บทที่ 261 – ไฮเดรนเยียสีน้ำเงินของฟาร์นาเซ (6)
เหล่าทูตที่เหลือต่างหมอบกราบลงในทันที
คำขอโทษขอโพยนักไม่ถ้วนไหลออกมาจากปากของพวกเขา
พวกเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย,ยกโทษให้พวกเราด้วย,เขาทำไปเองไม่เกี่ยวกับเรา
…….เสียงโหยหวนอย่างไม่น่าฟังดังขึ้นราวกับเป็นบรรเลงของวงออเคสตร้าที่ไม่สอดประสานกัน
“ข้าจะฆ่าไอ้มนุษย์ตัวที่ส่งเสียงดังลั่นที่สุดก่อน”
ผมไม่คิดว่า การบอกให้พวกเขาสงบจิตสงบใจลงจะได้ผล จึงพูดสิ่งที่ดีกว่านั้นออกไป
เสียงโหยหวนก็เงียบลงทันที ช่างน่าพึงพอใจนัก
พวกนี้มันคงประสบความสำเร็จได้ไม่ยากแล้วล่ะ หากรู้ว่าควรหุบปากตอนไหน
มันมีความจริงบางอย่างที่เจ้าพวกนี้มันไม่เคยรู้เลยนั่นก็คือ แม้จะมีปากก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีสิทธิ์ที่จะพูดเมื่อไหร่ก็ได้
ปากของพวกนั้นมีไว้หุบ ไม่ใช่พูด
พวกทูตเหล่านี้ถือว่าสอบผ่าน หากตระหนักเรื่องพวกนี้ดี
“พวกทูตทั้งหลายใช้การยอมแพ้ครั้งนี้เป็นเหยื่อล่อที่จะลอบโจมตีนักการทหารคนสำคัญของพวกเราน่ะ ,ไพมอน
การลวงหลอกแผ่นฟ้าและพวกเราเช่นนี้มีโทษสถานเดียวคือ ประหาร
ไม่สิ ตอนนี้ข้าชักสงสัยแล้วว่า ผู้คนในไฮเดลเบิร์กน่ะ ยอมจำนนจริงๆหรือเปล่า”
“ดันทาเลี่ยน”
“ฟ้าแลบแปลบปลาบ แต่ตอนนี้ได้เวลาฟ้าคำรนคำรามแล้ว”
ผมใช้นิ้วโป้งวาดผ่านคอตัวเอง จำลองท่าเชือดคอ
“แม้จะไม่ได้รับการเห็นชอบ แต่พวกเราจะประหารทูตพวกนี้ ยึดป้อมปราการ ขณะที่พวกมนุษย์ยังคงสับสนกันอยู่
เรามาฆ่าล้างประชาชนทั้งหมดในไฮเดลเบิร์กแล้วถวายร่างเป็นเครื่องเซ่นองค์เทพีกันเถอะ”
“……มัดพวกทูต แยกกันไว้”
ไพมอนถอนใจแล้วสั่ง
พวกทูตต่างถูกมัดแล้วลากตัวออกไป
สิตริทำเสียงฮึ่มฮั่มขณะที่แอบเตะพวกเหล่าทูตจากข้างหลัง
รังสีฆ่าฟันแผ่ออกมาจากเธอเข้มข้นเสียจนพวกนั้นไม่กล้าพูดร้องขอชีวิต สิตริเป็นคนจำพวกที่เวลาโกรธจะพูดไม่ออก
“ดังนั้นแล้ว, ดันทาเลี่ยน”
ไพมอนนั่งลงที่โต๊ะ
สิตริพาพวกนักโทษออกไป ส่วนผมก็สั่งให้ลอร่าไปพักที่ที่พักส่วนตัวของเธอ
มีเพียงผมกับไพมอนที่เหลืออยู่ตามลำพังที่ศูนย์บัญชาการ
“พวกเราควรตอบสนองกับเรื่องนี้เช่นไร?”
