* * *
ฟาเบียนขึ้นเป็นหัวหน้าปาร์ตี้ในตอนที่สมาชิกในปาร์ตี้ของเราเพิ่มขึ้นจนกลายเป็น 20 คน การยึดดันเจี้ยนนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น
ไม่รู้สึกว่ามันน่าอายบ้างหรือ ที่มาพูดว่า พวกเราจะยึดดันเจี้ยน
ก็เจ้าอุปสรรคใหญ่ที่เผชิญหน้ากันน่ะ มันเป็นแค่ก็อบลิน 3-4 ตัวเท่านั้น พวกเขาก็ทุ่มกำลังเอาชนะได้ด้วยกำลังที่เหนือกว่าเป็นอย่างมาก
นักผจญภัยพวกนั้นก็คงลืมตอนที่ตัวเองแตกตื่นตอนที่ไปยืนอยู่ตรงทางแยก ตอนนี้ก็เลยมาเม้ามอยกันว่า ตอนนั้นเอาแต่กลัวได้ยังไงทั้งที่เป็นดันเจี้ยนระดับต่ำแท้ๆ
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ได้แต่บอกว่า
‘ทั้งหมดนั่นน่ะ มันก็อบลินเด็ก ชิ…….’
มนุษย์น่ะระบุอายุขัยของพวกมอนสเตอร์ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันยากที่จะระบุขนาดมอนสเตอร์ตัวที่โตสมบูรณ์แล้วตั้งแต่ตอนที่มันยังเล็กอยู่
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เสียงร้องของพวกมันก็ต่างออกไป
ในฐานะจอมมาร แค่เห็นหน้าผมก็บอกได้แล้วว่า เด็กหรือแก่
‘เจ้าพวกนี้คงเป็นมอนสเตอร์ที่ไม่ทันได้ฟังคำเตือนให้อพยพสินะ ถึงได้ไม่หนีไปในเวลาแบบนี้’
ช่างโชคร้ายเหลือเกิน
มีมอนสเตอร์พักอาศัยอยู่หลังกำแพงเขาวงกต ก็อบลินทุกตัวที่อาศัยอยู่รอบปราสาทจอมมารนั้นต่างย้ายมาอยู่ที่นี่ทั้งนั้น
ปกติพวกมันจะใช้ชีวิตกันอยู่ในที่ว่างช่วงปลายสุดของอุโมง แต่พวกมันก็ต้องออกมาทางช่องลับเมื่อใดก็ตามที่มีนักผจญภัยบุกรุกเฉกเช่นสถานการณ์อย่างตอนนี้
ผมได้อนุญาตให้พวกมอนสเตอร์อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมานาฟรีโดยไม่เสียอะไร แต่ถึงอย่างนั้นในพื้นที่พักอาศัยก็มีจุดที่ระบุไว้ว่ามอนสเตอร์จะต้องออกมาปกป้องจุดนั้นจากเหล่านักผจญภัย พวกมันต้องปกป้องเมื่อใดก็ตามที่ดันเจี้ยนตกอยู่ในอันตราย
หากจะเทียบกับประเทศชาติของมนุษย์ ก็คงเป็นเหมือนทหารในท้องที่นั่นแหละ…….หรือผมควรจะเรียกพวกนี้ว่า มอนสเตอร์ที่เปลี่ยนเป็นทหารหน่วยพิทักษ์ฟาร์มดีล่ะ?
มอนสเตอร์ที่เป็นชาวบ้านก็จะปกป้องตามจุดต่างๆที่ระบุไว้ขณะที่หน่วยมอนสเตอร์ระดับสูงนั้นจะมีลอร่าให้การบัญชาการและสนับสนุน
ในฐานะจอมมาร ผมได้รับทหารที่คอยป้องกันด้วยการให้ที่พักมอนสเตอร์มาอยู่ด้วย ผมแทบไม่ได้เสียอะไรด้วยซ้ำ
ผมเคยบอกไปแล้วกับพวกมอนสเตอร์เด็กๆว่าไม่ต้องสู้ก็ได้ แต่……เจ้าพวกนั้นก็ก่อปัญหาซะเรื่อย พวกก็อบลินเด็กพวกนั้นคงไม่ได้อพยพหนีไปเพราะยุ่งวุ่นกับการเล่นกันอยู่ในอุโมง ผลลัพธ์ก็คือ กลายเป็นเหยื่อของพวกนักผจญภัย
“แทบไม่ต้องห่วงแล้วว่าจะเกินมือพวกเรา”
ฟาเบียนแสดงความเห็นออกมาอย่างสบายๆ
“ข้าเป็นห่วงเรื่องอุโมงจะยิ่งแคบไปเรื่อยๆ และถึงมันจะไม่แคบแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีกับดัก”
“กับดักแบบไหนที่เห็นว่า เป็นอันตรายกันล่ะ?”
