“เฮ้ย……แกพูดอะไรของแกวะ!?”
มกุฏราชกุมารพูดทั้งที่ไหล่ยังสั่นเทา
“ทหารม้าหลวงนั้นอยู่การบัญชาของข้า แกไม่มีสิทธิ์ไม่มีอำนาจในการใช้งานตามใจชอบ!”
แม้จะเป็นตอนนี้เขาก็ยังหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องอำนาจ มาร์คกราฟ โรเซนเบิร์กนั้นเอือมกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่อยากแสดงท่าทางรังเกียจออกมาให้เห็น เขาจึงพยายามพูดให้เกียรติที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ฝ่าบาท โปรดมอบสิทธิในการบัญชาการให้แก่ข้า ข้าจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อหยุดศัตรู”
“หยุด? แกจะหยุดพวกมันเนี่ยนะ? ไอ้ศพเดินได้พวกนั้นเนี่ยนะ?”
มกุฏราชกุมารต่อว่าด้วยความโกรธ
“นี่แกจะบ้าไปแล้วเรอะ!? อะ-ไอ้เจ้าพวกนั้นมันไม่ใช่มอนสเตอร์ ปีศาจชัดๆ……ใช่แล้ว ไม่ต้องสงสัยพวกมันเป็นปีศาจ ที่แกกำลังจะบอกว่า มนุษย์สามารถต่อกรกับปีศาจได้เรอะ!?”
“โปรดใจเย็นลงก่อน พวกนั้นไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่ามอนสเตอร์ธรรมดา”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เอาทหารม้าหลวงหนีไปโดยทันทีสิวะ!”
โรเซนเบิร์กพยายามทำใจให้เย็นลง
“……”
“นี่แกหูหนวกรึไง ? ไปสั่งการให้ทหารม้าหลวงเตรียมตัวหนีให้ไวเลย เราไม่สามารถเสียทหารม้าหลวงที่นี่ได้
…….เราต้องหนีแล้วไปจัดแนวป้องกันใหม่ แล้วใช้ ทหารรับจ้างเป็นโล่ให้เรา!”
“……แล้วท่านจะให้พวกเราสร้างแนวป้องกันใหม่ได้อย่างไรกัน? ในเมื่อทหารส่วนมากของเรา ต่างพุ่งไปโจมตียังปีกขวาของศัตรูกันหมดแล้ว
หากพวกเราหนีตอนนี้ พวกเขาจะตายเปล่ากันหมด”
มาร์คกราฟพูดตามความจริงที่เกิดขึ้น
“ฝ่าบาท การต่อสู้ยังไม่จบลง หากแต่เพิ่งเริ่ม หากพวกเราสามารถตั้งรับในตำแหน่งนี้ได้
แล้วคนของเราสามารถกำจัดกองทัพจอมมารปีกขวาได้ พอมันเกิดขึ้นก็สามารถที่จะพลิกสถานการณ์ได้”
“แล้วจะเกิดอะไรหากเราไม่สามารถป้องกันตำแหน่งนี้ได้ล่ะวะ!?”
มกุฏราชกุมารตะโกนออกมา
“กองทัพหลักของเราก็จะโดนกำจัดและข้าก็จะตกอยู่ในการต่อสู้!
โรเซนเบิร์กนี่แกไม่เข้าใจเลยใช่ไหมถึงสถานการณ์ตอนนี้น่ะ?
นี่มันอนาคตของฮับบวร์กเลยนะโว้ย!
แกกำลังใช้ผู้ที่จะเป็นจักรพรรดิฮับบวร์กในเร็วๆนี้เป็นเหมือนชิพการพนันน่ะ!”
“…….”
“แกบอกว่า พวกเราชนะได้ถ้าอดทนให้ทหารเราโจมตีปีกขวามันจนแตกใช่ไหม?
แล้วหากเราทนได้ไม่นานพอล่ะ? นี่แกมีสิทธิตัดสินชะตากรรมของจักรวรรดิฮับบวร์กหรือไงกัน!? ไอ้ห่าบ้านนอกเอ๊ย!”
