การเตรียมเรือรบจำนวนมากเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญก่อนเหนือสิ่งอื่นใด
สาธารณรัฐบัทตาเวีย……
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชาติที่มีกองทัพเรือกล้าแข็งที่สุดทั้งยังอยู่ภายใต้การควบคุมของไพมอน
พวกเขานั้นมีเรือแกลลี่ขนาดใหญ่มากกว่า 60 ลำ ที่พร้อมจะถล่มกองทัพศัตรู หากจะเรียกว่า เป็นประเทศที่แสนยานุภาพทางทะเลประดุจดั่งปีศาจร้ายก็ไม่ผิดไปนักฃ
ไพมอนนั้นมาพร้อมวิธีการที่เรียบง่าย
“พวกเราจะจัดฉากว่า กองทัพฝ่ายจอมมารขโมยเรือไป”
บ่อยครั้งที่ในยามสงบมักจะมีการแลกเปลี่ยนโอนถ่ายเรือรบขนาดใหญ่
พวกมอนสเตอร์ใต้การบัญชาการของฝ่ายภูเขานั้นสามารถลอบโจมตีเรือรบที่กำลังจอดอยู่ริมชายฝั่ง เพียงใช้ข้ารับใช้แค่ 7 ตนก็สามารถปล้นชิงเรือมาได้แล้ว
พ่อค้าธรรมดาพวกนั้นย่อมต้องตกเป็นอาหารค่ำของฝูงมอนสเตอร์
ผมได้แต่ขำกับเรื่องพวกนั้น
“แต่เดิมพวกนั้นมันก็เป็นเรือของบัทตาเวียอยู่แล้วมิใช่หรือ? ถ้ามองภาพรวมแล้วล่ะก็ เธอก็แค่ขโมยข้าวของในกระเป๋าตัวเองก็แค่นั้น”
“แหม แหม ข้าไม่อาจถือได้ว่า สาธารณรัฐเป็นดั่งสมบัติส่วนตัวได้หรอกนะ
การที่ผูกขาดอำนาจของชาติไว้เช่นนั้นเป็นหนทางนำไปสู่การเป็นทรราชย์โดยแท้”
ไพมอนยิ้มออกมา
แล้วหนทางทรราชย์นั้นก็นำไปสู่การเป็นจอมเผด็จการ
“ข้าเพียงแต่ยืมสิ่งที่เคยเป็นของประชาชนมาใช้งานเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง”
“ดังนั้นแล้วเธอก็เลยต้องฆ่าล้างพ่อค้าทั้งหมดที่อยู่บนเรือ เพียงเพื่อจะยืมเรือมาอย่างนั้นสิ…….”
“เจ้าพวกนั้นทั้งหมดต่างมาจากบริษัทที่พยายามสร้างความวุ่นวายให้กับตลาดกลางด้วยการพยายามทำการผูกขาด
ข้าเองก็อยากกำจัดพวกนั้นให้สิ้นซากเมื่อสบโอกาสอยู่แล้ว”
ไพมอนแสดงเจตนาร้ายออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“พวกนั้นน่ะงับเหยื่อทันทีที่รู้ข่าวว่า รัฐบาลกลางยินดีให้พวกเขายืมเรือไปในราคาไม่แพงนัก
ดูเหมือนพวกเขาวางแผนจะใช้เรือพวกนั้นเพื่อทำธุรกิจผูกขาดตามเมืองเล็กเมืองน้อย
……ฟุฟุ มันเป็นเรื่องปรกติมิใช่หรือที่ต้องเก็บกวาดขยะน่ะ
หรือข้าพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…….”