“นี่เป็นคำสั่งลับๆจากผู้นำของฮับบวร์ก ไม่มีอะไรพูดไปมากกว่านี้”
ผมยักไหล่
“เหล่ามนุษย์นั้นยอมจำนนต่อจอมมาร นี่ไม่เหมือนกับการยอมจำนนธรรมดาทั่วไป หากแต่เป็นการยอมจำนนเพื่อให้ผู้คนทั้งหลายมีชีวิตรอด
…….หัวหน้าแห่งฮับบวร์กนั้นรู้ดีว่า นี่หมายความว่าอย่างไร”
ไพม่อนไม่ใช่ว่า อยู่ๆก็อยากจะยึดป้อมนี้โดยไม่มีเหตุผล
ก่อนจะวางแผนยึดจุดยุทธศาสตร์ทางการทหาร ก็มีการวางแผนทางการเมืองล่วงหน้าไว้ที่ไฮเดลเบิร์กไว้ก่อนแล้ว
อย่างแรกเลย นี่ก็เพื่อฟื้นฟูจุดยืนที่ตกต่ำลงของไพมอนในช่วงกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา
แม้ในตอนนี้สิตริจะเป็นผู้นำชั่วคราวของฝ่ายภูเขา แม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ทั้งฝ่ายภูเขาก็ยังคงให้การสนับสนุนไพมอนเป็นหลักอยู่ดี
เธอต้องมีผลงานที่ยอดเยี่ยมพอที่จะดึงอำนาจในการบัญชาการกลับคืนมา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมเธอถึงมุ่งเป้าไปที่ไฮเดลเบิร์ก
เพื่อที่จะยึดป้อมปราการที่รู้กันทั่วว่า เป็นจุดศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญของทวีปโดยไม่ต้องสูญเสียอะไรไปเลยแม้แต่น้อย
นี่แหละเป็นสถานการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการทวงตำแหน่งคืนกลับมาของเธอ
อย่างที่สอง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของกองทัพจอมมารขึ้นมาใหม่
“ผู้คนแห่งสาธารณรัฐนั้นหวาดกลัวกองกำลังจอมมารเป็นอย่างมาก
ผู้นำฮับบวร์กใช้จุดนี่เป็นข้อได้เปรียบเพื่อรวมผู้คนเป็นหนึ่งเดียวกัน”
“เป็นที่แน่นอนว่า หากพวกเราตอบรับการยอมจำนนอย่างสันติ ความเห็นของสาธารณชนย่อมต้องแตกออกเป็นสองฝ่าย
…… แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็จะอ่านเจตนาของพวกเราออกเช่นกัน”
ไพมอนถอนใจออกมาอีกครั้ง
ในช่วงกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ฝ่ายที่ราบได้ทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป นั่นคือ การฆ่าล้างครั้งใหญ่ของพี่เบเลธ
จากที่ผมได้ยินมา เขาสร้างเรือนแพที่ทำจากหัวมนุษย์แล้วล่องมันลงในแม่น้ำ
ไม่เพียงแต่ทำให้มนุษย์ยิ่งหวาดกลัวจอมมารมากยิ่งขึ้น หากแต่ยังทำลายภาพลักษณ์ที่ผมบรรจงสร้างขึ้นมาในภูมิภาคเหนือของฮับบวร์กอีกต่างหาก
แค่หัวสมองของหมอนั่นก็เป็นปัญหาพออยู่แล้ว…….