มกุฏราชกุมารเดินไปเดินมาด้วยความโกรธเคือง
“เดิมพันชีวิตตัวเองสิวะ ถ้าอยากจะเดิมพันอะไรขึ้นมาน่ะ ข้าไม่ใช่คนชาติกำเนิดต่ำต้อย ข้าคือ ผู้ปกครองแห่งฮับบวร์กโว้ย! ข้าจะต้องหนีกลับฮับบวร์กในขณะที่แกกำลังขวางไอ้ปีศาจพวกนั้น”
“……ผู้น้อยต้องขอประทานอภัย แต่ผู้น้อยไม่อาจอนุญาตให้ท่านทำเช่นนั้นได้”
มาร์คกราฟขวางหน้ามกุฏราชกุมาร
“อะไรนะ?”
“ข้าพูดว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่ฝ่าบาทจะหนีไป”
“ในที่สุดก็เผยหางออกมาแล้วสินะ ไอ้คนทรยศ!”
มกุฏราชกุมารชักดาบออกจากฝักในทันที แต่ถึงอย่างนั้นมือของมาร์คกราฟก็ไวกว่า
มาร์คกราฟนั้นกุมข้อมือของอีกฝ่ายไว้ เขาไม่ได้เป็นผู้บัญชาการอย่างเดียวแต่เป็นนักรบผู้แข็งแกร่งด้วย จึงไม่มีทางที่มกุฏราชกุมารจะสามารถเอาชนะมาร์คกราฟในเรื่องของพละกำลังได้เลย
“อั่ก อ่ากก―!”
“เหล่าทหารพวกนั้นกำลังป้องกันจุดนั้นอยู่ ท่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้บัญชาการสูงสุดกลับหนีไป?
กำลังใจของพวกเขาก็จะตกต่ำลงทันที แล้วกองทัพของเราก็แตกพ่ายอย่างน่าสังเวช
กองกำลังหลักของเราก็จะพังพินาศทาง แนวข้างจะแตกทีละฝั่ง ออสเตอร์ลิทช์ก็จะถูกจดจำในชื่อสถานที่ที่จักรวรรดิฮับบวร์กนั้นมาเสื่อมเกียรติ…….”
มาร์คกราฟเผยฟันสีขาวออกมาขณะยิ้มชั่วร้าย
“ถึงแม้มันจะไม่สำคัญก็ตาม ถึงอย่างไร จักรวรรดิของเราก็เสื่อมทรามอยู่แล้ว คงไม่เป็นอะไรเปลี่ยนแปลงไปหากเราจะแค่เพิ่มการเสื่อมเกียรติไปอีกเรื่องในประวัติศาสตร์ของพวกเรา”
“แกนี่―! ไอ้ระยำ ไอ้คนทรยศนี่!”
“สิ่งสำคัญมิใช่แค่ชื่อเสียงของจักรวรรดิ ฝ่าบาท
หากแต่เป็นความปลอดภัยของมนุษยชาติต่างหาก”
มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กบีบมือแน่น
มกุฏราชกุมารได้แต่ร้องด้วยความเจ็บปวด เขาพยายามดิ้นรนดึงมือขวาออกห่าง แต่ก็ไร้ประโยชน์ การจับของมาร์คกราฟนั้นแน่นราวกับรากไม้ใหญ่
“บ่อยครั้งที่ความล้มเหลวเป็นหนทางนำไปสู่ชัยชนะ การชนะหรือแพ้สักครั้งไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจ แต่ถึงอย่างไรท่านต้องไปถอยห่างจากความเชื่อของท่าน เพราะมนุษย์นั้นจะมารวมตัวกันได้ก็ด้วยความเชื่อ เหมือนดังเช่นแมงเม่ากับไฟ”
“อ่า อั่ก แกพูดบ้าอะไร…….”
