บทที่ 288 – สงครามหุ่นเชิด (5)
“ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรยืนยันว่า เสบียงของพวกนั้นอยู่ทางแม่น้ำฝั่งใต้จริงๆ
ที่ตั้งของโกดังเสบียงต้องเป็นความลับแม้แต่ในฝ่ายเดียวกัน
จึงยากที่พวกกองทัพจอมมารจะรู้ตำแหน่งที่ตั้งได้”
สีหน้าของอลิซาเบธมืดหม่น
“……แต่ถึงอย่างนั้น หากกองทัพจอมมารได้ข้อมูลนั้นมาอยู่ในมือเมื่อไหร่ก็นับเป็นข่าวร้าย
ไม่ต้องสงสัยเลย กองทัพจอมมารแกล้งทำเป็นเดินทัพไปยังปารีส
ในสถานการณ์ที่เฮนริเอตต้าไม่อาจเสียจักรพรรดินีหรือจักรพรรดิไปได้
ข้าแน่ใจเลยว่า นางจะต้องรีบไปที่ปารีสเพื่อตรวจสอบ”
กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือ กรณีที่เสบียงอยู่ในทิศทางเดียวกับปารีส แทบไม่ต้องเดาเลยด้วยซ้ำว่า ศัตรูจะไปทางไหน
แต่ถึงอย่างนั้น อลิซาเบธก็ยังมิได้พูดถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุดจริงๆ
“หากเสียเสบียงไป เฮนริเอตต้าต้องถอยอย่างไม่มีทางเลือก
เธออาจต้องทำการปล้นชิงชาวบ้าน ทำให้ความเกลียดชังที่มีต่อบริททานี่ในประเทศฟรานเคียกลับเพิ่มสูงขึ้นอีก
ไม่สิ นี่อาจเป็นสิ่งที่ดันทาเลี่ยนตั้งใจไว้ก็ได้…….”
“นายท่าน , ฝ่าบาทเฮนริเอตต้าไม่ตระหนักจริงๆหรือว่า เสบียงของนางกำลังตกอยู่ในอันตราย?”
ยูเรียพูดด้วยความระวัง
“ข้าไม่คิดว่า นางไม่รู้หรอก”
อลิซาเบธถอนใจ
“แต่ปัญหาคือ เราไม่รู้แน่ชัดเลยว่า กองทัพจอมมารตั้งใจทำอะไร
อาจจะตั้งใจมุ่งเป้าไปเพื่อปารีสจริงๆ แล้วปารีสใช่สถานที่เก็บเสบียงของบริททานี่จริงๆหรือเปล่า?
ไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้นแหละ
เฮนริเอตต้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนำกองทัพทั้งหมดมุ่งไปยังที่แห่งเดียว…….”
อลิซาเบธสั่งให้หาวิธีการทำให้ลูกแก้วเวทย์มนตร์กลับมาใช้งานให้ได้ด้วยเหตุนี้
ยูเรียพยายามอย่างหนักเพื่อทะลวงผ่านมนตร์ต้านเวทย์
ผ่านไปเกือบยี่สิบนาที
ยูเรียพูดด้วยน้ำเสียงยอมแพ้
“นายท่าน, ข้าต้องขอประทานอภัยด้วย แต่มัน…….”
“มันไม่กลับมาอย่างนั้นหรือ?”
“ค่ะ”
อลิซาเบธถอนใจเฮือกใหญ่ การรู้ถึงเจตนาของศัตรูสายเกินไปถือว่า โดนโจมตีเข้าจุดตายก็ไม่ผิด
หากรู้สิ่งนั้นก่อน ผลลัพธ์จะผิดกันโดยสิ้นเชิง
แต่ถึงอย่างไร้ก็ตามไม่มีทางที่อลิซาเบธจะสามารถส่งข่าวดังกล่าวที่เธอมีให้เฮนริเอตต้าได้
“ดูเหมือนจะเป็นนักเวทย์เจ็ดวง ไม่สิๆ เป็นนักเวทย์แปดวงที่ร่าย มนตร์ต้านเวทย์ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ข้าไม่…….”