ชั่วขณะนั้นเองที่ทำให้ผมนึกออกว่า ถึงอย่างไรเสีย ไพมอนก็เป็นจอมมารตนหนึ่งอยู่ดี
ถึงแม้เป็นทั้งนักอุดมคติ และสาธารณรัฐนิยมตัวแม่
แต่ไพมอนก็สังหารคนได้โดยไร้ซึ่งความรู้สึกไม่สบายใจ
เธอนั้นจับมนุษย์นับร้อยให้จมลงก้นแม่น้ำ เพียงเพราะต้องการที่จะ ‘กำจัดขยะ’ให้สิ้นซาก
สาธารณรัฐประเทศนั้นไม่ล่มสลายได้ก็เพราะมีตัวตนแบบนี้คอยชี้นำทุกอย่างอยู่เบื้องหลังนั่นแหละ
ดินแดนที่เล็กเท่าเม็ดถั่ว แต่กลับโอ่อวดว่ามีกำลังทหารแข็งแกร่งเทียบเท่าชาติใดๆในโลก
ผมไม่รู้จำนวนที่แน่ชัดนัก แต่จำนวนที่ไพมอน ‘ทำความสะอาด’ ไป ก็คงไม่ต่ำกว่าพันนั่นแหละ
ผมค่อนข้างจะแน่ใจเลยล่ะ ว่ามันเป็นชะตากรรมที่พวกเขาต้องถูกฆ่าโดยรู้สึกว่า ไม่ยุติธรรมเท่าไหร่นัก…….
แต่ก็นั่นแหละนะ, มันไม่ใช่ปัญหาของผมสักหน่อย
เรือหลายลำผูกติดกันไว้ด้วยโซ่ ทั้งยังเรียงหน้ากระดาน
หลังจากสร้างตอม่อสะพานทั้งสองริมฝั่งแม่น้ำเสร็จ สะพานที่ทำจากเรือก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
คราวนี้ไฮเดลเบิร์กก็จะโดนปิดล้อมในขณะที่เหล่าทหารที่ประจำการอยู่ในป้อมจะต้องงุนงงเป็นแน่
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่ ทหารประจำป้อมพวกนั้นย่อมจะต้องพยายามสั่งการยกทัพออกมาพยายามทำลายสะพานแห่งนี้
การปิดเส้นทางแม่น้ำยังผลให้ตัดเส้นทางการส่งเสบียง และการที่เสบียงโดนตัดขาดขณะโดนปิดล้อมนั่นก็หมายถึง ความตายสถานเดียว
เราจึงคาดเดาไว้แล้วว่า ฝ่ายศัตรูต้องจู่โจมพวกเราแน่
* * *
“กองทหารของศัตรูย่อมต้องรู้ดีอยู่แล้วว่า การต่อสู้กับกองทัพจอมมารในยามค่ำนั้นอันตรายเพียงใด”
ลอร่าลุกขึ้นพูดต่อหน้าจอมมารทั้งหลายเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาสูงสุด
เมื่อเปิดเผยแล้วว่า ลอร่าเป็นคนรักของบาร์บาทอส ทั้งไพมอนและสิตริต่างปฏิบัติกับเธอด้วยความเคารพ
“พวกเขาย่อมต้องใช้กลุ่มอัศวินในฐานะกองกำลังหลัก และยังใช้ทหารแนวหน้าเป็นหน่วยย่อย อย่างไม่ต้องสงสัย
พวกเขาจะพยายามมุ่งเข้าตีจุดๆเดียว ด้วยหน่วยที่ทรงพลังที่สุดที่พวกนั้นจัดตั้ง
นั่นคือ แผนของพวกเขา”
“นั่นออกจะเป็นปัญหาเหมือนกัน…….”
ไพมอนกางพัดออกอย่างช้าๆ
“กองทัพอัศวินเป็นกองกำลังที่ทรงพลังจนยากเกินกว่าจะหยั่งวัดได้ ต่อให้พวกเราไม่แพ้ในศึกนี้ แต่เราก็ย่อมต้องเสียหายอย่างหนัก”
“ถูกค่ะ ดังนั้นแล้ว จึงต้องใช้วิธีการกำจัดเหล่าอัศวินโดยไม่ได้รับการสูญเสียใดๆ”
“โอ้?”
สิตริถึงกับกอดอกและมองลอร่าด้วยความสนอกสนใจ
“แล้วทำได้ยังไงกันล่ะ?
