* * *
พลธนูขี่ม้า ถอย!
มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กที่ได้รับรายงานจากแนวหน้าสั่งในทันที กองทัพจักรวรรดิมีทหารประสานงานระหว่างหน่วยย่อยกับหน่วยหลัก
ต้องขอบคุณสิ่งนี้ทำให้ ทหารจักรวรรดิสามารถที่จะติดต่อทำงานกันระหว่างหน่วยได้สะดวก
“กองทัพจอมมารเริ่มการโต้กลับแล้วรึ?”
“เปล่าครับ ท่าน พวกเขาใช้หน่วยเล็กๆหน่วยเดียวจัดการพลธนูขี่ม้า”
ทหารรายงานด้วยเสียงที่แข็งทื่อ ไม่ใช่แค่เพียง มาร์คกราฟฟริทซ์ โรเซนเบิร์กเท่านั้นที่อยู่ในเต๊นท์
ผู้สืบทอดบัลลังค์ลำดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิฮับบวร์ก มกุฏราชกุมาร รูดอล์ฟ ฮับบวร์ก , นายพลมิกคาอิล โคลอฟเร่ (Mikhail Kolovrate) , นายพลจอร์น คูตูซอฟ(John Kutuzov) และ หัวหน้าทหารรับจ้างเฟอร์ดินาน วอลเลนสไตน์(Ferdinand Wallenstein)
―เหล่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดของจักรวรรดิมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
ตัวตนทั้งหลายเหล่านั้นเป็นดั่งดาวระยิบระยับสำหรับทหารประสานงาน เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวนั้นรายงานการถอยทัพของพันธมิตรต่อบุคคลกลุ่มนั้น
……พวกเขาย่อมต้องโกรธทหารผู้รายงานเป็นอย่างมาก ตัวอย่างก็เช่น มกุฏราชกุมารถึงกับเตะทหารประสานงาน
เขาคงต้องใช้ชีวิตต่อไปด้วยการมีสมญาหน้าชื่อว่า ‘ผู้ที่ถูกมกุฏราชกุมารแห่งจักรวรรดิเอาเท้าเตะ’
มันเป็นอะไรที่ทหารธรรมดาไม่มีทางจะรับโอกาสเช่นนี้ในชีวิต ทหารประสานงานคนนั้นก่นด่าพวกพลธนูขี่ม้าในใจที่ดันไปแพ้ให้กับมอนสเตอร์เสียได้
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก่นด่าโชคชะตาตัวเองที่ต้องมาเป็นคนรายงานข่าวนี้…….
“ข้าบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือไง เอิร์ล?!”
มกุฏราชกุมารรูดอล์ฟพูดด้วยเสียงอันดัน
“ข้าเตือนแล้ว เตือนอีกว่า แผนเชิงรับแบบนั้นมันเปล่าประโยชน์ ข้าได้สูญเสียบุคคลที่จะกลายเป็นอัศวินของข้าไป บุคคลที่มีพรสวรรค์ที่จะมาเป็นกำลังของชาติ เอิร์ล ท่านจะดูเบาชีวิตของพวกทหารไม่ได้เข้าใจไหม?”
“ต้องขอประทานอภัยด้วยครับ”
มาร์คกราฟนั้นโค้งให้อย่างสุภาพต่อมกุฏราชกุมาร มันเป็นการกระทำอันอ่อนน้อมแต่ท่าทางของเขาก็ยังคงเข้มแข็ง
มกุฏราชกุมารโบกมือราวกับต้องการแสดงความใจกว้างยอมรับคำขอโทษของเขา ซึ่งความจริงแล้ว ความคิดในใจมิได้เป็นเช่นนั้นเลย
‘ไอ้เจ้าพวกแมลงที่คอยสูบกินเลือดเนื้อจักรวรรดินี่’
มกุฏราชกุมารยังถือครองอำนาจสูงสุดอยู่ เช่นสมบูรณาญาสิทธิราช* เขาตั้งใจจะกำจัดมาร์คกราฟทั้งหมดออกไปให้สิ้นเมื่อเขาขึ้นเป็นจักรพรรดิ
สำหรับตัวเขาแล้ว มาร์คกราฟนั้นมิได้เป็นอะไรไปมากกว่า คนทรยศที่ขี้เกียจสันหลังยาวแต่กลับมีอำนาจการทหารมากมายจนเกินไป
พวกมาร์คกราฟบ้านนอกนั้น มีแต่จะกีดขวางการบริหารส่วนกลางที่อำนาจอยู่กับราชวงศ์โดยสมบูรณ์
―หนึ่งผู้ปกครอง หนึ่งกองกำลัง และนโยบายหนึ่งชาติ
จุดประสงค์ของมกุฏราชกุมารนั้นชัดเจน ไม่ใช่เพราะใบหน้าที่บูดบึ้ง ก่อนการรบจะเริ่มต้นขึ้น