อลิซาเบธจึงฉวยโอกาสนี้
「กองทัพจอมมารนั้นเป็นกลุ่มของปีศาจที่ชั่วร้ายเลวทราม,สังหารผู้คนไม่เลือกหน้า และยังเป็นพวกไว้ใจไม่ได้」
「สาธารณรัฐของพวกนั้นต้องเผชิญความยากลำบากนานๆประการ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเล่า หากพวกเรายังมารบราแก่งแย่งกันเองแบบนี้อีก? สุดท้ายพวกเราจะกลายเป็นอาหารเป็นเหยื่อให้พวกสัตว์ร้ายนั่น」
เธอใช้โอกาสนั้นเพื่อรักษาฐานอำนาจ
คนที่วิจารณ์การกระทำของสาธารณรัฐต่างโดนกักขังทั้งในข้อหากบฏ ต่อต้าน และพยายามฆ่า
จึงไม่มีอะไรได้ผล ทรงประสิทธิภาพมากไปกว่าการดึงฝ่ายที่สามขึ้นมาเป็นศัตรู
ดังนั้นแล้วไพมอนจึงต้องยอมรับการจำนนโดยสันติ
กองทัพของฝ่ายจอมมารไม่ใช่กลุ่มพวกที่บ้าคลั่งสติแตกที่สนใจแต่การฆ่าล้าง
หากพวกเจ้ายอมจำนนแต่โดยดี พวกเราก็ไม่ฆ่าหรอก
การที่แสดงท่าทีแบบนั้นจะเป็นการสร้างความแตกแยกภายในสาธารณรัฐฮับบวร์ก แต่ทว่า…….
“นั่นก็หมายถึง นางสามารถที่จะป้องกันการที่ประเทศตัวเองจะถูกแบ่งแยก เธอก็พร้อมที่จะสละเมืองๆหนึ่งทิ้ง
นี่ผู้นำของฮับบวร์กคิดอะไรอยู่กันแน่”
ไพมอนคร่ำครวญด้วยความไม่เข้าใจ
“อลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์กสินะ ……? ผู้ปกครองที่ใช้กำลัง อ้อ ไม่สิ ด้วยการยกให้ฝ่ายอื่นเป็นตัวร้าย”
“เป็นอย่างที่นายว่านั่นแหละ”
อลิซาเบธน่ะแอบบงการลับๆให้นายกเทศมนตรีพยายามลอบสังหารพวกเรา
แต่ทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกันน่ะ? นั่นก็เพื่อจงใจยั่วโมโหพวกเรา
การทำแบบนั้นทำให้การยอมจำนนพังพาบไม่มีชิ้นดี
กองกำลังจอมมารย่อมต้องโกรธแค้นเป็นอย่างมากและทำให้เมืองทั้งเมืองลุกเป็นไฟ
ประชากรนั่บหมื่นในไฮเดลเบิร์กทั้งชายและหญิงย่อมต้องลุกขึ้นสู้เพื่อต่อต้านกองทัพจอมมารจนถึงที่สุด
แล้วอลิซาเบธย่อมต้องหลั่งน้ำตาจรเข้ของนางออกมาแล้วพูดประมาณว่า
‘โอ้ ประชาชนแห่งสาธารณรัฐ!พวกเราจะไม่ลืมความแค้นในครั้งนี้!’
พวกมนุษย์ก็จะสนับสนุนผู้นำของฝายตนอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกับสาธารณรัฐก็ย่อมต้องเข้มแข็งขึ้นอีก
ในการสร้างทำให้ผู้อื่นเป็นภัยภายนอก เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้จากอลิซาเบธจริงๆ
“ฮับบวร์กน่ะเป็นดั่งทรราชย์ที่เอาแนวคิดสาธารณรัฐมาห่มหนังอำพรางตน
ข้าปรารถนาจะแบ่งแยกพวกนั้นและทำให้เมืองแต่ละเมืองค่อยๆโดดเดี่ยวแต่…… ดูแล้วท่าจะไม่ง่าย”
“ผู้นำของฝ่ายนั้นไม่ใช่คนธรรมดา หากแต่เป็นผู้ปกครองที่ถือกำเนิดจากฝ่ายมนุษย์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เป็นสุดยอดผู้นำผู้เปี่ยมด้วยความสามารถ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรง่ายหรอก,ไพมอน”
ถ้าเช่นนั้นแล้วผมควรทำอย่างไรดีกับสถานการณ์ตอนนี้?