“หากพวกเราจะใช้นักเวทย์ทั้งหมดที่มีเพื่อแก้ไขมันล่ะ?”
“ขอประทานอภัยค่ะ แต่มันปัญคือการที่ระดับของเรามันไม่สูงพอ
มันไม่ใช่ว่า มีนักเวทย์ระดับสูงคนเดียวเป็นผู้ร่ายเวทย์
หากแต่ยังมีปีศาจอีกเกินกว่าสามสิบตนที่ร่ายเวทย์สนับสนุนด้วย”
อลิซาเบธจึงได้ตระหนักถึงความต่างระหว่างนักเวทย์มนุษย์และนักเวทย์ปีศาจ
ผิดกับพวกอัศวิน มีหนทางไม่มากนักในการปั้นนักเวทย์ขึ้นมา นั่นก็เพราะพรสวรรค์และความสามารถมันผิดกันเป็นอย่างมาก
ซ้ำร้ายกว่านั้น พวกนักเวทย์หอคอยทั้งหลายที่มีหลงเหลืออยู่น้อยอยู่แล้วกลับเดินทางข้ามทวีปออกจากดินแดนฮับบวร์กไปด้วยเหตุผลบางประการ
ดังนั้นแล้ว ศักยภาพในการพัฒนาเวทย์มนตร์ของฮับบวร์กจึงตกลงฮวบฮาบ
คอนซูลอลิซาเบธนั้นได้แต่บ่นครางออกมา
“ไม่ว่าพวกเราจะเร่งอย่างไรก็ใช้เวลามากกว่า ห้าวันกว่าที่จะไปถึงปารีส
การต่อสู้คงไปถึงบทสรุปแล้วไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ยูเรียเอ๋ย,พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากภาวนาให้เพื่อนของเราโชคดี…….”
“ข้าจะเร่งทัพให้เต็มที่เท่าที่จะทำได้”
พวกเขาสามารถเร่งการเดินทัพได้เร็วขึ้นอีกสองวัน หากเดินทัพต่อเนื่องแล้วฟื้นฟูความเหนื่อยล้าของม้าด้วยเวทย์มนตร์แทน
ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาประมาณ สามหรือสี่วัน อลิซาเบธจึงได้แต่ต้องคว้าโอกาสสุดท้ายนี้ไว้…….
* * *
“พวกนั้นเริ่มโจมตีแล้ว ,ท่านผู้บัญชาการทหาร”
“นายท่าน, แกล้งหญิงสาวผู้นี้มันสนุกมากไหม?”
ลอร่าทำท่าโกรธแก้มป่อง จนดูไปก็คล้ายแฮมสเตอร์ผู้น่ารัก
“แน่นอน การแกล้งเจ้าเป็นอะไรที่สนุกที่สุดในโลกเลย”
“เอาจริงๆสิ…….”
ลอร่าบ่นออกมา
หากมีคนอยู่รอบข้าง ผมจะรักษาเกียรติยศของเธอในฐานะผู้บัญชาการกองทหาร แต่หากทหารทุกนายกลับไปกองของตนเพราะการรบที่ใกล้จะเข้ามา
จึงเหลือแต่ผมกับลอร่าอยู่ในเต๊นท์ด้วยกัน หากจะมีก็แค่ก็อบลินส่งข่าวที่รออยู่ ไม่ต้องไปสนใจนักก็ได้
โดยปกติแล้วพวกเราจะใช้การสื่อสารกันด้วยลูกแก้วคริสตัล แต่ตอนนี้เกิดการรบกวนการสื่อสารขนาดใหญ่ด้วยเวทย์มนตร์ที่ร่าย
ทั้งฝ่ายเราและฝ่ายศัตรูต่างไม่อาจใช้การสื่อสารด้วยเวทย์มนตร์ได้อีกต่อไป
เหตุผลที่พวกเราทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายแบบนี้ ก็เพื่อสร้างความวิตกยามที่ไม่อาจติดต่อกับผู้คนที่อยู่ภายนอกได้
ซึ่งนั่นจะสร้างความเครียดให้เกิดกับผู้ปกครองที่ต้องรับผิดชอบในการชี้ชะตาประเทศชาติ ทั้งยังมีทหารเกือบสามหมื่นนายในมือ
ผมพูดขณะที่มองกองทหารของบริททานี่เข้ามาอย่างรวดเร็วจากเบื้องหน้าพวกเรา
“ดูจากคบไฟของพวกนั้นแล้ว คงจะยกกันมาหมดกองทัพเลยล่ะ จะบอกว่า นางนั้นน่าประทับใจหรือนางช่างกล้าหาญดีล่ะ?
