“……น่าประทับใจมาก ข้านับถือท่านในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่งเลย”
“อะแฮ่มๆ ไม่ต้องถึงกับยกย่องข้าขนาดนั้นก็ได้”
เบเลธแกล้งกระแอมเคลียร์คอขณะที่หันหน้าไปทางอื่น
สีแดงน้อยๆปรากฏขึ้นบนแก้มน้ำตาล
โอ้ พระเจ้า นี่เขากำลังเขินอายเพียงเพราะได้รับคำชมคำเดียวเนี่ยนะ
เบเลธ ผู้ปรากฏตัวในฐานะสุดยอดนักรบแห่ง <Dungeon Attack> เป็นนักโรแมนติกตัวพ่อในรอบทศวรรษ(10ปี) ไม่สิ ศตวรรษ(100ปี) เลยต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้น ผมนิยามคำว่า นักโรแมนติกว่าเป็นบุคคลที่อ่อนหัดและไร้เดียงสา
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ กลับสู่คำถามของข้า เจ้าได้ทำกับท่านบาร์บาทอสไหม?”
เบเลธมองผมอย่างไม่อดทนอีกต่อไป
ดวงตาของเขานั้นเปล่งประกายวิบวับ หากลบทุกอย่างออกไปให้หมดเหลือแต่ดวงตาเขาเพียงอย่างเดียว
ดูยังไงก็หมาชิสุชัดๆ แต่แต่ร่างกายที่ใหญ่แบบออเกอร์ ใบหน้าที่เหมือนหมูป่า ดวงตาที่เหมือนชิสุ……ผมต้องอดกลั้นที่จะไม่อาเจียนออกมาตรงหน้า
“แน่นอนว่าไม่เลย ท่านเบเลธ ท่านก็คงรู้ถึงรสนิยมของท่านบาร์บาทอสอยู่แล้ว ท่านน่ะยุ่งแต่กับผู้หญิงอย่างเดียว”
ผมยักไหล่
“แต่ก็อย่างที่ท่านเห็นแหละ ข้าเป็นผู้ชาย”
“แต่ท่านบาร์บาทอสก็บอกว่า เจ้าเป็นคนรักของนาง? นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”
เบเลธนั้นมองผมด้วยแววตาไม่เชื่อใจ สมองกล้ามของหมอนี่ยังสามารถที่จะสงสัยได้สินะ
ห้ะ? ชักเป็นปัญหาละ พอมาคิดว่า ตัวเองอาจตกเป็นเป้าของจอมมารระดับสูง เพียงเพราะคำตลกๆอย่างคำว่า ‘คนรัก’แล้ว
นี่ ผมอยากจะปฏิเสธให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เลย
‘เปิดใช้งานสกิล การแสดง’
หน้าต่างแจ้งเตือนปรากฏขึ้น
「เปิดใช้งาน การแสดง」
「โบนัสเอฟเฟ็คจะขึ้นกับค่าความฉลาดและค่าเสน่ห์」
「โชคดีแทบตายได้หยุดอยู่ที่ขอบมุมโต๊ะ! โอกาสที่อีกฝ่ายจะสงสัยในคำพูดของคุณนั้นลดลง ‘อย่างมาก’ 」
ผมแอบถอนใจครั้งหนึ่งพอได้รับการยืนยันว่า สกิลได้ทำงานตามปรกติ
“พูดอีกอย่างหนึ่ง ข้าเป็นของเล่น”
“ของเล่นเหรอ?”
“ใช่ ข้ามั่นใจว่า ท่านคงรู้เรื่องนี้ แต่ทว่า…….”
ผมก้าวเข้าไปหาเบเลธ เพื่อหวังจะบอกเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง พอผมทำอย่างนั้นเบเลธก็หันหูมาทางผมทันที
“ท่านผู้บัญชาการน่ะเป็นซาดิสม์ตัวแม่เลยครับ”
“ยะ-อย่างงั้นรึ?”