หรือผมควรที่จะไว้ชีวิตทูตที่เหลือแล้วยอมรับข้อตกลงยอมจำนน
สิ่งที่ไพมอนต้องการคือผลลัพธ์สวยๆ
แต่การกระทำเช่นนั้นมันทำลายความภาคภูมิใจของพวกเราน่ะสิ พวกเราไม่อาจโต้กลับไปได้แม้จะถูกทำร้ายก่อน ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่ารำคาญ
ผมลูบคางตัวเองสักพักหนึ่งก่อนที่จะรู้ตัวเอง ใครบางคนกำลังจับจ้องมองผมอยู่
ไพมอนกำลังมองมาที่ผม
“หลงรักรูปร่างหน้าตาของข้าอีกแล้วเหรอ?”
“อะไรทำให้นายคิดอย่างนั้น? ไม่มีทางแน่นอน ถึงเลดี้ผู้นี้จะหลงรักนายก็คงจะไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตาของนายหรอก ดันทาเลี่ยน”
“…….”
ผมสบถแช่งโลกใบนี้
ไพมอนยิ้มชั่วร้าย
“อืมม ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้นำคนนั้นก็ช่างน่าประทับใจมากที่เห็นเจตนาของข้า แล้วเลือกสังเวยเมืองทั้งเมืองโดยไม่ลังเล แต่นายก็น่าประทับใจเช่นกันที่มองเห็นเจตนาของผู้นำคนนั้นได้”
“โอ้ แหม? คราวนี้เธอพยายามจะยกยอพอปั้นข้าสินะ?”
เอาจริงๆมันก็ทำให้ผมแอบดีใจอยู่เหมือนกัน
ผมชอบการถูกชมเชย
“พอมาคิดดูแล้ว นายเองก็เหมือนมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับผู้นำฮับบวร์กอยู่เหมือนกัน
นายได้เผชิญหน้ากันในช่วงพิธีการพูดสุนทรพจน์ ณ ที่ราบบรูโน่
นายกับเธอเคยพบกันมาก่อนหรือ?”
“ข้าไม่เคยพบกับนางมาก่อนหรอก แต่สิ่งพูดมานั่นก็เป็นจริงอยู่ เราสองต่างมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น”
จะให้ผมเรียกความสัมพันธ์ที่มีว่าอะไรดีล่ะ?
ไม่มีทางที่ใครจะเข้าใจหรอก ต่อให้ผมบอกตรงๆว่า อลิซาเบธน่ะเป็นนางเอกเกมที่ผมชอบมากที่สุด
ทั้งหมดทั้งมวล อลิซาเบธนั้นไม่ใช่บุคคลที่ตั้งใจจะเสียสละตัวเองเป็นผู้ร้าย หรือเป็นภัยภายนอกเสียเอง
เธอเป็นบุคคลที่ปรารถนาความเป็นผู้นำในบัลลังค์ยิ่งกว่าใครๆ
เธอนั้นทั้งรักผู้คนของตัวเองและมีความหวังสูงสุดต่อมนุษยชาติ แต่ก็ไม่ได้แปลว่า เธอนั้นจะมองไม่เห็นด้านต่ำทรามของมนุษย์และสังคม
เธอจึงฉลาดเป็นกรดเลยล่ะ
สิ่งที่จะต้องทำเพื่อลดการสูญเสียและยังประสิทธิผลสูงสุดให้เกิดขึ้นของอลิซาเบธก็ชัดในตัวเองอยู่แล้ว
เธอจึงเลือกเดินเส้นทางที่มีแต่ความสิ้นหวัง
หากเป็นไปได้ ผมเองก็อยากเดินเส้นทางเดียวกันกับอลิซาเบธนั่นแหละ
แต่ถึงอย่างไรก็ดีผมน่ะเป็นจอมมาร หนทางในการประนีประนอมต่อเส้นทางของเธอนั้นมันไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว
เอาล่ะ ดูเหมือนทั้งผมและอลิซาเบธเองต่างก็มีตั๋วเที่ยวเดียวมุ่งหน้าสู่นรก พวกเราค่อยไปเสียใจอีกทีตอนถึงก้นนรกในชาติหน้าทีหลังก็แล้วกัน
แต่ตอนนี้เรามาซัดกันให้สุดแรงกันเถอะ,อลิซาเบธเอ๋ย
“เพื่อเป็นการต่อต้านมาตรการของผู้นำคนนั้น ข้ามีไอเดียดีๆ”
“ข้าคิดแล้วว่านายต้องมี”
ไพมอนมองผมด้วยแววตาเชื่อใจ
“ก่อนอื่นเลย พวกเราจะยอมรับการยอมจำนนของชาวไฮเดลเบิร์ก
จากนั้น เราจะให้พวกนั้นชดใช้กับการที่แสดงการแข็งข้อต่อพวกเราในปีต่อมา
ต้องมีคนรับผิดชอบต่อการกระทำนี้”
“ที่บอกว่าให้อีกฝ่ายรับผิดชอบนายหมายความว่าอย่างไร?”