พวกเราก็ควรจะเตรียมทัพไปดักซุ่มไว้ก่อนนะ หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้”
“นายท่าน,ท่านคงพูดเล่นกระมัง หากส่งทหารจำนวนน้อยไปซุ่ม พวกนั้นก็คงโดนจอมมารอกาเรสกวาดตายหมด ซื้อเวลายังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
“แล้วหากพวกเราซุ่มโจมตีด้วยกำลังพลนับหมื่นนายล่ะ?”
“พวกเราก็จะโดนทหารม้าของบริททานี่พุ่งเข้ามาด้วยจำนวนที่น้อยกว่า หมื่นนาย
หากตัวฉันจำไม่ผิด นายท่านโดนทหารม้าจำนวนน้อยกว่านี้บดขยี้อีกนะ
ท่านมั่นใจหรือว่าพวกเราจะทำแบบนั้นได้น่ะ?”
ผมยักไหล ผมนี่เถียงไม่ชนะลอร่าเลยจริงๆ
“ข้ารู้ เราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบาร์บาทอส”
“บทบาทของท่านบาร์บาทอสก็สำคัญ บทบาทของบารอนเบอร์ซี่ก็ไม่แพ้กัน ย่อมเป็นการดีมากหากเขาเคลื่อนไหวได้ถูกเวลา”
กองทัพพวกเราไม่เคลื่อนไหวกันเกือบครึ่งเดือน
แต่ถึงอย่างไร พวกเราก็วุ่นยุ่งที่สุดแม้จะไม่เคลื่อนทัพเลย
นั่นคือ สิ่งที่ลอร่าพูดยามที่เห็นกองทัพบริททานี่ตั้งค่ายหลังชนแม่น้ำ
‘พวกเราจะไม่สู้’
การที่คนๆหนึ่งตัดทางหนีตัวเองแปลว่าอย่างไร?
นั่นหมายถึงว่า อีกฝ่ายต้องการจะสู้จนตัวตายไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ลอร่าตัดสินใจใช้ความปรารถนาที่หวังต่อสู้รวบรัดของอีกฝ่ายในทันทีที่รู้อย่างนั้น
ทีแรกเธอก็ค้นหาดูว่า โกดังเสบียงของบริททานี่ตั้งอยู่ที่ใดกัน
พอเรายืนยันได้แล้วว่า ไม่ใช่ปารีส ก็จากข้อมูลรั่วไหลจากชนชั้นสูงฟรานเคีย ต้องขอบคุณพวกเขาจริงๆ
คลังเสบียงไม่มีทางอยู่ที่ปารีส
ดังนั้นแล้ว หรือจะเป็นหนึ่งในป้อมปราการที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงล่ะ…….
ปัญหาก็คือ มีหมู่บ้านทั้งเล็กทั้งใหญ่ 17 หมู่บ้านอยู่ใกล้ๆปารีสฃ
จึงไม่จำเป็นต้องไปยึดทุกป้อมปราการหรอก
หลังจากวันนั้น ลอร่าพูดขณะที่กำลังตรวจสอบค่ายของศัตรู
‘พวกนั้นเคลื่อนเสบียงด้วยเรือ โกดังของพวกนั้นอยู่ริมแม่น้ำค่ะ,นายท่าน
มีป้อมปราการกี่แห่งที่อยู่ชิดกับแม่น้ำ?’