“หืม? ตัวอย่างก็เช่น”
ฟาเบียนคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับมา
“มันจะเลวร้ายเลยล่ะ ถ้ามีอะไรแบบรังแมงมุมอยู่ด้วย มันมีปราสาทจอมมารที่เป็นถ้ำแล้วไม่มีอะไรเลยนอกจากแมงมุมกับค้างคาว
พวกนายเคยเห็นแมงมุมที่ตัวใหญ่เท่าควายน้ำมาก่อนไหมล่ะ?
พวกมันไต่ข้ามกำแพงมาโจมตีพวกนายแบบไม่เลิกราเลยล่ะ สู้ตัวเดียวข้าก็แทบบ้าแล้ว”
“อ้อ เข้าใจแล้ว รังแมงมุมอย่างนี้นี่เองสินะ?”
ผมเที่ยวไปถามพวกนักผจญภัยประมาณว่า ‘อะไรคือสิ่งที่นายไม่อยากเจอที่สุดในดันเจี้ยน?’ และ ‘คิดว่าอะไรเป็นอันตรายที่สุด?’
มันอาจดูเหมือนการชวนพูดชวนคุยเล่น แต่จริงๆผมกำลังเก็บข้อมูล
ในเกมนั้น มอนสเตอร์จำพวกแมงมุมไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าพวกมอนสเตอร์ม็อบกากๆ ที่ผมคิดว่าพวกมันไม่น่าจะมีความสามารถอะไร นั้นก็เพราะในเกมแค่ฟันดาบเดียวพวกมันก็ตายแล้วแต่ดูเหมือนสำหรับนักผจญภัยจะไม่ใช่แบบนั้น
ผมไม่มีทางจะรู้เรื่องพวกนี้ได้ หากไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มนักผจญภัยแล้วถามพวกเขา
พวกนักผจญภัยพยายามโชว์ออฟว่ารู้เยอะ ผ่านคำตอบที่ผมถาม
“ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่า สิ่งที่เรียกว่ากับดักทางแยกอีกแล้วล่ะ”
มีหลายคนเหมือนกันที่กลัวกับดักมากกว่ามอนสเตอร์
“แต่ในเมื่อที่นี่มีแต่ก็อบลิน มันก็ง่ายอย่างกับปอกกล้วย!”
มีคนที่พูดว่าการพิชิตดันเจี้ยนแห่งนี้มันง่ายเพราะมอนสเตอร์ที่อยู่ในนี้มันตายตัว
“พวกเรามองเห็นได้ชัด ยังไงก็ต้องขอบคุณแสงสว่างจากหินมานานี่แหละ”
คนอื่นๆต่างพูดถึงสิ่งที่ไม่เคยมีระบุอยู่ในเกม
“เข้าใจแล้ว เจ้านี่มีประโยชน์มากเลยสินะ”
ผมตอบตามน้ำไป
พูดง่ายๆคือ ผมกำลังตั้งคำถามกับพวก เบต้าเทสเตอร์ (ผู้เล่นทดสอบระบบ)
เบต้าเทสเตอร์ที่ผมให้ความสนใจอยู่นั้นชี้จุดบอดในดันเจี้ยนของผมได้อย่างยอดเยี่ยมเลย
ถึงนักผจญภัยอาจเป็นอาชญากรรม หรือพวกชั่ว แต่พวกเขาก็มีศักดิศรี
ยิ่งพวกชำนาญหน้าเก่ายิ่งมีศักดิศรีเยอะ หากให้โอกาสพวกเขาพูดโม้โอ้อวดแล้ว พวกเขาก็พร้อมจะรับโอกาสนั้นแต่โดยดี