ถึงข้าจะไม่ใช่จอมมารขี้กลัว แต่ข้าก็ยังเกลียดพวกอัศวินเลย
มันแทบเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำที่จะกำจัดพวกอัศวินโดยไม่เสียอะไร เว้นก็แต่เจ้าเป็นอกาเรสน่ะนะ
ขนาดเป็นบาร์บาทอสยังยากเลย”
“อาจเป็นการแสดงความอวดดี แต่”
ลอร่าพูดด้วยความมั่นใจ
“หากฝ่ายเรารู้แน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะโจมตี ณ จุดไหน
จะพูดว่า เราชนะศึกนี้ไปแล้วครึ่งทางก็ยังได้”
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทหารของดันทาเลี่ยน จงบอกแผนของเจ้ามา”
“รับทราบค่ะ”
ลอร่าชี้ไปยังแผนที่
“พวกเราจะใช้นักเวทย์ทั้งหมดที่มีเปลี่ยนพื้นที่ใกล้ริมแม่น้ำเน็คทาร์กลายเป็นบึงเลน พวกอัศวินที่เตรียมจะลอบจู่โจมกลางคืนเพื่อไม่ให้ทันได้ตั้งตัว แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าม้าศึกของพวกนั้นจะเก่งกาจเพียงใด มันก็เปล่าประโยชน์หากขาม้าติดหนึบอยู่ในโคลน”
“…….”
“สมรภูมิจะเกิดขึ้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำ ดังนั้นนักเวทย์สมควรใช้เวทย์น้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ลอร่ายิ้มสดใส
“แม่น้ำเน็คทาร์จะกลายเป็นบั้นปลายสุดท้ายของเหล่าอัศวิน”
การที่ทุกอย่างเป็นไปตามการคาดการณ์ของลอร่าออกจะเป็นอะไรที่น่ากลัวมากเลยทีเดียว
พวกอัศวินพวกนั้นที่อยู่ในไฮเดลเบิร์กมุ่งเป้าไปที่สะพานตอนกลางคืน
พวกเราเจอกับอัศวิน 600 นายกำลังเดินทัพออกมา ซึ่งนั่นก็คือ อัศวินถึง ⅔ ของจำนวนทั้งหมดที่อยู่ในป้อมปราการออกมาแล้ว
กองกำลังเสริมน่าจะมาจากเมืองรอบข้าง
พอสนธิกำลังกัน อัศวินบนหลังม้าก็มีราวๆ 1,500 นาย ที่หวังจะลอบโจมตียามค่ำคืน ถึงแม้จะเป็นอัศวินขี่ม้าก็เถอะแต่ทหารโดยมากก็มักจะเป็นอัศวินฝึกหัดหรือไม่ก็เป็นอัศวินจบใหม่จากอคาเดมี่
พวกนั้นตั้งใจที่จะรุกฉับพลันแล้วถอนตัวทันทีหลังวางเพลิงสะพานแล้ว
“พุ่งเข้าไป! แก่ความรุ่งโรจน์ของท่านผู้นำ!”
“เพื่อความรุ่งโรจน์ของสาธารณรัฐ! เพื่อความรุ่งโรจน์ของท่านผู้นำ!”