‘หก
อื้มมม,เป็นจำนวนที่น้อยลงมาเยอะเลย’
ผมยิ้มอย่างพอใจ แต่ลอร่ากลับขมวดคิ้ว
‘หกยังมากไป ต้องลดจำนวนลงให้เหลือแค่ป้อมปราการทางใต้ไม่ใช่ทางเหนือ’
‘หากทำอย่างนั้นก็จะเหลือแค่ สี่…….ทำไมจึงเป็นทางใต้ล่ะ?’
ลอร่าตอบกลับมาในทันที
‘กองทัพพวกเราโจมตีจากทางฝั่งเหนือของฮับบวร์ก
เส้นาทงเดียวที่พวกเราจะเข้าได้ก็มีแต่ทางเหนือ หากเป็นนายท่าน นายท่านจะเอาเสบียงไปไว้ในฝั่งเดียวกันกับที่ศัตรูมาหรือคะ? หรือจะเอาไว้ฝั่งตรงข้ามแทน?’
และมันก็เป็นอย่างที่เธอพูด
สถานที่ตั้งลดลงจากสิบเจ็ดเหลือเพียงสี่แห่งในทันที ผมขอให้เวสซาโก้ส่งภูตน้ำไป
พวกเราลอบแอบตามเรือกลับไปยังโกดังของพวกนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ราชินีเฮนริเอตต้าก็รอบคอบน่าดู
เรือไม่ได้ทอดสมอที่เดียว เรือนั้นไปลงจอดที่ป้อมปราการเหนือ และทุกแห่งที่ป้อมปราการฝั่งใต้ แวะพักทุกป้อม
พวกนั้นซ่อนด้วยการนำเสบียงใส่ลังทำให้ยากที่จะบอกได้ว่า ได้อะไรมาดังนั้นจึงมีแค่ป้อมปราการสี่แห่งที่เป็นสถานลำเลียงเสบียงจริง
ผมคิดว่า อาจจะมีโอกาสในการยืนยันตำแหน่งได้จึงเสนอความเห็น
‘ไม่สิส่งภูตไปโจมตีดูล่ะ’
ลอร่าส่ายหัว
‘ทำแบบนั้นไม่ได้ค่ะ จะแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำแบบนั้นแล้วศัตรูจะรู้ทันทีว่าพวกเรากำลังหาแหล่งเสบียงของพวกเขา
พวกนั้นต้องไม่รู้จุดมุ่งหมายของเราจนถึงขั้นสุดท้าย
หืมม นายท่านนี่ช่างไร้ความสามารถในการรบจริงๆนะคะ’
‘……หากพวกเราไม่อาจลงไปตรวจสอบได้ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงกันล่ะ? จะให้เดาเอาเองหรือ?’
‘ลองจิตนาการตามดูนะ นายท่าน’
ลอร่ายิ้ม แต่มันกลับเป็นยิ้มที่แสนชั่วร้ายไม่ต่างจากนางร้าย
‘มีเหตุผลอะไรที่เราต้องไปเดากันเองล่ะ?’
‘หา อะไรนะ?’