แหม ต้องขอบคุณมากจริงๆเลยล่ะ ที่ทำให้ปราสาทจอมมารดันทาเลี่ยนพัฒนาขึ้นในหลายๆอย่าง
อืมฮืมมม ขอบคุณมากจริงๆ จุดบอดที่พวกนายรายงานมาเนี่ยจะถูกแก้ไขในวันเปิดตัวนะ รอฟังข่าวจากออฟฟิเชี่ยลได้เลยล่ะ
ถ้านายมีชีวิตอยู่ต่อได้ถึงตอนนั้น น่ะนะ
“เราจะไปถึงห้องจอมมารกันเร็วๆนี้แหละ”
ฟาเบียนพูดขึ้น เกือบ 2 ชั่วโมงแล้วนับแต่ที่พวกเราเข้ามาในดันเจี้ยน
นั่นเป็นการรายงานจากทีมสำรวจที่เข้ามาแล้วเมื่อวาน และเมื่อวานซืนที่บอกว่า จะใช้เวลาประมาณนั้นในการไปถึงห้องจอมมาร
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาน่ะ ก็ทำพลาดไปอย่าง นักสำรวจน่ะ เข้ามาสำรวจตอนที่ก็อบลินแอบอยู่หลังกำแพง
เอาล่ะ แล้วใครจะไปคิดล่ะว่า มีมอนสเตอร์ซ่อนอยู่หลังกำแพงกันล่ะ? หน่วยสำรวจก็เลยรายงานกลับไปหานักผจญภัยว่า นี่มันเป็น “ตัวอย่าง ดันเจี้ยนระดับต่ำอย่างสมบูรณ์” เลย
ข้อมูลที่ผิดพลาดนำมาซึ่งการล่มสลายของหลายๆปาร์ตี้
นักผจญภัยตระหนักได้ถึงชั่วขณะนั้นก็ตอนที่เข้ามาถึงอุโมงห้องสุดท้ายแล้ว
หน้าประตูทางเข้าของห้องจอมมาร นักผจญภัยเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นมาก่อน อยู่ตรงหน้าพวกเขา
“……เด็กผู้หญิง?”
มีเด็กผู้หญิงผมสีบลอนด์ยืนอยู่ตรงนั้น ลอร่านั่นเอง
นักผจญภัยถึงกับขมวดคิ้วเพราะไม่อาจเข้าใจได้ว่า ทำไมถึงมีเด็กสาวอยู่ระหว่างทางเดินของดันเจี้ยน
แต่สิ่งที่เป็นปริศนาลี้ลับยิ่งกว่าก็คือ วัตถุที่เด็กสาวผู้นั้นถืออยู่ในมือ ลอร่าถือกระโหลกมนุษย์อยู่
“อื้มมม? โอ้ ในที่สุดพวกเจ้าก็มาถึง”
ลอร่าหันหน้ามาหาเมื่อรับรู้การมาถึงของพวกเรา เธอจงใจหาวออกมา
“อันที่จริง พวกนายน่ะมาช้าเกินไป หญิงสาวผู้นี้เกือบจะหลับระหว่างรออยู่แล้ว พอมาคิดๆว่า พวกนายใช้เวลามากกว่าสองชั่วโมงในการมาถึงที่นี่ได้
ทั้งที่หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้ให้หน่วยไหนอยู่ในอุโมงของพวกนายเลยแท้ๆ!
ฉันไม่รู้หรอกนะว่า ใครเป็นหัวหน้ากลุ่ม แต่ออกจะระวังตัวมากเกินไปจนเสียเวลา”
“…….”