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทั้งสนามรบกลับเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นบึงเลนตามที่ลอร่าแนะนำไว้ก่อน
พลทัพม้าต่างแตกตื่นยามที่พบว่า ม้าศึกของตัวเองวิ่งช้าลงท่ามกลางปลักโคลน แต่ก็ยังคงมีผู้กล้าหาญที่ยังมุ่งตะลุยบุกมาจนถึงตัวสะพาน
และแล้วมันก็เป็นข้อพิสูจน์ชัดเจนอย่างหนึ่งว่า ความกล้าหาญเช่นนั้นมิอาจพลิกฟื้นสถานการณ์ของสงครามได้
“เล็งไปที่ม้า”
ลอร่าสั่งการอย่างใจเย็นจากศูนย์บัญชาการที่สร้างขึ้นบนตัวสะพาน
กองทัพของพวกเราระดมยิงฝนธนูและหอกใส่ศัตรูที่มาถึงเขตโคลน
หอกที่ขว้างออกไปด้วยแรงออร์คนั้นมีแรงมากพอที่จะเสียบเจ้าม้าให้กลายเป็นเนื้อเคบับ
ทั้งตอไม้หนาม,รั้ว และบึงโคลน แม้พวกอัศวินพยายามสุดกำลังที่จะบุกเข้ามา แต่ม้าศึกก็ล้มลงทีละตัว ทีละตัว ท่ามกลางธนูและหอกที่ระดมเข้าใส่
แล้วตอนนี้ยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ? ก็มีแต่ต้องลงจากหลังม้าแล้วพุ่งมาด้วยขาตัวเองเท่านั้นแหละ
อัศวินทั้งหลายจึงต้องแหวกว่ายท่ามกลางบึงโคลนขณะที่สวมเกราะอันหนักอึ้ง
สิตริถึงกับระเบิดหัวเราะออกมาขณะที่เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า
“นี่มันผลงานชิ้นเอกเลยนี่! ดันทาเลี่ยน, ดูเจ้าพวกนั้นสิ! กระดึ้บกันอย่างกับหนอนเลยแน่ะ!”
อืมมม สิตรินี่ก็ให้ความรู้สึกเป็นจอมมารแผ่ออกมาไม่ต่างกัน ดูได้จากการที่เธอหัวเราะร่าขณะที่เห็นผู้คนกำลังโดนฆ่าล้าง
อย่างที่คิดไว้จริงๆ ผมนี่แหละ เป็นสามัญชนคนปกติที่สุดในกองทัพจอมมารแล้วล่ะ
(TTL : เหรออออออออออ …)
พวกอัศวินที่มีความสามารถจริงๆกลับไม่กังวลเรื่องบึงโคลน ทั้งยังใช้ออร่ากระโจนใส่เหมือนตั้กแตน ปัญหาจริงๆก็คือ คนที่ทำแบบนั้นได้เป็นคนส่วนน้อยน่ะสิ
อัศวินส่วนน้อยที่พุ่งเข้ามาใส่โดยไม่รักษารูปขบวนนั้นไม่ใช่อะไรที่น่ากลัวเลย พวกนั้นโดนพวกมอนสเตอร์ในกองทัพสิตริฆ่าทิ้งอยู่ดี
ถึงจะเอานักดาบเก่งๆโถมเข้ามาพร้อมกันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ในคืนนั้น เหล่าอัศวินบุกเข้ามาถึง 16 ครั้ง
แม้อัศวินฮับบวร์กจะไม่น่าประทับใจเหมือนเหล่าอัศวินจากบริททานี่แต่ก็ถือว่า น่ายกย่องชมเชยเหมือนกัน
สิ่งที่ผิดกันก็คือ เจ้าพวกนี้น่ะ ไม่มีกลยุทธในการบุกเอาเสียเลย
สุดท้ายจึงต้องค่อยๆล้มตายลงท่ามกลางฝนห่ากระสุนธนูหอกของพวกเรา
“อื้ม มีหนีไปราว 400 คนนะ เราควรจะตามไปไล่บี้ดีไหม?”
สิตริเอียงคอถาม ทั่วทั้งร่างเธอปกคลุมด้วยเลือดศัตรู
“ดีค่ะ ตอนนี้พวกนั้นหนีได้ช้าเพราะเกราะที่หนักอึ้ง”
“เห นี่เจ้ากำลังบอกให้พวกเราดับลมหายใจพวกนั้นรึ?
ฮี่ฮี่ ถึงแม้เจ้าจะเป็นมนุษย์ก็เถอะ แต่ข้าชักชอบเจ้าขึ้นมาแล้วล่ะสิ
ข้าชักเข้าใจแล้วว่าทำไมดันทาเลี่ยนกับบาร์บาทอสถึงได้เอ็นดูเจ้านัก”
ิสิตริตบหลังลอร่า
แม้จะเป็นการหยอกล้อกันเล่นก็ตามแต่ด้วยพละกำลังของสิตรินั้นเป็นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ลอร่าถึงกับครางออกมาสั้นๆครั้งหนึ่ง และทรุดลงหน้าแทบจะแนบกับพื้น
สิตริฉีกยิ้มออกมา
“ต่อจากนี้จะเรียกข้าว่าพี่สาวก็ได้นะ”
“ขะ-ขอโทษด้วยค่ะ……ท่านสิตริ , แต่”
“โธ่ แหมม เรียกข้าว่า พี่สาวสิ!”