“แน่นอนครับ ท่านได้เห็นที่ท่านบาร์บาทอสเล่นกับพวกผู้หญิงไหม?
มันสุดยอดมากทั้งการลงแส้ และมัดให้แน่นหนาจนแทบไม่ต่างจากการทรมาน ต่อเนื่องยาวนานถึง 3 ชั่วโมงบนม้าไม้และยังหยดเทียนร้อนๆไม่ต่างจากขนมหวาน”
เบเลธกลืนน้ำลาย เสียงที่เขากลืนน้ำลายมันดังมาก อะไรที่ทำโดยเจ้าลูกผสมนี่มันยิ่งใหญ่เกินตัวเสมอ
เจ้าหมอนี่คงจะนึกภาพไปด้วยขณะที่พูดจนทำให้อยากจะเคลียร์น้ำลายตัวเองในปาก
ขณะที่กำลังจินตนาการภาพบาร์บาทอสที่กำลังเปลือยแล้วเหวี่ยงแส้
แม่งเอ้ย ไอ้โรคจิตนี่
“ข้าก็แค่เล่นเป็นบทบาทผู้เฝ้าดู ท่านอาจจะคิดว่า ข้าเป็นเหมือนดั่งอาหารหลากรสก็ได้ ข้านั้นถูกมัดติดกำแพงขณะที่ท่านผู้บัญชาการนั้นกำลังเพลิดเพลินกับเหล่าผู้หญิง”
“มัดติดกำแพง?”
นี่เขาไม่เข้าใจรึไงกัน? ก็คาดหวังได้สำหรับคนที่ยังซิงมาตลอด 1,400ปีอะนะ
แต่พูดให้ชัดเลยคือ เขาไม่ได้เป็นหนุ่มซิง แต่ทั้งตัวมันหมดอายุไปแล้ว ผมไม่แน่ใจว่า มันมีวันหมดอายุสำหรับประสบการณ์ทางเพศด้วยหรือเปล่า?
แต่แน่นอนว่า ถ้าเกินพักปีมาแล้ว ก็นับได้ว่า เบเลธน่ะเป็นคนซิงอยู่ตามวันหมดอายุสากล
“ลองนึกดูสิว่าท่านผู้บัญชาการน่ะงดงามเพียงใด”
“อืมมม”
“ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความงดงามของผู้หญิงที่ห้อมล้อมท่าน
ผู้หญิงเหล่านั้นก็บิดเบี้ยวกันอย่างอลหม่าน ข้าอายที่ต้องยอมรับเรื่องนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นไปกับการเห็นภาพนั้น
ท่านผู้บัญชากาารนั้นได้ทำเหมือนข้าเป็นของเล่นชิ้นหนึ่ง มันทำให้ข้าตื่นเต้นสุดๆ”
“เข้าใจแล้ว!”