เหล่านักผจญภัยกลับเงียบ น้ำเสียงของเด็กสาวฟังดูเรียบเฉยเกินไปสำหรับสถานที่ที่พวกเราอยู่กันตรงนี้
มีหัวมากมายรายล้อมอยู่รอบลอร่า เธอใช้มีดในมืออย่างชำนาญ ขณะที่ถลกเนื้อหนังบนหัวและลูกตาด้วยท่าทางสงบนิ่ง จนเห็นชัดเลยว่า เธอคุ้นเคยกับการทำแบบนั้น
เธอไม่ได้หยุดขยับมีดด้วยซ้ำขณะที่พูดกับเหล่านักผจญภัย
เสียง ‘ตุ่บ’ ที่ดังขึ้น ลอร่าโยนหัวนั้นทิ้งหลังลอกหนังเสร็จแล้ว
จึงมีกองหัวกระโหลกที่มีเนื้อหนังติดอยู่เล็กน้อยกองอยู่ข้างเธอ
หากจะนับกะโหลกพวกนั้นไปด้วย ก็คงมากกว่าร้อยชิ้นแล้วล่ะ ‘เจ้าสิ่งที่เคยเป็นหัวคนมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน’
‘เฮ่อออ แม่นี่เอาอีกแล้ว’
ผมชักปวดหัวตุบขึ้นมา
ลอร่าน่ะไปได้นิสัยประหลาดๆมานับตั้งแต่อยู่ที่ดันเจี้ยนของผม
เธอจะเปลี่ยนผู้บุกรุกทุกคนที่เข้ามาในดันเจี้ยนให้กลายเป็นหัวกระโหลกแล้วก็เอามันมาประดับไว้เหมือนพิพิธภัณฑ์
ผมก็เคยบอกให้เธอหยุดทำอะไรที่ดูน่าสยดสยองแบนั้นเสียทีแต่ดูเหมือนเธอจะทำอีกแล้ว เฮ่ออออออ
ลอร่าพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกับพูดคุยกันว่าอากาศวันนี้เป็นยังไง
“ฉันเบื่อน่ะก็เลยเริ่มจัดการกับสหายของพวกนายก่อน ไม่ว่านักผจญภัยจะทรามแค่ไหน แต่การปล่อยให้หญิงสาวเฝ้ารอนี่ถือว่าหยาบคายมาก”
“อ่วกกก!”
ใครบางคนอ้วกออกมา คงเป็นมือใหม่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน
มีทั้งหัวที่ถูกตัดคอกระจาย มีทั้งลูกตา ลิ้นและผิวหนังที่ชุ่มโชกด้วยเลือด มันยิ่งกว่ารู้สึกแย่แน่ๆสำหรับคนที่ไม่เคยไปรบมาก่อน
พวกนักผจญภัยหน้าเก่าเริ่มเดาได้แล้วว่า ‘เธอ’น่ะไม่ใช่เด็กสาวปกติ จึงชักหอกออกมา ฟาเบียนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ใคร…… แล้วเธอเป็นใคร?”
“หืมมม ช่างไม่สุภาพเลยนะนี่ มาถามชื่อของหญิงสาวก่อนที่จะแนะนำชื่อตัวเองน่ะ?”
ลอร่าขมวดคิ้ว สีหน้าฟาเบียนตึงเคร่งราวกับเด็กสาวตรงหน้ากำลังยั่วโมโหเขาอยู่
ผมรู้ดี ว่านั่นเป็นการที่ลอร่าพยายามทำให้ทุกอย่างนั้นมันเป็นทางการ ลอร่านั้นต่างไปจากผม เธอไม่ได้มีงานอดิเรกอย่างการพูดหลอกล่อศัตรูของเธอ
“ฟาเบียน ข้าเป็นนักผจญภัย”
“หญิงสาวผู้นี้ มีนามว่า ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่”
ลอร่าลุกขึ้นเพื่อทักทายพวกเขา เธอยกปลายกระโปรงขึ้นและโค้งให้ราวกับเป็นเลดี้คนหนึ่งในงานเลี้ยงเต้นรำ
เข่าขาวๆเผยออกมาขณะยกกระโปรงโค้งให้ ฟาเบียนถึงกับอึ้งและถามกลับไป
“……ชนชั้นสูง?”
“ฉันนั้นเป็นลูกสาวคนที่สองของพาร์ม่า ครอบครัวของฉันนั้นล่มสลายไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น”
“แล้วทำไมลูกสาวขุนนางมาทำอะไรอยู่ที่ปราสาทจอมมาร? หรือเธอโดนลักพาตัวมาโดยจอมมารอย่างนั้นหรือ?”
“หืมม? ลักพาตัวหรือคะ?”