เขาตัดสินใจไม่ส่งกองทัพหลักให้ แล้วบอกให้มาร์คกราฟนั้นเดินทัพส่วนตัวไปก่อน
จากนั้นก็ตัดสินใจให้กองทัพทหารรับจ้างนั้นตามหลังมาร์คกราฟไป ไม่ว่าใครก็ดูออกว่า รูดอล์ฟนั้นต้องการหลอกใช้กองทัพของมาร์คกราฟ
มาร์คกราฟพยายามที่จะแย้งว่า ตามหลักการและเหตุผลพื้นฐานแล้วไม่ควรนำการเมืองมาปะปนกับปฏิบัติการณ์ทางการทหาร
ส่วนคำตอบน่ะหรือ มกุฏราชกุมารและเหล่านายพลทั้งหลายแห่งกองทัพหลักก็ให้เหตุผลง่ายๆว่า
―ถ้าเจ้าไม่ชอบ เจ้าก็แค่ส่งอำนาจในการสั่งการให้ข้า
มาร์คกราฟ ฟริทซ์ ฟอน โรเซนเบิร์กจึงปวดหัว มันช่วยไม่ได้จริงๆ ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด
มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะให้เขานั้นเป็นทั้งผู้นำทัพหน้าและเป็นผู้ควบคุมกองกำลังเอง
หากแต่กองทัพมาร์คกราฟที่มี 10,000 นาย ต้องการที่จะนำกำลังพลกองทัพหลัก 20,000 นาย และกองทัพทหารรับจ้างอีก 20,000 นาย
ดังนั้นเขาจึงต้องแบกรับความสูญเสียไว้เอง
สุดท้ายแล้วทั้งทหารเดินเท้าและอัศวินที่ออกเดินทางไปโจมตีปีกขวางของทัพจอมมารนั้นก็เป็นทัพส่วนตัวของมาร์คกราฟทั้ง 10,000 นาย
มกุฏราชกุมารและนายพลกองทัพต่างรออยู่ข้างหลังเพื่อดูการตัดสินใจอันกล้าหาญของมาร์คกราฟ
โดยอ้างว่า พวกเขาจะคอยดูว่า มาร์คกราฟจะบริหารจัดการทัพอย่างไร
มาร์คกราฟพูดกับทหารประสานงาน
“พลธนูขี่ม้านั้นต่างเป็นผู้ติดตามอัศวิน ไม่มีทางที่จะตายง่ายๆอย่างนั้น กองทัพจอมมาใช้วิธีการไหนกัน?”
“เป็นมอนสเตอร์ที่สวมเกราะดำ แล้วแกว่งดาบใหญ่กว่าตัวคน…….”
“เดธไน้ท์”
มาร์คกราฟนึกถึงข้อความที่ปู่ของเขาเคยเขียนไว้ในไดอารี่ เช่นเดียวกับที่เขาพูดแทรกระหว่างการรายงาน เขากลืนน้ำลาย
บรรพบุรุษของมาร์คกราฟนั้นก็เป็นมาร์คกราฟเช่นกัน
พวกเขาได้เขียนบันทึกทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในการต่อสู้กับจอมมารในหลายศตวรรษที่ผ่านมา
ในไดอารี่นั้น มีข้อความที่เริ่มต้นว่า ‘จากบันทึกเมื่อ 150 ปีที่ผ่านมา’
จากนั้นก็ลงรายละเอียดว่า เดธไน้ท์นั้นน่ากลัวแค่ไหน มาร์คกราฟที่ได้อ่านบันทึกเหล่านั้นหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเขาจึงจดจำการระบุลักษณะพวกนั้นได้ทันที
เมื่อเขาพูดอย่างนั้น นายพลคนอื่นก็สนใจขึ้นมาทันที เดธไน้ท์นั้นเป็นชื่อใหม่สำหรับพวกเขา
แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อมีปัญหาอยู่ตรงหน้ากลับไม่มีใครถามขึ้นมาก่อน
―หากนายพลจากกองทัพหลักแสดงให้รู้ว่า พวกเขาไม่รู้เรื่องมอนสเตอร์ที่มาร์คกราฟรู้
มันจะเป็นปัญหากับทั้งกองทัพหลักไม่เพียงแต่เหล่านายพลด้วยกัน
―แต่นับเป็นโชคดีที่ หัวหน้าทหารรับจ้าง วอลเลนสไตน์นั้นอ่านบรรยากาศออก
เขาจึงถามขึ้นว่า
“ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุด นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเรื่องเดธไน้ท์ แม้ข้าจะได้ท่องเที่ยวไปทั่วทั้งทวีป
ข้าก็ไม่เคยได้ยินชื่อนั้นมาก่อน โปรดบอกข้าเถอะว่า มันเป็นมอนสเตอร์จำพวกไหน?”