เบเลธทำเสียงเหมือนตรัสรู้อะไรบางอย่างขึ้นมา แล้วประกาศลั่น
“ข้าไม่รู้มาก่อนว่า คนรักมีความหมายเช่นนั้น”
“ปกติแล้ว แค่ได้เป็นพยานเห็นร่างกายที่เป็นดั่งรูปปั้นหินอ่อนก็นับเป็นโชคดีอันใหญ่หลวงแล้ว”
ร่างกายที่แบนเหมือนหินอ่อนน่ะนะ
“ถึงอย่างนั้น รูปร่างที่เป็นดั่งหินอ่อนมาอยู่ตรงหน้าข้า แต่ข้าก็ไร้กำลังไม่สามารถทำอะไรได้ แม้จะอยากทำ ข้าก็ทำไม่ได้ มันทำให้ข้าแทบคลั่ง”
“มันออกจะ…… เป็นสวรรค์ที่เหมือนนรก”
เบเลธมองผมด้วยความขัดแย้งในตนว่าควรจะอิจฉาหรือสงสารผมดี
“มันทั้งน่าขายหน้า ทั้งหดหู่ซึมและเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ท่านเบเลธครับ ข้าขอพูดตรงๆกันท่านนะ ข้าไม่มั่นใจเลยว่า จะทนสถานการณ์เช่นนั้นได้อีก”
ผมกุมมือขวาของเบเลธ
“ข้าเป็นเพียง ลำดับ 71 ดาดๆแต่ถึงอย่างนั้นข้าก็เป็นจอมมารตนหนึ่ง ข้าอาจจะถูกกระทำเหมือนเป็นของเล่น แต่สำหรับนักรบผู้เปี่ยมเกียรติอย่างท่านเบเลธ ย่อมต้องเข้าใจถึงงานหนักของข้าพเจ้าดี”
“หืม?แน่ล่ะ แน่ล่ะ ข้าเป็นนักรบตัวจริงนี่นะ”
“และมีหนทางเดียวที่จะพาข้าออกจากขุมนรกขุมนี้ได้
นั่นคือ การที่นายท่านผู้บัญชาการจะต้องหาคู่ของตนเองให้ได้
หากท่านได้ลงเอยรักกับชายคนใดสักคนท่านก็จะเลิกใช้ข้าในฐานะของเล่นเสียที!”
ผมแกล้งปาดน้ำตา มันเป็นการแสดงที่กระชากใจ
ถ้าคณะกรรมการการแสดงมาเห็นผมตอนนี้เข้าไม่มีทางอื่นนอกจากมอบรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมให้ผมแน่ๆ
ถึงแม้การหลอกเจ้าลูกผสมหมูป่านี่จะเป็นเหมือนการหลอกเด็กก็ตามที
“แฮ่มๆ นั่นสินะ มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกัน? ไม่มีทางที่ท่านบาร์บาทอสจะไปทำอะไรที่เป็นผู้ใหญ่แบบนั้นหรอก”
นี่หมอนี่พูดเล่นอยู่เหรอ?
ผมไม่อยากนึกภาพงานวันแต่งงานของบาร์บาทอสเลยว่ะ ถ้าแม่นั่นแต่งงานจริงนะ คงจะเชิญชวนผู้ชายมาสัก 30 คน
และมาเล่นเซ็กส์ปาร์ตี้พร้อมกับสามีของเธอในคืนวันฮันนีมูนแน่ๆ
แล้วก็เปลี่ยนให้สามีของนางเป็นส้วมมนุษย์แล้วให้เหล่าผู้ชายทั้งหลายใช้งานเขา
ผมมั่นใจเลยว่า บาร์บาทอสในความคิดของเบเลธนั้นต้องเป็นดั่งนางฟ้านางสวรรค์
ในขณะที่บาร์บาทอสที่ผมรู้จักนั้นมันคือนังสารเลวที่ห่างไปจากจินตนาการสุดแฟนตาซีของเขาถึง 250,000 ปีแสง
“อย่างที่ข้าพูดไปแหละ ท่านเบเลธ ข้าตระหนักถึงความจริงเรื่องนี้ ทันทีที่ข้าเห็นท่าน ท่านนี่แหละที่คู่ควรกับท่านผู้บัญชาการที่สุด!”
“อะ-อะไรนะ?”
“ท่านเบเลธนั้นเป็นบุคคลเดียวที่ออกจะเหมาะสมในตำแหน่งลำดับสองของฝ่ายที่ราบ
ไม่มีใครเหมาะสมต่อการนำฝ่ายที่ราบกับท่านผู้บัญชาการไปด้วยกันเช่นท่านอีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านี้ท่านรับใช้ท่านผู้บัญชาการมาถึง 1,456 ปีใช่ไหม?