ลอร่าหัวเราะ เสียงและใบหน้าที่หัวเราะนั้นสดใสสมวัย
“คุณคงฟังพวกนิทานมามากเลยสินะ ที่บอกกันว่า จอมมารจะลักพาตัวลูกสาวของชนชั้นสูงน่ะ? ไม่ใช่หรอกค่ะ ก็ไม่ผิดนักหรอกที่จะบอกว่า ฉันถูกลักพาตัวมา”
“ถ้าเธอโดนลักพาตัวมา เราก็ปกป้องเธอได้นะ ถ้าจอมมารสั่งให้เธอทำอย่างนั้นก็ควรจะหยุดได้แล้วแล้วก็…….”
“โง่อะไรอย่างนี้กันคะ สมองช้าเหลือเกิน ทั้งหมดที่ทำลงไปนี่เป็นสิ่งที่หญิงสาวอยากทำเอง”
ลอร่าถอนใจออกมาขณะที่กำลังถลกหนัง
“หญิงสาวผู้นี้มิได้อยู่ที่นี่ด้วยเจตจำนงของใคร ฉันนั้นอยู่ที่นี่ด้วยความตั้งใจของตัวเอง
โอ้ ดูเหมือนคราวนี้ฉันจะทำได้เกลี่ยงเกลาดีนะ อย่างที่คิดเลย ถ้าเป็นผู้หญิงมันง่ายกว่านี่เอง”
“……การทำแบบนั้นกับศพ คือ ความปรารถนาของเธอเองน่ะเหรอ?”
ลอร่าพยักหน้า
“นี่เป็นงานอดิเรกช่วงนี้ของฉันน่ะ”
“แม่งเอ๊ย แกมันก็แค่อิสาวสติแตก”
ฟาเบียนกระทืบพื้น
“นังหนู แกพูดเรื่องสาวน้อย การให้เกียรติ แต่ไหนล่ะ การให้เกียรติกับผู้ตาย!?”
“นี่คือ วิธีการจัดงานศพให้กับผู้ตายในแบบของหญิงสาวผู้นี้ หัวพวกนี้ถ้าปล่อยไว้ก็มีแต่จะเน่าเสียเป็นอาหารมอนสเตอร์ไปเปล่าๆ
จะไม่ดีกว่าหรือไงสำหรับผู้ตายหากอย่างน้อยๆ จะเก็บกะโหลกไว้น่ะ? อย่างน้อยที่สุดก็มีหญิงสาวผู้นี้ที่จดจำความตายของพวกเขาได้”
ลอร่าตอบกลับไปอย่างสงบ เธอเชื่ออย่างนั้นจากใจจริง สีหน้าของฟาเบียนบิดเบี้ยวด้วยความขยะแขยง
“เออ แกคงพูดถูกว่ะ แกกำลังเย้ยหยันผู้ตาย”
“อืมม อาจเป็นเช่นนั้นก็ได้”
แต่ลอร่ากลับเอียงคอและพูดต่อ
“แต่พวกนายเองไม่ใช่หรือที่บุกรุกเข้ามาในปราสาทจอมมารก่อนน่ะ?
นายเองนั่นแหละที่ทำให้ที่นี่วุ่นวาย ไม่ใช่พวกเรา นายเองนั่นแหละที่แสดงความไม่เคารพออกมาก่อน”
เธอยิ้มอ่อนให้
“แล้วมันจะเป็นปัญหาที่ตรงไหนที่จะเหยียดหยามสิ่งมีชีวิตที่เป็นเหมือนขยะกันล่ะ?”
“อ๊ากกกกกก!”
คนหนึ่งในหมู่นักผจญภัยทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงพุ่งเข้าไปพร้อมตะโกน
เขายกขวานในมือสูงแล้วเหวี่ยงให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันเป็นสิ่งที่เรียกว่า เรจ สแลช (Rage Slash)ยามที่คุณเหวี่ยงมันสุดกำลัง
– สแลชชช!
แต่ถึงอย่างนั้นหัวของนักผจญภัยคนนั้นก็ปลิวไปก่อนที่จะไปถึงเป้าหมาย
ดาบยาวปรากฏขึ้นจากเงาของลอร่าและฟันร่างของนักผจญภัยจากง่ามขาไปจนถึงหัว
ดาบมุดหายกลับเข้าไปในเงาของเธอหลังจากที่ศพนั้นหล่นลงกองกับพื้นอย่างไรกำลัง
“เดธไน้ท์ เจ้าควรจะเก็บหัวไว้ในสภาพที่สมบูรณ์!”
