นี่เป็นทางแก้ปัญหาเพียงทางเดียว ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่า เขาต้องเสียสละทหารนับร้อยนายให้เสียสละอยู่เบื้องหลัง
“พวกนั้นทนได้ไม่นานหรอก เอาทหารที่แก่ที่สุดและพวกหน้าใหม่ไว้ด้านหลัง”
“ฝ่าบาท แต่การทำเช่นนั้น…….”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะขออยู่ที่นี่”
นักบุญหญิงลองวี่พูดแทรกขึ้น
ทั้งราชินีและนายพลต่างอ้าปากด้วยความตกใจ การที่ยังอยู่ในเมืองนี้ต่อหมายถึงต้องตาย
“นักบุญหญิงลองวี่”
“หากพวกเราไปกันหมด ทหารก็จะคิดว่าเราทิ้งพวกเขา
หรือต่อให้นั่นเป็นความจริง พวกนั้นก็คงทนกันได้ไม่ข้ามวันด้วยซ้ำ
จึงไม่มีประโยชน์ที่ให้พวกนั้นรั้งท้าย”
นักบุญหญิงลองวี่พูดหนักแน่น
“หากข้าอยู่กับพวกเขา พวกเขาจะไม่คิดว่าตัวเองโดนทิ้ง
ฝ่าบาท,โปรดอนุญาตด้วย”
เฮนริเอตต้าขมวดคิ้ว
“ไม่ ข้าจะอยู่ด้วย
ตอนที่ราบบรูโน่ ข้าเคยทอดทิ้งทหารของข้าไปครั้งหนึ่งแล้ว
ข้าจะไม่ทำเรื่องน่าอายอีกเป็นครั้งที่สอง”
“ฝ่าบาทต้องรักษาตัวเพื่อบริททานี่ ความรู้สึกผิดเป็นคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ของผู้ปกครอง แต่ถึงอย่างนั้น ท่านต้องไปถูกความรู้สึกผิดดังกล่าวครอบงำ
ท่านลืมไปแล้วหรือว่า การนำพาบริททานี่สู่แผ่นดินเดิมคือภารกิจและหน้าที่ที่ฝ่าบาทพึงกระทำ”
“…….”
ราชินีถึงกับเงียบ
นักบุญหญิงลองวี่ได้แต่ยิ้มสดใส ในขณะที่ทุกคนก้มหน้า
“อย่าห่วงไปนักเลย ข้าไม่คิดจะโยนชีวิตตัวเองทิ้งเหมือนกัน
ข้าจะอดทนให้นานที่สุดจนกว่าจะหาทางหนีออกไปพร้อมกับทหารของพวกเราได้ หากเกิดอันตราย
ข้าเชื่อว่า องค์เทพีจะประทานความปรานีให้แก่พวกเรา”
MANGA DISCUSSION