“ฝ่าบาทพูดถูกต้องแล้ว มีโอกาสที่พวกเราจะแพ้ แต่ถึงอย่างนั้น ข้าไม่อาจยืนยันถึงความเป็นอยู่ของฝ่าบาทได้
ถึงแม้อย่างนั้นก็มีเหตุผลที่มากพอที่ข้าจะไม่อนุญาตให้ฝ่าบาทหนีไป
มกุฏราชกุมารแห่งฮับบวร์กกลับหนีไปตอนที่เผชิญหน้ากับทัพจอมมาร แล้วปล่อยให้ทหารพันธมิตรเป็นดั่งแพะรัปบาป
……โลกจะเรียนรู้จากเรื่องนี้”
มาร์คกราฟส่ายหัว
“จักรวรรดิจะเข้าสู่การล่มสลายเพราะจุดนี้แหละ ทหารของเราจะไม่สามารถสู้เพื่อเราได้อีกต่อไป ผู้คนทั้งหลายจะเลิกเชื่อถือในตัวพวกเรา
ทหารรับจ้างก็จะไม่ทำงานกับเราอีก ไม่สิ ไม่ใช่มีผลแค่กับจักรวรรดิฮับบวร์ก หากแต่มีแผนแพร่กระจายไปยังชาติอื่นด้วยเช่นกัน
ฝ่าบาทไม่คิดว่า การกระทำแบบนั้นเป็นการสร้างปัญหาหรอกหรือ?
ในฐานะข้ารับใช้ของฝ่าบาท ข้าไม่อาจทนเห็นท่านกลายเป็นตัวสร้างปัญหาระดับโลกได้
ดังนั้นแค่ยกย่องข้าว่า เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาผู้ภักดียังไม่เพียงพอด้วยซ้ำไป”
มาร์คกราฟดูเหมือนจะบันเทิงสิ่งที่เขาพูด จึงได้ยิ้มออกมา
ดวงตาของเขาเย็นชาตั้งแต่แรกแล้ว เขากวาดตามองต่ำไปยังมกุฏราชกุมารอย่างไร้อารมณ์คล้ายดวงตาของนกฮูก
“ฝ่าบาท ได้โปรดตายเพื่อจักรวรรดิด้วย”
มกุฏราชกุมารรูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวร์กนั้น นั้นรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ ตาแก่นี่มันเอาจริง!
มกุฏราชกุมารรู้สึกถึงความหวาดกลัวรุนแรงเช่นเดียวกันกับที่เขารู้สึกตอนที่กองทัพอันเดดปรากฏตัวจากในหมอก
“ถึงแม้ฝ่าบาทนั้นจะไม่มีความสามารถในฐานะผู้บัญชาการกองทัพเลยแม้สักกระผีกเดียว แต่นับเป็นโชคดีที่ฉายา เจ้าชายผู้เป็นมกุฏราชกุมารสามารถนำไปใช้งานต่อได้
เจ้าชายมกุฏราชกุมารที่พ่ายแพ้อย่างหาญกล้าในการรบกับกองทัพจอมมารผู้โหดร้ายทารุณ
……ชาติอื่นๆแน่นอนว่าจะต้องมาติดตามและเฝ้าเรียนรู้จากสิ่งนี้เป็นแน่
และทุกคนจากทุกชาติจะต่างร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับกองทัพจอมมาร”
“กะ-แกตายแทนก็ได้โว้ย!”
มกุฏราชกุมารรูดอล์ฟตะโกนออกมาทั้งที่ปากยังสั่นอยู่
“ทะ-ทำไมแกที่เป็นมาร์คกราฟไม่ตายในเวลาแบบนี้แทน……!?”
“ขอประทานอภัยด้วย แต่ข้ามิได้มีความสำคัญพอที่จะตายลำพัง”
มาร์คกราฟพ่นลมออกจมูก
“ในฐานะข้ารับใช้ฝ่าบาท ข้าไม่กล้าที่จะไปส่งฝ่าบาทด้วยตัวเอง ไม่ต้องกังวลไป แม้ข้าจะไม่นับว่าดีพอ แต่ข้าจะไปอยู่กับฝ่าบาทในอีกฟากหนึ่งด้วย”
ตอนนั้นเองที่ทหารนายหนึ่งชักดาบจากฝักแล้ววิ่งเข้าหามาร์คกราฟ
“ไอ้ทรยศ!”