ดูเหมือนลอร่าหมดแรงจะต้านจึงยอมพูดออกมา
“……ค่ะ, พี่สาว”
“ดี, ดีแล้ว ฮี่ฮี่ ”
สิตริร้องออกมาอย่างเริงร่าก่อนจะปีนขึ้นหลังหมาป่า
“ตอนนี้ข้ากลายเป็นพี่สาวของคนรักบาร์บาทอสแล้ว!
วู้ว เย้ห์! พี่สาวของคนรักบาร์บาทอส!”
เธอควบทะยานไปพร้อมกับหน่วยหมาป่าของเธอ และจางหายไปในความมืด
“…….”
“…….”
สถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนใจระหว่างตัวผม ไพมอน และลอร่า ที่อยู่ในค่ายบัญชาการ
พอผ่านไปสักพักไพมอนจึงพูดขึ้นมา
“อืมม, คุณฟาร์นาเซ่? อันที่จริงสิตริเองก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายหรืออะไรหรอก
เธอเพียงแค่อยากที่จะเป็นพี่น้องกับคนรักของบาร์บาทอสน่ะ
เด็กคนนั้นรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณบาร์บาทอส”
ลอร่ายิ้มด้วยความไม่แน่ใจนัก
“หญิงสาวผู้นี้ไม่เคยสงสัยความจริงใจของท่านสิตริค่ะ แต่ฉันกลับได้แต่ประหลาดใจที่ได้มาเป็นหนึ่งในคนรักของจอมมาร แล้วยังเป็นน้องสาวของจอมมารอีกตน…….”
ลอร่ามองผมด้วยแววตาสิ้นหวัง
ผมเหรอ? อ้าว ผมต้องทำอะไรสักอย่างเหรอ?
“เจ้าอาจเป็นมนุษย์คนแรกเลยที่ได้รับโอกาสแบบนี้? สุดยอดไปเลย เจ้าควรจะภูมิใจเลยล่ะ ลอร่า”
“……เฮ่ออออ”
ลอร่าถอนใจออกมาด้วยเหตุผลบางประการ
แม่นี่บางทีก็เข้าใจยากเหมือนกัน
ผู้หญิงเนี่ยเป็นแบบนี้กันหมดเลยรึไงกันนะ?
โลกนี้มันช่างลี้ลับเสียจริงๆ
(TTL : น้องอยากให้พรี่ดันตั้งน้องเป็นเมียหลวง แต่ทำไม่ได้เพราะบาร์บาทอสค้ำอยู่ )
* * *
การรบครั้งนั้นจบลงตรงที่ความพ่ายแพ้ยับเยินของฮับบวร์ก
อัศวินทั้งหมด 1,500 นาย มีรอดกลับไป แค่เพียง 200 นาย ที่เหลือโดนฆ่าเกลี้ยง ลอร่าได้พิสูจน์ความสามารถของตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว
กองกำลังกองไฮเดลเบิร์กใช้อัศวินไปเกือบทั้งหมดในศึกนี้
อัศวินที่เหลือก็คงต้องวุ่นวายกับการป้องกันป้อมปราการต่อเพราะไม่อาจกระเทือนการโอบล้อมของฝ่ายเราได้เลย
สิ่งที่พวกเขาหวังพึ่งได้ก็มีแต่กองกำลังเสริมที่ส่งมาจากเมืองหลวง
แต่……โชคไม่ดีเลยนะ สาธารณรัฐฮับบวร์กใหม่นั้นขาดความสามารถในการสู้รบจริงๆจังๆ
ฝ่ายภูเขาไม่ใช่กลุ่มเดียวที่เป็นภัยคุกคามต่อ ชาติของท่านผู้นำอลิซาเบธ ทั้งฝ่ายที่ราบของบาร์บาทอส ฝ่ายเป็นกลางของบาร์มาส และกามิกินเองก็ด้วย