“พูดง่ายๆสิ่งที่เราจะทำก็คือ ทำให้ฮับบวร์กแตกเป็นเสี่ยงๆ”
ไพมอนนั้นพยายามบรรลุเป้าหมายของเธอด้วยวิธีสันติภาพ
มันเป็นการพยายามปกครองอย่างสันติและชอบธรรม วิธีการแบบนั้นไม่เหมาะกับผมหรอก
ผมยิ้มกว้าง
“เอาตัวนักโทษออกมา”
* * *
การเจรจาล้มเหลวไม่เป็นท่า!
ชาวบ้านในไฮเดลเบิร์กต่างอยู่ไม่สุขพอได้ยินสิ่งที่ทูตออกมาประกาศหลังกลับมาจากการเจรจา
ทั้งที่เมื่อวานเองทุกคนต่างถอนใจด้วยความโล่งอกที่สามารถยอมจำนนโดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อได้
แต่คำพูดที่ออกมาจากปากเหล่าคณะทูตกลับทำให้ทุกคนถึงกับหน้าถอดสี
“ที่บอกว่า นายกเทศมนตรีพยายามจะลอบสังหารหมายความว่ายังไงกัน!?”
“ทำไมพวกทูตไม่ยอมรับผิดชอบอะไรเลยล่ะ?”
ผู้คนที่โกรธเกรี้ยวต่างตะโกนออกมาที่กลางลานกว้าง
ประชาชนพลเมืองมากมายต้องเสียสละอย่างกล้าหาญไปในช่วงปีที่ผ่านมา
พวกนั้นต่างให้การสนับสนุนกองทหาร และไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อต้านแม้เมืองนี้จะโดนปิดล้อมต่อเนื่องนานนับปีจนเสบียงอาหารขาดแคลน
และเมื่อทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆจึงขอยอมจำนน
แต่แล้ว นายกเทศมนตรีที่เป็นดั่งตัวแทนของพวกเขากลับพยายามกระทำการลอบสังหาร
ผู้คนในเมืองต่างทั้งตกใจและโกรธกันมาก
“ใครก็ได้ไปเอาตัวครอบครัวไอ้นั่นมาที”
“หากพวกเราประหารครอบครัวมัน ศัตรูพวกเราน่าจะยอมแสดงความเมตตาบ้าง!”
เหล่าทูตที่ยืนบนเวทีที่จัดเตรียมไว้กลางลานเมืองถึงกับเหงื่อท่วม
“ประชากรทั้งหลาย ครอบครัวของนายกเทศมนตรีน่ะตายไปหมดแล้ว ตายหมดทั้งครอบครัว เมื่อวานนี้นี่เองที่นายกเทศมนตรีน่ะชิงฆ่าครอบครัวตัวเองก่อนออกเดินทางไปพร้อมกับคณะทูต
ทั้งภรรยา ลูกชายลูกสาวและญาติคนอื่นๆที่เกี่ยวข้องต่างก็ถูกฆ่าหมด”
“…….”