ทหารคนนั้นตะโกนออกมาอย่างกล้าหาญ ขณะที่ยกดาบขึ้นซึ่งหมายถึงเขาเป็นทหารม้า มาร์คกราฟแทบไม่ได้หันตัวก็ดึงมีดออกมาแล้วปาใส่
มีดนั้นปักกลางหน้าผากทหารในขณะที่กำลังจะฟันลงมา ทหารผู้นั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดครั้งหนึ่งก่อนที่ล้มลงหน้าแนบพื้นหญ้า
ทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบ
มกุฏราชกุมารนั้นทำได้เพียงมองไปที่มาร์คกราฟเหมือนกบตกใจ ตอนนั้นเองที่เขาพึ่งนึกออกว่า ฟริทซ์ ฟอน โรเซนเบิร์กนั้น เป็นอัศวินระดับ 2 ที่มีเพียง 200 คน ในจักรวรรดิ
“สุดยอดทหารหาญแห่งฮับบวร์กทั้งหลาย จงฟังคำข้า”
มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กพูดกับเหล่าทหาร
“ข้าไม่รู้ว่า พวกเจ้าทุกคนนั้นสาบานว่าจงรักภักดีกับใคร แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ข้าปรารถนาให้เจ้าทุกคนมีข้อสรุปของเจ้าเอง
จงมองดูสิ่งนี้ด้วยดวงตาอันเที่ยงธรรม
พวกเจ้าคิดว่ามันสมควรหรือไม่กับการที่ผู้บัญชาการสูงสุดอย่างรูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวร์กนั้นจะวิ่งหนีไปแบบนั้น”
เสียงของทหารทั้งหลายต่างตะโกนดังจนได้ยินกันทั่ว มอนสเตอร์เกือบ 5,000 ตัว และกองทัพทหารรับจ้าง 20,000 นาย ก็ได้เข้าปะทะกันในที่สุด ทหารรับจ้างนั้นมีจำนวนมากกว่าถึง 4 เท่า แต่มาร์คกราฟก็ไม่อาจสลัดความรู้สึกที่รับรู้ว่า นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของพวกเขาได้
“หากพวกเจ้าสาบานความภักดีว่ามีต่อจักรวรรดิ ดังนั้นคงจะตระหนักได้ถึงหนทางที่ดีกว่าอันเป็นไปเพื่อจักรวรรดิ
หากพวกเจ้าสาบานจะรักภักดีต่อฝ่าบาทองค์จักรพรรดิ ก็คงจะตระหนักถึงเส้นทางอันเป็นไปเพื่อองค์จักรพรรดิเอง
หากพวกเราล่าถอยที่นี่ ก็แทบไม่ต่างจากเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่ออสเตอร์ลิท ……
พวกเจ้าจะยังให้อภัยตนเองได้อีกหรือ?”
มาร์คกราฟมิได้พยายามข่มขู่ทหารทั้งหลาย เขาเพียงพูดด้วยเสียงต่ำในขณะที่ประชุมกันโดยมองจ้องไปที่ทุกท่าน นั่นก็เพียงพอที่จะโน้มน้าวมากยิ่งกว่าสุนทราพจน์ยาวๆแล้ว
นายทหารทุกนายต่างบอกได้ในทันทีว่า มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กนั้นตั้งใจสละชีพของตนที่นี่ เขาตั้งใจเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่ออนาคตของจักรวรรดิ
สำหรับเหล่าทหารฮับบวร์ก นี่ก็เพียงพอแล้วกับการเชื่อว่า นี่เป็นเกียรติยศอย่างสูงที่จะได้อยู่เคียงข้างผู้บังคับบัญชาของตน
เหล่าทหารทั้งหลายต่างพยักหน้าอย่างจริงจัง
ในเวลานั้นเองที่ทุกคน ณ ที่แห่งนั้นต่างตัดสินใจแล้วว่า พวกเขาจะเผชิญต่อความตายอันทรงเกียรติ
“มันยังไม่สายไป! ใครที่กำจัดไอ้ทรยศนี่ได้ แกจะเป็นหนี้บุญคุณข้า กำจัดไอ้ทรยศนี่ซะ!”
มกุฏราชกุมารตะโกนออกมาราวกับกำลังกรีดร้อง มาร์คกราฟมองมายังเขา
“งานของฝ่าบาทเรียบง่ายมาก รอต้อนรับทหารแห่งจักรวรรดิในวาฮัลล่า* และบอกกับพวกเขาว่า สู้ได้ดีมาก ”
“ข้า……ตัวข้านี่แหละ คือ ฮับบวร์ก!”
“แน่นอนล่ะ ว่าท่านน่ะพูดเล่น”
มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กยิ้มอย่างงามสง่า
“บุคคลเพียงคนเดียวจะเป็นทั้งชาติได้อย่างไรกัน?