“มันเป็นประเภทอันเดดมอนสเตอร์ที่อยู่ในรูปร่างของวิญญาณเป็นที่รู้จักกันว่า มีแต่พวกวอล็อคและพวกนักเวทย์ระดับ 7 วงขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถทำให้พวกมันเป็นสาวกรับใช้ได้
เดธไน้ท์แต่ละตัวนั้นมีกำลังเหนือคนนับร้อย และยังมีทักษะสูงเช่นเดียวกับอัศวินชั้นนำทั้งหลาย”
“โอ้โห”
หัวหน้าทหารรับจ้างไหล่ตกทันที
“ฟังดูน่ากลัวจริงๆ”
“มองว่า พวกมันคือ ราชองค์รักษ์ของจอมมารลำดับ 8 บาร์บาทอสก็ได้ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า มีจอมมารเคียงข้างบาร์บาทอสตนใดที่ครอบครองเดธไน้ท์ ดูเหมือนกองทัพจอมมารจะเสริมกำลังที่ปีกขวาด้วยเช่นกัน”
“ข้าเข้าใจแล้ว ในกรณีเช่นนี้ หากเราจะอนุมานว่า จอมมารบาร์บาทอสอยู่ปีกขวาของทัพศัตรูจะได้หรือไม่?”
มาร์คกราฟส่ายหัว
“ความเป็นไปได้ต่ำ ดูจากการที่พวกมันไม่มีอะไรเลยนอกจากหน่วยย่อย เป็นกองกำลังเล็กๆที่กระจายตัวออกมาจากด้านข้าง
ผู้ติดต่อประสานงาน บอกพวกเราซิว่า หน่วยที่แยกออกมานั้นใหญ่แค่ไหน”
“ครับ ก็มีขนาดต่างๆกันครับ แต่จำนวนมอนสเตอร์ที่จู่โจม พลธนูบนหลังม้าก็มีราวๆ หกสิบตนครับ”
“หกสิบ หือ?”
มาร์คกราฟดึงหนวด 60 เป็นจำนวนที่ไม่มากและไม่น้อยสำหรับทหาร
หากไม่นับมังกรกระดูก เดธไน้ท์เองก็เป็นทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพจอมมารและมอนสเตอร์พวกนั้นก็ประจำตำแหน่งที่ปีกขวา
……ยิ่งไปกว่านั้น ปีกขวาเป็นกองทัพจอมมารที่อ่อนที่สุด หากบาร์บาทอสมอบหน้าที่ให้ราชองค์รักษ์มาเสริมกำลังปิดจุดอ่อนล่ะ
พวกเขาถึงกับต้องการเดธไน้ท์ถึง 60 ตน แสดงว่า ปีกขวามันต้องอ่อนแอกว่าที่คาดไว้แน่
ถึงกลยุทธการใช้พลธนูบนหลังม้าเป็นเหยื่อล่อจะล้มเหลว แต่กระแสการรบก็ไม่เปลี่ยนทิศ ณ จุดนี้ แค่เสียแต้มเล็กๆน้อยๆไป ฝ่ายของพวกเราก็ยังได้เปรียบอยู่
…….