ลอร่ามองไปที่เงาแล้วพูดตะโกนใส่
“ฉันจะไม่เก็บไว้ในคอลเล็คชั่นของฉันในสภาพแบบนี้หรอก……! พวกนายน่ะฆ่ามนุษย์ไร้ประสิทธิ์ภาพมากเกินไป ดาบของพวกนายจะทื่อไวมากหากยังเหวี่ยงดาบแบบนั้นอยู่! อ๋าาาาา”
เธอมองไปยังศพที่ถูกหันเป็นชิ้นด้วยแววตาที่ผิดหวัง นักผจญภัยทั้งหลายต่างโดนความหวาดผวากลืนกินเมื่อเป็นพยานเห็นว่า
เด็กสาวนั้นรู้สึกแย่กับสภาพของศพนั่น แล้วตอนนี้จะอะไรอีกล่ะ?
เด็กสาวนี่มันอะไรกัน?
“ข้าขอถามไว้หน่อย แต่……เธอไปได้หัวพวกนี้มาจากที่ไหนกัน?”
“ก็เห็นกันชัดๆแล้วนี่ ฉันน่ะได้มันมาจากพวกผู้ที่บุกรุกเข้ามาพร้อมกับพวกนายยังไงกันล่ะ
เอาจริงๆนะ พวกนี้อ่อนแอเกินไปจนฉันละเหี่ยใจเลยล่ะ ตัวฉันนั้นแอบหวังอยู่นะว่าจะมี ใครสักคนใน 150 คน ที่จะเก่งบ้าง แต่กลับเป็นแค่พวกกลุ่มคนกากๆที่มารวมตัวกัน”
นักผจญภัยถึงกับตัวสั่น
ลอร่าถึงกับยิ้มขณะที่มองไปยังพวกเขา แววตาของเธอไม่ได้แสดงทั้งความชอบหรือความชัง
เธอก็แค่แย้มยิ้มให้ราวกับแค่เป็นการทักทาย ไม่ได้มีความหมายอื่นใดทั้งนั้น
“หากอยากจะหนีก็หนีไปได้เลยนะ
อ่า 20คนก็เพียงพอแล้วล่ะ หากเห็นด้วย จะยอมปล่อยให้ 5 คนในกลุ่มนั้นหนีไป ส่วนอีก15คน หญิงสาวผู้นี้จะขอจับกุมตัวไว้”
“……แค่คิดว่า ปราสาทจอมมารจะมีนังเด็กสาวบ้าศพคอยปกป้องอยู่นี่ พวกเรามาอยู่ในที่ที่น่าสนใจแล้วล่ะ
ทุกคนจัดรูปขบวนโดยมีข้าเป็นศูนย์กลาง! ให้นังบ้านี่มันรู้บ้างว่า ใครเป็นใคร!”
นักผจญภัยทั้งหลายต่างตั้งแนวรับโดยมีฟาเบียนเป็นศูนย์กลาง
“ช่วยไม่ได้นะ ในเมื่อเข้ามาใกล้ฉันแบบนี้ก็ต้องถูกลงโทษ”
ลอร่าวางหัวที่ถือไว้บนพื้นก่อนจะชักดาบที่เสียบอยู่ที่สะเอว
“จงสำนึกเสียใจและเศร้าระทม กับความจริงที่พวกเจ้าดูถูกปราสาทจอมมารดันทาเลี่ยนเถิด นักผจญภัยทั้งหลายเอ๋ย”
ทันใดนั้นเอง หน้าต่างแจ้งเตือนหลายบานก็ปรากฏตรงหน้าผม
「กลุ่มนักผจญภัย ‘ปาร์ตี้ฟาเบียน(โกรธ)’ ปรากฏตัวขึ้น!」
「บอสชั้น 1 ‘ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่’ กำลังสกัดกั้นศัตรู」
「 การต่อสู้ของบอสกำลังเริ่มขึ้น!」
MANGA DISCUSSION