พอทุกคนรู้ว่า คนๆนั้นฆ่าครอบครัวตัวเอง ต่างก็หุบปากเงียบ
พูดง่ายๆ เจ้านั่นชิงฆ่าครอบครัวตัวเองก่อนที่จะโดนเอามาใช้ประโยชน์ในกรณีที่ลอบสังหารล้มเหลว
วิธีการชั่วร้ายดังกล่าวทำให้ชาวบ้านต่างพูดไม่ออก เหล่าทูตก็เลยรีบพูดต่อ
“ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดหรอก”
“แกหมายความว่ายังไงกัน?”
“ก็การที่พวกเราเหล่าคณะทูตสามารถกลับมาได้โดยสันตินี่แหละเป็นข้อพิสูจน์
ผู้บัญชาของฝ่ายศัตรูนั้นยังคงปรารถนาที่จะตอบรับการยอมจำนน
พวกนั้นสัญญาด้วยว่า จะให้ชาวไฮเดลเบิร์กอยู่ดีกินดี”
“เหล่าผู้บัญชาการท่านระบุว่า มีเงื่อนไขในการยอมจำนนครั้งนี้
นั่นคือ จะต้องมีผู้รับผิดชอบต่อ การต่อต้านและการลอบสังหารในคราวนี้ด้วย”
ชาวบ้านต่างส่งเสียงเฮดีใจที่รู้ว่า ปลอดภัยแน่หลังจากตึงเครียดมานาน
ใช่แล้วล่ะ ไม่มีทางที่พวกนั้นจะให้อภัยง่ายๆหรอกในเมื่อมีผู้พยายามทำการลอบสังหารอีกฝ่าย
“แล้วเงื่อนไขที่โหดร้ายที่ว่านั่นคืออะไร?”
“หกคน”
“…….”
“ไฮเดลเบิร์กส่งตัวแทนมาหกคน เพื่อรับโทษประหาร”
ม่านแห่งความตรึงเครียดปกคลุมทั่วลานกว้าง
หนึ่งในชาวบ้านยกมือขึ้นถาม
“ข้ามีคำถาม ใครควรเป็นผู้รับผิดชอบต่อเรื่องนี้ล่ะ?
ที่ปรึกษาเหรอ? หรือท่านผู้บัญชาการ?”
“ทางนั้นบอกว่า พวกเขาไม่สนหรอกว่า ใครจะออกมาเป็นตัวแทน
ไม่ได้ระบุตำแหน่งหรืออาชีพ
ว่าง่ายๆก็คือ…….”
ทูตคนที่ประกาศหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ
“พวกเราต้องเลือกกันเองว่า จะให้ใครเป็นผู้รับโทษครั้งนี้”
แล้วทุกคนก็เงียบอีกครั้ง
ฝูงชนที่มารวมตัวกันในลานกว้างต่างเริ่มแตกตื่น เสียงพูดคุยหึ่งหั่งเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เสียงจะดังขึ้นจนไม่ต่างกับย่านตลาดสดในกลางเมือง
“ไม่สิ แล้วพวกเราจะมีอำนาจอะไรในการเลือกว่า จะให้สังเวยใครล่ะ? ก็ในเมื่อนายกเทศมนตรีก็ตายไปแล้ว”
“พวกเราจะรอดได้หากสังเวยคนแค่เพียง 6 คน มันเป็นเงื่อนไขที่เอื้อเฟื้อใจกว้างมากแล้ว…….”
“แล้วใครจะเป็นคนเลือกล่ะ?”
ชาวบ้านต่างถามเป็นเสียงเดียวกัน
“ใครจะเป็นคนที่ไปถูกประหารล่ะ?”
—————————————
ด้วยผลจากการปั้มแต้มบุญด้วยการอัพนิยาย นอกช่วงเวลาปกติ (ของผู้แปล)
ส่งผลให้ ……ออกแล้ว !!!
ได้หม่าม้ามาแบบไม่ยากเย็นมาก (E1)
แต่Light Cone ออกอย่างยากอะ การันตี 70 พอดี
[ใช้ Warp Trackerของเว็บ Star rail station]
MANGA DISCUSSION