– อึก
ทหารผู้ประสานงานกลืนน้ำลายตนเอง
เดธไน้ท์หกสิบตนเป็นจำนวนที่พวกทหารแนวหน้าพูดเกินจริง
ในตอนนี้ ทหารทั้ง 10,000 นายของมาร์คกราฟนั้นเผชิญหน้ากับกองทัพจอมมารที่ปีกขวา แต่ถึงอย่างนั้นผู้กองทัพหลักนั้นเป็นบุคคลอื่น ไม่ใช่ของฝ่ายมาร์คกราฟ
พอเป็นอย่างนั้นเข้ามาร์คกราฟเองก็ไม่อาจออกจากศูนย์บัญชาการกลางเนื่องจากหน้าที่ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุด นายพลคนอื่นในกองทัพหลักอาจทำหน้าที่นั้นแทน
ปัญหาการจัดการกองทัพของจักรวรรดิเผยแผลออกมาแล้ว
เป็นไปตามที่ดันทาเลี่ยนคาดการณ์ไว้ การบริหารจัดการระดับบนๆของกองทัพจักรวรรดินั้นแบ่งเป็นสองฝ่าย
กองทัพหลักกับกองทัพมาร์คกราฟ ทั้งสองต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจในการบัญชาการ
และนั่นเป็นเหตุที่ทำให้ทหารสั่งการในแนวหน้านั้นเอาแต่เล่นการเมืองใส่กัน
ความล้มเหลวของทั้งฝ่ายกองทัพหลักและกองทัพของมาร์คกราฟ นั้นเกิดจากอำนาจการบัญชาการที่ก้าวก่ายกันจนทำให้ทั้งสองฝ่ายอ่อนแอทั้งคู่
แล้วพอยุทธวิธีที่ใช้พลธนูขี่ม้านั้นล้มเหลว การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายก็แสดงให้เห็น
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ที่พวกเขาแพ้นั้นไม่ใช่เพราะด้อยความสามารถ หากแต่เป็นเพราะมีศัตรูอยู่มากเกินไป
ในทีแรก ทั้งสองการเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในนามและผู้บัญชาการทหารสูงสุดตัวจริงก็เป็นปัญหา ไม่มีทางที่กองทัพที่ทำงานได้ดีนั้นจะมีสองหัว
เหตุผลหลักๆของระบบที่ไม่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างมากก็คึอ
หากพวกเขาชนะ มกุฏราชกุมาร รูดอล์ฟผู้เป็นผู้บัญชาการสูงสุดแต่ในนาม จะได้รับความสำเร็จนั้นไป
แต่หากว่าแพ้ขึ้นมา ความรับผิดชอบทั้งหมดจะถูกโยนไปให้มาร์คกราฟ ผู้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดตัวจริง
มาร์คกราฟฟริทซ์ ฟอน โรเซนเบิร์กตระหนักถึงความจริงข้อนี้ดี
ถึงแม้เขาจะให้การสนับสนุนอย่างไร้เงื่อนไขต่อมกุฏราชกุมารรูดอล์ฟในฐานะตระกูล แต่เขาก็รู้สึกไม่พอใจอยู่พอสมควรกับสถานะตอนนี้
แต่ถึงอย่างนั้นผู้ที่มาร์คกราฟดูถูกที่สุดไม่ใช่มกุฏราชกุมาร
หากแต่เป็นนายพลในกองทัพหลักที่อยู่ล้อมรอบเจ้าชายที่ตั้งใจจะยึดอำนาจทางการทหาร ยิ่งไปกว่านั้น―
‘ชนชั้นสูงในเมืองหลวงทุกคนต่างไม่ต่างจากแมลงสาบนั่นแหละ’
มันจึงกลายเป็นสถานการณ์ที่ทั้งกองทัพหลักและกองทัพมาร์คกราฟปฏิบัติต่อกันราวกับอีกฝ่ายเป็นแมลงสาบ
กองทัพหลักนั้นขุ่นเคืองเรื่องที่ว่า มีมาร์คกราฟบ้านๆคนหนึ่งมาทำตัวเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในการรบที่มกุฏราชกุมารไปคุมอยู่ แ
ละยิ่งเลวร้ายลงอีกเมื่อมาร์คกราฟคนนั้นสูญเสียดินแดนของตนไปด้วย
ฝ่ายทหารของมาร์คกราฟเองก็โกรธกองทัพหลักที่ดูถูก และไม่เชื่อมั่นในความสามารถของพวกเขาที่มีประสบการณ์การต่อสู้กับจอมมารมากมาย
ตั้งแต่ต้นยันจบ มกุฏราชกุมารจึงพยายามที่จะเข้าแทรกแซงอำนาจการสั่งการทหาร
ในขณะที่ก็ทำการสนับสนุนนายพลจากกองทัพหลักเพื่อเสริมอำนาจตัวเองไปด้วย และกองทัพทหารรับจ้างก็มาทำตัวเหมือนเป็นสะพานเชื่อมระหว่างนายพลทั้งหลายราวกับนักเจรจา
แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็นเพียงลูกน้องของมกุฏราชกุมารอยู่ดี
ผลลัพธ์นั้นชัดเจนมาก
“ข้าก็ได้บอกเตือนแล้ว ทุกอย่างมันผิดตั้งแต่ ตอนที่พวกเราเริ่มยิงมั่วๆด้วยรถยิงหิน!”