‘บริททานี่จะเผยตำแหน่งกองเสบียงให้เรารู้ด้วยตัวเอง’
นี่เธอกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่น่ะ
พอผมถามด้วยความสงสัย ลอร่ากลับตอบกลับมาอย่างเชื่อมั่นว่า ถ้าผมดูต่อไปเรื่อยๆผมจะเข้าใจเอง
และเมื่อเวลาผ่านไป
ในเวลานั้นพวกเราโดนพวกหน่วยของบริททานี่ที่แยกตัวออกมาเข้าคุกคาม
ดินแดนตะวันออกเฉียงของฟรานเคียนั้นส่งเสบียงให้ในชื่อว่า ‘ส่วนค่าคุ้มครอง’ แต่กองศัตรูกลับได้ทำการขโมยเสบียงกองนั้นไป เนื่องจากความไม่ชำนาญพื้นที่เท่าพวกเขา หน่วยนั้นมีแต่พวกอัศวิน ดังนั้นการส่งทหารไปคุ้มครองเสบียงจึงเป็นเรื่องสูญเปล่า
ขีดจำกัดมันอยู่ตรงที่ว่า เราจะอดทนรอด้วยเสบียงที่เอามาได้นานแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นลอร่าก็สั่งให้ทหารฝ่ายเราไปตัดไม้มาจากป่า และเริ่มสร้างแนวป้องกันจากไม้พวกนั้น จนดูเหมือนพวกเราตั้งใจที่จะรบยืดเยื้อ
สุดท้ายแล้ว พี่เบเลธเองก็ทนไม่ไหวแล้วระเบิดออกมาก่อน
‘เฮ้ย , ยัยผู้บัญชาการทหาร’
พี่เบเลธลุกขึ้นมาระหว่างประชุม ทุกคนหันหน้าไปหาเขา เบเลธมองไปที่ลอร่าแล้วพูด
‘เจ้าอาจเป็นที่ชอบใจของฝ่าบาทบาร์บาทอสและเป็นคนรักของดันทาเลี่ยน แต่ข้าก็อยากจะพูดสิ่งที่ข้าคิด เจ้าบ้าหรือเปล่า?’
ลอร่าตอบรับความคิดเห็นนั้นด้วยการมองที่เฉยชา
‘ข้าภูมิใจในความสามารถที่ข้าบ้าได้ตลอดเวลา นายพลเบเลธ’
‘เฮ่ออ นังหนูจากบริททานี่น่ะมันขโมยเสบียงไปจากพวกเราแล้ว
ข้าจะไม่หยุดให้เจ้าเลิกลากยาวจนกลายเป็นสงครามยืดเยื้อหรอก แต่หากเราไม่มีอะไรกินแล้วเราจะสู้กันได้ยังไง?’
เบเลธคำรามออกมา
เขาเป็นบุคคลที่ต่อต้านที่สุดในการให้มนุษย์มาเป็นผู้บัญชาการ หากไม่ได้เป็นเพราะบาร์บาทอส หมอนี่อาจลุกขึ้นต่อต้านไปนานแล้วก็ได้
‘เราควรเพิ่มจำนวนพลรักษาการณ์ หรือต่อให้ไม่ได้ผลเราก็ควรจะบดขยี้อีกฝ่ายก่อนที่เราจะแห้งตายกันก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเจ้ากลับบอกให้พวกเราไปตัดไม้สบายๆ ไม่ว่าจะมองยังไง เจ้าก็เป็นแค่คนขี้ขลาดที่กลัวการรบ’
‘……เฮ่อออ’
บาร์บาทอสถอนใจจากมุมหนึ่งของโต๊ะ แต่เบเลธก็ไม่ยอมถอย
‘ผู้บัญชาการ อธิบายให้พวกเราเสียที
ข้าขอเตือนเจ้า หากคำตอบมันฟังไม่เข้าท่า ข้าจะยกทัพไปบุกโจมตีเอง
หากกลัวนัก ก็เพิ่มทหารรักษาเส้นทางเสบียง’
‘เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ ,นายพลเบเลธ’
ลอร่าประสานนิ้ว
‘เส้นทางเสบียงของฝ่ายเราต้องถูกปล้นต่อไป’
‘……ข้าว่า ข้าพูดไปแล้วว่า เจ้าน่ะมันบ้า ?’
‘ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว ตัวฉันน่ะมันบ้า’
สีหน้าเบเลธกลับบิดเบี้ยว
‘ถ้าอย่างนั้นเจ้ากำลังจะบอกว่า เราควรที่จะรบยืดเยื้อโดยที่เราไม่มีเสบียงพออย่างนั้นรึ?