ข้าไม่เคยได้ยินใครที่จะถนอมรักษาความรักได้นานถึง 1,456 ปีมาก่อน โอ้ ช่างเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่นัก
ข้ามั่นใจว่า แม้แต่เทพีแห่งความรักอย่างอโฟรไดทิ ก็ยังต้องคุกเข่ายอมแพ้ต่อหน้าท่านเบเลธ”
ผมอธิบายออกมาเสียงดังฟังชัด
“ทั้งในแง่สถานะและการอุทิศตน ไม่มีใครอื่นใดจะสามารถเอาชนะท่านเบเลธได้ ข้ามั่นใจว่า ท่านเบเลธจะต้องกลายเป็นคู่หูของท่านผู้บัญชาการเป็นแน่
ไม่ต้องสงสัยเลยชะตากรรมที่ผ่านมานับพันปี
จากวันนี้เป็นต้นไปข้างจะค่อยช่วยเหลือท่านอย่างลับๆนะ ท่านเบเลธ”
“ช่วยเหลือข้า…… อย่างไรล่ะ?”
“ช่วยอย่างไรหรือครับ? เห็นกันชัดๆอยู่แล้ว ข้าจะช่วยให้ท่านเบเลธนั้นเชื่อมต่อกับความรักที่ไม่ต้องการการตอบแทน
ข้าที่มิได้เป็นอะไรมากไปกว่าของเล่น แต่ข้าก็ยังคงเป็นคนรักของท่านผู้บัญชาการ ดังนั้นข้าจะเปิดเผยว่า
ท่านบาร์บาทอสชอบผู้ชายแบบไหน ชอบของขวัญแบบใด ข้อมูลต่างๆเหล่านี้จะส่งมาถึงท่าน”
ดวงตาของเบเลธเปิดกว้าง
“นี่แกเอาจริง? แกจะทำแบบนั้นให้ข้าจริงๆหรือ?”
“ข้าดันทาเลี่ยน แม้จะเห็นข้าเป็นเช่นนี้ แต่ข้าไม่เคยโกหกมาก่อนในชีวิตข้าง ท่านน่ะ ท่านคงไม่มีทางจะหาใครที่อยู่ห่างไกลการโกหกได้เท่าข้าอีกแล้ว”
ในโลกที่มีผมคนเดียวอยู่ในโลกนั่นแหละนะ
“โปรดเชื่อข้าเถิด แม้ท่านจะไม่เชื่อในความจริงใจของข้าก็ขอให้เชื่อในความโชคร้าย เชื่อในความโชคร้ายที่ข้าต้องโดนมัดไว้กับกำแพงและเฝ้าดูท่านบาร์บาทอสเปลือยเปล่าหกชั่วโมงโดยไม่อาจทำอะไรได้
ท่านเบเลธ! การแต่งงานของท่านกับนายท่านผู้บัญชาการจะปลดปล่อยข้าจากขุมนรกได้!”
“แก……แกนี่มันช่าง…….”
เบเลธถึงกับช็อค
“แกนี่มันช่างเป็นคนดีจริงๆ!”
เขาอ้าแขนกว้างๆแล้วดึงผมเข้าไปกอด
แกร่ก ผมได้ยินเสียงกระดูกตัวเองหัก ผมว่ากระดูกแขนผมคงหักแล้วล่ะ มีความรู้สึกเจ็บทิ่มแทงแขนผมอยู่
ผมครางออกมาเบาๆ โดยที่ไม่ลืมที่จะยังรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้
“ข้าขอโทษ ข้าเข้าใจแกผิดมาตลอดเลยยย!”
“ท่านผู้บัญชาการน่ะออกเป็นคนขี้เล่นมากไปหน่อย ดังนั้น……อั่ก ท่านก็เลยชอบพูดอะไรแบบนั้นออกมาง่ายๆ เพื่อหวังจะปั่นหัวคนอื่นให้เข้าใจผิด”
“ใช่ๆ แกพูดถูกเลย ท่านบาร์บาทอสนั้นมีด้านขี้เล่นซุกซนอย่างนั้นจริง!”