“ทำไมถึงมาพูดตอนนี้? นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนต่างเห็นด้วยกันในการประชุมครั้งที่แล้วไม่ใช่หรือไง?”
“การใช้รถยิงหิน ยิงไม่ได้จำกัดความเคลื่อนไหวแต่ฝ่ายศัตรู แต่พวกเราเองก็โดนไปด้วย ดังนั้นพวกเราควรหยุดและ―”
“เห็นชัดๆแล้วว่า พลธนูบนหลังม้ามันล้มเหลว”
“แล้วต่อจากนี้เราควรส่งทหารม้าหลวงไปหรือไม่ควรส่งไปล่ะ!?”
การประชุมนั้นยืดยาว ไม่สามารถหาข้อสรุปได้หลายต่อหลายชั่วโมง
แน่นอนว่า มาร์คกราฟผู้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดรู้ดีว่าการประชุมที่ยาวนานในระหว่างสงครามไม่เกิดประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปจู่โจมปีกขวาด้วยทหาร 10,000 นาย”
เขาตัดสินใจที่จะรับผิดชอบทั้งหมดในการประชุมครั้งนี้เอง
“อะแฮ่ม”
“เป็นอย่างนั้นก็ดีเลยล่ะ”
มกุฏราชกุมารและนายพลมองไปทางมาร์คกราฟอย่างไม่พอใจ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเพิ่มจะสั่การนำทัพตัวเองไป
ดังนั้นเลยไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ แม้ว่าความจริงแล้วพวกเขาจะเตรียมรุมทึ้งมาร์คกราฟโรเซนเบิร์กเหมือนฝูงหมาอยู่แล้ว หากการโจมตีครั้งนี้ล้มเหลว…….
มีเหตุผลเพียงข้อเดียวที่ฟริทซ์ ฟอน โรเซนเบิร์กนั้นจะแข็งกร้าวต่อความขัดแย้งทั้งภายนอกและภายใน
นั่นคือ ความมั่นใจของเขานั่นเอง!
เขาเชื่อในกองกำลังทหารของตน และคาดการณ์ไว้แล้วว่า ทัพปีกขวาเป็นส่วนที่อ่อนแอที่สุดของกองทัพจอมมาร
มาร์คกราฟนั้นแน่ใจเลยว่า ไม่มีทางที่เขาจะแพ้พ่ายหากกองทัพที่แข็งแกร่งบุกโจมตีศัตรูที่อ่อนแอ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบคำสั่งให้เคลื่อนทัพไปทันทีได้เลย”
“ครับ ฝ่าบาท!”
คำสั่งถูกส่งไปยังแนวหน้าอย่างรวดเร็ว หนังสือคำสั่งที่ลงนามโดยมกุฏราชกุมารรูดอล์ฟเอง
ในช่วงที่จักรพรรดิประกาศถอนตัวจากโลกการเมืองแล้ว ไม่มีจดหมายคำสั่งใดจะมีน้ำหนักไปมากกว่านี้ในจักรวรรดิฮับบวร์กแล้ว
ผู้บัญชาการย่อยของกองทัพหลัก เคนมาเชอร์ (Keinmacher) ได้ตะโกนใส่ทหารของเขา
“ทุกหน่วย เดินทัพ!”
ทหารเดินเท้า 8,500 นาย และทหารม้า 1,500 นาย เดินฝ่าเข้าไปในหมอก
ตำแหน่งที่มุ่งหน้าไปนั้นเป็นค่ายทหารส่วนปีกขวาของทัพจอมมารที่ถูกวางกำลังไว้เมื่อหลายวันก่อนและมีมอนสเตอร์ราว 4,000 ตัวอยู่ที่นั่น
คำสั่งที่ให้มาก็คือ ให้กองทัพจักรวรรดินั้นทำลายปีกของของศัตรูให้แตกพ่ายด้วยทุกอย่างที่มี
ในขณะที่คำสั่งของกองทัพจอมมารก็คือให้ปกป้องปีกขวาด้วยทุกสิ่งที่มี
หอกของทหารจักรวรรดิ และ โล่ของกองทัพภาค6แห่งพันธมิตรเสี้ยวจันทรา
การบุกโจมตีของมาร์คกราฟโรเซนเบิร์ก และ การตั้งรับของจอมมารอันดับ 16 เซปาร์ กำลังจะปะทุขึ้นเต็มกำลังแล้ว
MANGA DISCUSSION