ฮับบวร์กอยู่ที่นี่ และอยู่ที่นั่นด้วย ชายชาติทหารผู้เสี่ยงชีวิตปกป้องชาติและมนุษยชาติให้พ้นภัย คือ ฮับบวร์ก”
มาร์คกราฟยังคงพูดต่อไป
“เราต้องการใครสักคนเป็นตัวแทนของอำนาจสูงสุด ถึงอย่างนั้นท่านก็มิต้องห่วงไป แม้เหตุการณ์ร้ายจะเกิดขึ้นกับฝ่าบาท แต่ก็ยังมีผู้สืบทอดบัลลังค์อยู่มิใช่หรือ?”
“กะ-แก ! นี่แกเป็นลูกน้องอีดอกอลิซาเบธนั่นสินะ!?”
มกุฏราชกุมารยังคงต่อต้านอย่างสิ้นหวัง
“ข้าคิดแล้ว! ข้าคิดไว้แต่แรกแล้ว! อลิซาเบธ อีดอกทรยศนั่นมันต้องพูดอะไรแบบนั้นแน่! อ๊ากกก! นังอลิซาเบธ! อีนังอลิซาเบธ―!”
มกุฏราชกุมารตะโกนออกมาทั้งที่โดนลากตัวออกไป แขนโดนมัดไว้และเอาเศษผ้าอุดปาก เขาโดนโยนไปไว้ในมุมหนึ่งของเต๊นท์
ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวมาร์คกราฟตอนที่ดูร่างของมกุฏราชกุมารถูกพาตัวไป แน่นอน หากทหารจักรวรรดิกลับมาพร้อมชัยชนะเขาก็พร้อมจะถวายหัวให้
มาร์คกราฟพูดกับเหล่าทหารทั้งหลาย
“ทุกคน เรื่องคุณภาพทหาร พวกมันอาจเหนือกว่าเราก็จริง แต่พวกเรามีจำนวนที่มากกว่าพวกมันมาก หากพวกเราร่วมมือกันต่อต้าน
เราอาจทนได้สักวันหรือหลายวัน ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งกว่าสิ่งใด ข้าขอภาวนาให้กับทหารพวกเราทุกนายจงมีกำลังที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูนับร้อย”
“ครับ ท่านนายพล!”
ทหารทั้งหลายตอบรับอย่างมั่นใจ พวกเขารีบเร่งไปทำตามคำสั่ง บางส่วนก็ออกไปแนวหน้า บางส่วนก็ออกไปวิ่งส่งคำสั่ง และที่เหลือก็คอยดูสถานการณ์ปัจจุบัน
มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กนั้นลากโต๊ะออกมาจากเต๊นท์มาวางข้างนอก เขาเงยหน้าก้มหน้าสลับไปสลับมาเพื่อตามให้ทันสถานการณ์ปัจจุบันกับในแผนที่
ทหารประสานงานกลับมาพร้อมรายงาน
“นายพลครับ แนวป้องกันแนวแรกของเราพังทลายแล้วครับ พวกมันเจาะถึงแนวตั้งรับที่สองแล้ว นับเป็นโชคดีที่พวกเราถอยกลับมาได้โดยไม่วุ่นวายครับ”
“ตั้งหน้าตั้งตาป้องกันต่อไป จำไว้ว่า ทหารของพวกเราจะชนะหากอดทนได้นานพอ”
“รับทราบครับ!”
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารผู้ประสานงานก็มารายงานอีก แต่เขาไม่ใช่คนก่อนหน้า เขาเปลี่ยนตำแหน่งกันเพราะคนก่อนหน้าได้ตายไปแล้ว มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กนั้นรับฟังรายงานโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากแผนที่บนโต๊ะ
“แนวป้องกันแนวที่สองของเราแตกแล้วครับ ทหารแนวป้องกันที่สองเข้าร่วมกับแนวที่สามเพื่อโต้กลับ กำลังใจทหารของเรายังสูงดี พอบอกพวกเขาว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดจะอยู่กับพวกเราจนจบ พวกเขาก็ส่งเสียงเชียร์ออกมา”
“ดีมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่าให้พวกเขารู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง แม้มันจะไม่ค่อยได้ผลนัก แต่จงใช้รถยิงหินและพลธนูต่อไป เราจะแสดงให้ศัตรูเห็นว่า พวกเราสู้จนตัวตาย”
“รับทราบครับ!”