เธอไม่ใช่แค่มีด้านที่ขี้เล่น แต่จุดศูนย์กลางของการขี้แกล้งตัวแม่เลยล่ะ
“ดันทาเลี่ยน ไม่สิ น้องชายข้า! ถ้าแกช่วยเรื่องความรักของข้าแล้วนะ ข้าจะตอบแทนอย่างแน่นอน แม้เทพีไม่เคยตอบรับความจริงใจและการอุทิศตนของข้ามานับ 1,400ปีก็ตาม แต่ตัวข้า จอมมารลำดับ 13 เบเลธ จะไม่มีวันลืมการสนับสนุนของน้องชายข้าเลย”
“ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง”
ผมฉีกยิ้มอย่างเป็นสุข แม้มุมปากจะสั่นระริกเพราะความเจ็บปวดที่แล่นมาที่แขนอยู่ก็ตาม
“ข้าจะปฏิบัติกับท่านเบเลธเป็นเหมือนพี่ชายของข้านับจากนี้ก็แล้วกัน โปรดยอมรับสายสัมพันธ์พี่น้องด้วย”
“อ้า ได้สิ ไอ้น้องชาย! ข้าจะดูแลเจ้าเอง! แม้พวกเราจะมิได้เกิด เวลาเดียวกัน วันเดียวกัน ราตรีเดียวกัน แต่ก็จะขอตาย เวลาเดียวกัน วันเดียวกัน ราตรีเดียวกันกับน้องชายข้า!!”
พวกเรากอดกันอย่างแนบแน่น ผมรู้สึกได้ถึงเสียงกระดูกหักอีกครั้ง แขนผมมันไม่อาจทนแรงอัดของลูกครึ่งออเกอร์นี่ได้ เสียงซาวด์เอเฟ็คดังขึ้นในหูผม หลังจากนิ่งมานาน
「ค่าความชอบของจอมมารเบเลธถึง 20」
「ท่านได้เข้าสู่ความสัมพันธ์การเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับจอมมารเบเลธ! ด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับตัวตนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ค่าชื่อเสียง(ชื่อเสีย)ของท่านจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว」
……ก็แบบนั้นแหละ พวกเราก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน
เบเลธกับข้า และต่อจากนั้น ก็มีนายพลเซปาร์เข้ามาร่วมด้วย พวกเราเป็นที่รู้จักกันในนาม สามพี่น้องแห่งฝ่ายที่ราบ
นั่นจะเป็นตำนานที่บิดเบือนก็แล้ว บิดเบี้ยวอีก
จนกลายเป็นตำนานที่ว่าด้วย จิตวิญญาณแห่งกองทัพ นายพลและนักปราชญ์ที่ให้คำสัญญาว่าจะเป็นพี่น้องด้วยเหตุผลเดียว
แม้ในความเป็นจริงแล้วนั้น มันก็แค่ 2 โลลิค่อน กับ 1 อาชญากร ก็ตาม
สิ่งที่เรียกว่า ชีวิต นี่มันประหลาดชะมัด
(TTL : ขาดฉากหลังเป็นสวนดอกท้อไป ส่วนสามหน่อตกลงกันเองนะว่าใครจะเป็น เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย 555)
* * *
4วันผ่านไปนับตั้งแต่ที่พวกเราตั้งแคมป์กันหน้าป้อมปราการแดง
ช่วงนั้นเองมาร์คกราฟก็เริ่มส่งกำลังทหารมาแล้ว พวกเราก็กำลังรอพวกเขาอยู่เลย มันมีสัญญาไม่เป็นทางการต่อกันระหว่างทัพจอมมารกับกองกำลังทหาร