เฮ้ย ดูเหมือนหนึ่งในพวกเรานี่จะมีคนไม่สมควรพูดเรื่องกลยุทธการทหาร
และข้าก็คิดอยู่เสมอว่า ฝ่ายแกต่างหากที่ควรจะนั่งเงียบๆไปซะ’
‘เรื่องเสบียงย่อมสัมพันธ์กับการรบอยู่แล้ว’
ลอร่ายิ้มสบายๆ
‘ต่อให้ฝ่ายเรามีเสบียงเหลือแค่เพียงหนึ่งสัปดาห์ แต่พวกเราก็ชนะอยู่ดีหากฝ่ายศัตรูมีเสบียงเหลือเพียงหนึ่งวัน
ง่ายๆเราก็แค่มีเสบียงเหลือให้มากกว่าศัตรู’
‘แล้วมันเกี่ยวกับปัญหาตอนนี้ตรงไหน? ไอ้ห่าพวกนั่นมันเอาเสบียงของมันมาทางแม่น้ำ แต่เส้นทางเสบียงทางบกของเราโดนตีแตก!’
เบเลธแผดเสียงด้วยความโกรธ
สีหน้าของลอร่าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ถึงเธอจะได้รับออร่าสังหารจากจอมมารระดับสูง
เธอพูดด้วยเสียงเรียบ
‘กองทหารบริททานี่ตั้งค่ายหลังชนฝา โดยให้พวกเราปิดทาง พูดง่ายๆทางน้ำเป็นทางเดียวที่พวกนั้นจะขนเสบียงได้’
‘……จะพูดเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วทำไม?’
‘เช่นนั้นฉันขอถามท่านกลับบ้าง,นายพลเบเลธ
กองทัพบริททานี่ขโมบเสบียงของพวกเราไปแล้ว’
ริมฝีปากของลอร่ายกขึ้นอย่างช้าๆ
‘พวกเขาจะส่งเสบียงที่ขโมยมาไปยังที่ใดกัน?’
บางคนเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว
ผมหันไปหาคนๆนั้น ซึ่งก็คือ ไพมอน ไพมอนพูดขึ้นขณะที่ยังใช้พัดป้องปาก
‘พวกนั้นจะนำเสบียงกลับไปยังโกดังของพวกเรา พวกเขาจะเพิ่มไปเป็นเสบียงส่วนตัว!’
‘ถูกต้องแล้ว ผู้บัญชาการไพมอน
เสบียงที่ปล้นมาจากหน่วยแยกจะต้องนำไปเก็บที่โกดังของพวกเขา
ดังนั้นแล้วฉันจึงยอมปล่อยให้พวกนั้นปล้นชิงไปเพื่อจะได้ตามตัวพวกเขาได้ภายหลัง’
ลอร่าหันหน้าไปหาเบเลธ
‘ฉันคิดไว้แล้วว่า ป้อมปราการไหนเป็นที่เก็บเสบียง ที่เหลือก็แค่เผาป้อมปราการนั้น
นายพลเบเลธ , ก็อย่างที่ท่านเห็น ว่าฉันน่ะมันบ้า’
‘…….’
‘อันที่จริงตัวฉันนั้นชอบทหารกล้าอยู่แล้ว หากนายพลเบเลธปรารถนาที่จะไปรบในทันที ฉันก็จะมอบโอกาสในการต่อสู้นั้นให้กับท่าน
โปรดไปจัดการกับอกาเรสด้วย คนทรยศอกาเรสผู้นั้น นี่ย่อมต้องเป็นการสู้รบที่น่าสนุกเป็นแน่’
เบเลธถึงกับหน้าซีด
ลอร่ายิ้มร่า
ใบหน้าของเธอนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับเป็นนางฟ้า
แต่ถ้อยคำที่ออกมาจากปากนั้นไม่ต่างจากคำตัดสินประหาร
‘ข้าเชื่อว่า นายจะไม่ปฏิเสธนะ ,ท่านนายพล’
MANGA DISCUSSION