ทหารประสานงานคนอื่นก็มารายงานแทน เช่นเดียวกับเหตุการณ์ก่อนหน้า เขามาแทนคนก่อนหน้าที่ตายในสนามรบ เขาได้แสดงความเคารพก่อนที่จะอธิบายสถานการณ์ปัจจุบัน มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กนั้นก็ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“แนวรบที่สามของเราแตกแล้วครับ ทหารของพวกเรากำลังสู้อยู่ในแนวป้องกันสุดท้ายใกล้กับค่าย
หัวหน้าทหารรับจ้างเฟอร์ดินาน วอลเลนสไตน์ตายในสนามรบดังนั้นจึงเกิดปัญหาเรื่องสายการบัญชาการ แต่ก็ได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วนแล้วครับ”
“ส่งทหารม้าหลวงไปจากทางฝั่งขวา ขบวนทัพของศัตรูจะต้องอ่อนแล้วหลังจากที่บุกอย่างต่อเนื่อง ใช้โอกาสนั้นในการจู่โจมของทหารม้าประกอบกับการตั้งรับในแนวป้องกันที่สาม”
“ครับ ท่านนายพล ขอให้โชคแห่งสงครามยังอยู่กับท่านครับ”
และทหารประสานงานคนใหม่ก็มา คนแล้วคนเล่า
…….
จนในที่สุด
ก็ไม่มีใครหลงเหลืออยู่ข้างกาย มาร์คกราฟ โรเซนเบิร์ก
สมกับฉายาทหารรับจ้างที่ดีที่สุดในทวีป ทหารรับจ้างแล้นคีเน็กนั้นต่อสู้อย่างหาญกล้าจนถึงวาระสุดท้าย
ทหารม้าหลวงของฮับบวร์กนั้นพยายามทำให้ศัตรูอยู่ในจุดที่ล่อแหลม แต่ทุกคนนับตั้งแต่หัวหน้าทหารม้าไปจนถึงผู้ติดตามต่างสิ้นชีพลงอย่างมีเกียรติในการต่อสู้
ทหารผู้ประสานงานก็ยังถูกกำจัด บุคคลสุดท้ายที่มารายงานกับมาร์คกราฟ โรเซนเบิร์กนั้นมิใช่ทหารประสานงาน
หากแต่เป็นทหารที่ไม่มียศในกองทัพ เขารายงานว่า แนวป้องกันที่สามนั้นพังทลายก่อนที่จะกลับไปสู่สมรภูมิในทันที
ตุบ
เสียงฝีเท้าดังจนได้ยิน
“หืมม เจ้าเองเหรอ ฟริทช์ ฟอน โรเซนเบิร์ก?”
“ถูกต้องแล้ว”
มาร์คกราฟมองดูแผนที่บนโต๊ะ การศึกสงครามยังคงอยู่ในห้วงความคิดของเขา เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“การรบจบแล้วนะ เจ้ามองหาอะไรน่ะ เจ้าเด็กมนุษย์?”
“การต่อสู้”
“แล้วเจ้ามองหาอะไรอีก หากการต่อสู้นี้จบลง?”
“การต่อสู้”
เด็กสาวผงกหัว
เคียวใหญ่ฟาดแหวกผ่านอากาศ ใบมีดเฉือนเนื้อมนุษย์โดยง่าย พร้อมกับเสียงตุบ อะไรบางอย่างกลิ้งลงสู่ผืนหญ้า มันกลิ้งไปสักพักหนึ่งก่อนจะหยุด
ดวงตาของฟริท ฟอน โรเซนเบิร์กยังคงมองไปข้างหน้า ไม่มีอะไรสะท้อนในดวงตาคู่นั้น เนื่องจากไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้อีกต่อไป ดวงตาที่เย็นชานั้นยังคงมองไปยังทางนั้นตลอดกาล
ราวกับการต่อสู้ที่ไม่มีวันจบสิ้นยังคงดำเนินอยู่ในทางนั้น
——
*วาฮัลล่า
ดินแดนหลังความตายในความเชื่อของนอร์ส สถานที่ที่เป็นดั่งสรวงสวรรค์อันทรงเกียรติของเหล่านับสู้ผู้กล้า
MANGA DISCUSSION