พื้นฐานแล้ว เนื้อมนุษย์นั้นเป็นเสบียงสำหรับกองทัพจอมมาร
ดังนั้นจึงสามารถลากยาวจากการรบขนาดย่อมไปสู่การรบขนาดใหญ่ได้ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพมากในการรบขนาดใหญ่ในช่วงเวลาสั้นๆ
วิธีนี้มันเป็นวิธีหาเสบียงอย่างง่าย
กองทัพมนุษย์นั้นชอบการรบครั้งใหญ่แล้วพลิกมันให้กลายเป็นการต่อสู้ขนาดย่อมมากกว่า
ดังนั้นพวกทัพจอมมารจะต้องถูกบังคับให้กระจายตัว กระจายทหารออกไป
ในทางกลับกันการที่หมู่บ้านของมนุษย์นั้นโดนเผาทำลายด้วยมอนสเตอร์ ต่อให้ฝ่ายมนุษย์เป็นผู้ชนะแต่ผู้คนที่หนีหายไปจากดินแดนที่รบกันก็ไม่มีทางที่จะกลับมาฟื้นฟูได้อีก
สำหรับท่านลอร์ดเจ้าของดินแดนแห่งนั้น ชาวบ้านไม่ได้เป็นเพียงทรัพยากรที่มีไว้ใช้เก็บภาษี แต่ละคนนั้นต่างเป็นแนวหน้าสำหรับสู้กับมอนสเตอร์ด้วย
มีมอนสเตอร์อยู่ทั่วทั้งทวีปที่ไม่ได้อยู่ใต้การนำของจอมมาร ก็อบลินต่างอาศัยอยู่ในภูเขาหลังหมู่บ้าน
และก็เป็นหน้าที่ของชาวบ้านที่จะปราบปรามเจ้ามอนสเตอร์กลุ่มน้อยพวกนั้น
ชาวบ้านนั้นต่างจัดตั้งกองทหารและกำจัดมอนสเตอร์ใกล้เคียงด้วยตัวเอง
หากจำนวนหมู่บ้านที่ถูกทำลายไปมีจำนวนมากในระยะเวลาสั้นๆแล้ว
มอนสเตอร์จะใช้โอกาสนี้ในการเพิ่มขุมกำลังของตนเมื่อทหารชาวบ้านไม่อยู่
จากมุมมองของลอร์ดเจ้าของดินแดน ชาวบ้านมิได้เป็นเพียงแหล่งรายได้เท่านั้น
แต่เขายังเป็นหน่วยทหารที่คอยควบคุมประชากรมอนสเตอร์อีกด้วย พวกเขาจึงทอดทิ้งไปเลยไม่ได้
ในแง่นี้ชาวบ้านโลกนี้มีเสียงที่ดังกว่าในโลกเดิมของผม เหล่าชาติต่างๆไม่อาจกดชี่สามัญชนได้หากพวกเขาไม่ได้รวมศูนย์กลางอำนาจที่แข็งแกร่งพอ
ซึ่งนั่นก็เป็นหนทางเดียวนี่แหละ
พวกลอร์ดตามท้องที่ต่างๆมันไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าไหร่และบอกให้หมู่บ้านทั้งหลายดูแลกันเองตามมีตามเกิด สวัสดิการการดูแลค่อนข้างแย่
กาฬโรคเป็นตัวอย่างที่ดี ตอนที่กาฬโรคเริ่มระบาดขึ้นทั่วทั้งทวีป ลอร์ดทั้งหลายต่างดูแลครอบครัวตัวเองก่อน
และหากเขาจะกระจายการรักษาไป โดยมากก็จะเป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดกับปราสาทของพวกเขาเท่านั้น
แม้จะมีข่าวลือว่า มีลอร์ดบางคนฉวยโอกาสจากกาฬโรคนี้บีบให้หมู่บ้านต่างๆส่งสมุนไพรดำมาให้