พรมแดนของสาธารณรัฐฮับบวร์กนั้นติดอยู่กับทั้งสามฝ่าย พวกเขาจึงห้อมล้อมไปด้วยศัตรู
เหตุก็เป็นเช่นนี้เพราะประเทศที่อลิซาเบธต้องการจะสร้างขึ้นมานั้น ต้องการที่จะลดงบประมาณในการป้องกันป้อมปราการให้มากที่สุด
ดังนั้นแล้วเธอจึงมีกำลังพลไม่เหลือพอจะทำอย่างอื่นนอกจากป้องกันป้อม
“ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ศัตรูจะอยู่เฉยๆ”
ลอร่าประกาศเช่นนั้นหลังได้รับชัยชนะในศึกดังกล่าว
“ความสามารถทางการทหารของสาธารณรัฐฮับบวร์กถือว่า ยอดเยี่ยม
ตัวฉันแน่ใจว่า พวกเขาเตรียมแผนการที่จะคุ้มกันเมืองได้โดยที่ไม่ต้องใช้เงินทุนสงครามของตน”
“หืมม? แบบนั้นมันเป็นไปได้ด้วยเหรอ?”
สิตริถามขึ้นมาขณะกินเค้ก
เอาจริงๆก็พอจะรู้แหละว่า สิตรินั้นชอบเค้กมากๆ แต่ผมไม่รู้เลยว่า เธอไปเอามันมาจากไหน สิตริมักจะกินเค้กหรือไม่ก็บิสกิตอยู่เสมอขณะประชุมหรือไม่ก็ขณะอยู่ในสนามรบ
“ทำได้ค่ะ หากอีกฝ่ายเป็นนักวางแผน พวกนั้นน่าจะรู้ดีว่า การที่จะฝ่าวงล้อมออกไปได้ก็ต่อเมื่อทำลายสะพานแล้วเท่านั้น
พวกนั้นจะไม่พยายามใช้อัศวินหรือกองกำลังทหารที่เหลือทำลาย ตราบใดที่ยังสามารถสะพานได้ค่ะ”
“อืมมม……ข้าไม่เข้าใจเลย”
สิตริส่ายหัว
บรรยากาศกลับสบายๆเป็นกันเอง สิตรินั้นมีความสามารถในการที่ทำให้ผู้คนรอบข้างนั้นรู้สึกจิตใจนุ่มฟู
“หากตัวฉันเป็นนักวางแผนของฝ่ายศัตรู ฉันจะเตรียมกองเรือขนาดใหญ่
แล้วยัดฟางเคลือบน้ำมันจำนวนมาก จากนั้นก็จะใช้เรือพวกนั้นพุ่งเข้าปะทะกับสะพานแล้วเผาสะพานไปพร้อมๆกับเรือพวกนั้น
ซึ่งเป็นการยากที่พวกเราจะมีกองกำลังเพียงพอจะรับมือกับทางน้ำ…….”
ลอร่ายิ้มสบายๆ
“หากพวกเราไม่ได้คาดการณ์เรื่องนั้นไว้ก่อนแล้วนะคะ”
คำส่งท้ายจากผู้เขียน
ไฮเดรนเยียสีน้ำเงินเป็นสัญลักษร์ของตระกูลฟาร์นาเซ่
ในอดีต ตระกูลฟาร์นาเซนั้นเคยก่อสงครามกลางเมืองในซาร์ดิเสีย จากนั้นก็แพ้พ่ายและตระกูลล่มสลาย ลอร่าโดนขายไปเป็นทาสด้วยเหตุการณ์ดังกล่าว
ผมไม่แน่ใจนักว่า คนอื่นจะรู้เรื่องนี้กันไหม แต่ทุกการรบที่มีในดันเจี้ยนดีเฟ้นส์นั้นเป็นการคารวะสงครามที่เคยเกิดขึ้นจริงๆในประวัติศาสตร์
มีอยู่สอง ไม่สิ สาม สนามรบที่ปรากฏในบทนี้
MANGA DISCUSSION