แม้สถานการณ์จะร้ายแรงมาก แต่เป็นเรื่องตลกที่จะคาดหวังความสัมพันธ์อันดีจากชนชั้นสูงกับสามัญชน เมืองกับชนบท ให้เกิดขึ้น
หากไปสุ่มถามสามัญชนคนทั่วไปว่า มาจากไหนโดยมากก็จะตอบว่า มาจากหมู่บ้านไหน แทนที่จะบอกว่า เป็นประชาชนของจักรวรรดิฮับบวร์ก
ครั้งเดียวที่พวกเขารวมกลุ่มด้วยกัน คือ ตอนที่มอนสเตอร์บุกมาจำนวนมากอย่างตอนสงครามทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา
มีเพียงกองกำลังที่ปกป้องภูเขาดำเท่านั้นแหละที่เป็นอย่างนั้น ซึ่งนับว่าเป็นกรณีที่หายากมาก
ดังนั้นแล้วทั้งฝ่ายกองทัพจอมมารและกองทัพมนุษย์ต่างคาดหวังว่า จะมีการรบครั้งใหญ่
พวกเราได้รับข่าวที่ว่า มาร์คกราฟนั้นระดมกำลังทหาร มีจำนวนกำลังพลราว 35,000 นาย
เป็นเรื่องผิดปกติมากที่มีทหารม้าถึง 1,500 นาย
ด้วยเหตุนี้ พันธมิตรเสี้ยวจันทรา กองทัพภาค 6 จึงได้มาประชุมกัน
“เจ้าพวกฝูงสัตว์จอมดื้อนั่นพยายามรวมก๊วนให้อยู่ในจุดเดียว”
บาร์บาทอสพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ
พวกเราอยู่กันในเต๊นท์ใหญ่ จอมมารทั้ง 18 ตนต่างนั่งเรียงเต็มโต๊ะทั่งสองฝั่งโดยมีบาร์บาทอสนั่งไขว่ห้าง อยู่ ณ ที่นั่งอันทรงเกียรติ
“แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าหมูนั่นมันก็กลายเป็นออร์คแล้ว ได้เวลาที่จะแสดงให้พวกมันเห็นว่า ที่ของมันไม่ใช่ที่นี่ แต่มีข่าวที่ไม่น่าฟังมาข่าวหนึ่ง”
มุมปากของเธอยกหยัน
“ไพมอน นังกะหรี่แห่งกองทัพภาค 1 แม่งไม่ขยับเลย
นังจิ๋มหลวมนั่นคงอยากให้เรากับพวกมนุษย์ซัดกันเองให้ราบก่อน
ยังทำตัวสาระยำเหมือนเคยเลย อีกะหรี่
การกำจัดพวกมนุษย์เป็นสิ่งที่พวกเราอยากทำอยู่แล้ว แต่ข้าต้องเลี่ยงการให้อีนั่นมันได้ในสิ่งที่ต้องการด้วย”
บาร์บาทอสมองไปรอบโต๊ะ
“ข้าต้องการที่จะกวาดล้างมนุษย์โดยที่ไม่ให้เป็นไปตามแผนอีไพมอน มีใครอยากเสนอไอเดียดีๆไหม? ไม่ต้องอาย บอกมาเลยว่า มีไอเดียอะไรมั่ง”
ความเงียบเข้าปกคลุมเต๊นท์ทั้งเต๊นท์ มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วล่ะ
บาร์บาทอสเพิ่งจะถามทุกคนว่า มีหนทางใดบ้างที่จะกำจัดมาร์คกราฟไปโดยไม่ต้องเสียอะไรเลยไหม
ไอ้เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
บาร์บาทอสก็คงคาดไว้แล้วจึงเดาะลิ้น จอมมารคนอื่นหลบสายตาเธออย่างกระอักกระอ่วน
ตอนนั้นเองที่มีจอมมารตนหนึ่งยกมือขึ้น
มันเป็นมือขวาของผมเองแหละ
MANGA DISCUSSION