* * *
การรบเข้าใกล้ช่วงสุดท้ายแล้ว กองทหารของมนุษย์นั้นที่เริ่มต้นจาก 2,000 นาย ตอนนี้เหลือคร่าวๆเพียง 1,000 นาย แถมยังสู้แยกจากกันอีกด้วย
ในระดับกำลังพลแล้ว ทหารของพวกเขาหายไป 50 เปอเซ็นต์ จะเรียกว่า เป็นการฆ่าล้างเลยก็ว่าได้
แถมพวกเขายังตกอยู่ในวงล้อมด้วย มันไม่มีหวังเลยที่จะรอดชีวิตได้ แต่ถึงอย่างนั้น…….
“ช่างดื้อด้านอะไรเช่นนี้”
เซปาร์บ่นขึ้นด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์นัก มันก็จริงอย่างว่า พวกมนุษย์นั้นต่อต้านราวกับหมาล่าเนื้อ
จากจุดนั้นไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ว่า ตัวเองตกอยู่ในกับดักโดยสมบูรณ์แล้ว แต่พวกเขาก็ยังต่อต้านอย่างสิ้นหวัง
“ฮัช ข้าไม่เข้าใจเลย เจ้าพวกแมลงสาบนี่…….พวกมันยังหวังว่า จะพลิกสถานการณ์ได้อีกหรืออย่างไร?”
เสียงของ ลำดับ 58 อามิอิ บ่นขึ้นด้วยเช่นกัน เขาเข้าร่วมกับพวกเราด้วยการนำทัพ มอนสเตอร์ 500 ตัวส่งไปยังแนวหน้า
เขาเป็นผู้นำทัพที่ล่อให้ทหารจักรวรรดิออกมา ก็ไม่ผิดนักหรอกที่จะพูดว่า เขาเสียสละมากที่สุดในการศึกนี้
นี่เขาเลิกกระหายชัยชนะแล้วรึยังกันนะ?
ตอนนี้เขาเจ้าอารมณ์น้อยลงเมื่อเทียบกับก่อนหน้า แต่บางทีเขาก็หันหน้าไปทางอื่นราวกับหวาดกลัวตอนที่สบตากับผม…….
นิสัยแย่ชะมัดเลยน้า ถ้าแสดงออกชัดๆว่ากลัวก็สุดแสนจะทำร้ายความรู้สึกกันเลยจริงๆ ทั้งที่จากภาพลักษณ์ภายนอกเนี่ย ผมออกจะเป็นคนที่ใจดีที่สุดในโลกจอมมารแล้ว
อย่าหลบหน้าผมเลยได้โปรดเถอะน่า
ผมจึงพูดขึ้น
“พวกเขาดูเหมือนจะเข้าใจเป้าหมายของเราแล้ว”
“พวกเขารู้แล้วรึว่า เป้าหมายของพวกเราคืออะไร?”
เซปาร์ถามกลับมา อามิอิยังคงหลบสายตาผมต่อไป นี่ถ้าเขายังเป็นแบบนี้ต่อนี่ผมเจ็บปวดใจจริงๆแล้วนะ
……. แต่แหมก็นะ ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสนทนาอย่างใจเย็นต่อไป
และรอโอกาสดีๆให้ได้พูดคุยกับจอมมารหน้าใหม่
“เป็นไปได้สูงมากเลยว่า พวกเขาจะปะติดปะต่อเรื่องราวแล้วคาดการณ์ได้แล้วว่า พวกเราเป็นแนวหน้าของพันธมิตรเสี้ยวจันทรา
ข้าเชื่อว่าพวกเขาตั้งใจจะถ่วงเวลาเราในนานที่สุดก่อนที่พวกเราจะไปถึง ป้อมปราการแดง”
“ข้าเข้าใจแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงมีหวังทั้งที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังก็ตาม”
เซปาร์พยักหน้าอย่างประทับใจแม้ใบหน้าจะยังดูสูงส่ง
นี่เซปาร์รู้สึกพอใจกับมนุษย์ที่ยังดิ้นรนต่อสู้ในวาระสุดท้ายหรือเปล่านะ?
มันเป็นความหวังเดียวอย่างนั้นหรือ……?
“มันก็เหมือนกับกล่องแพนโดร่านั่นแหละ”
จอมมารตนอื่นมองผมด้วยแววตาสงสัย
โอ้ย ลืมไปเลย ดูเหมือนตำนานแพนโดร่าจะไม่มีในโลกนี้นี่นะ
ก็ดีเหมือนกัน ระหว่างการสู้รบที่น่าเบื่อ ผมก็เลยเล่าให้ฟังพวกเขาฟังเพื่อฆ่าเวลาก็แล้วกัน
มันเป็นเรื่องราวของตราบใดที่ยังมีความหวังอยู่ มนุษย์ก็ยังสามารถทนต่อความยากลำบากของชีวิตได้
ผู้แต่งตำนานนี้ได้บิดความเชื่อเรื่องนั้นแล้วสร้างเรื่องเล่าเกี่ยวกับ <กล่องแพนโดร่า>
ความจริงแล้ว ความหวังนั้นไม่ได้มีอยู่ที่ไหนในโลกเลย และมันอยู่ในกล่องที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อเล่นตลก
มนุษย์ยังไม่ตระหนักถึงสิ่งนั้น จนกระทั่งใช้ทุกลมหายใจเพื่อเฝ้าตามหาความหวัง…….
“ดังนั้น ตัวความหวังนั่นเองที่เป็นหายนะสำหรับเหล่ามนุษย์”
เสียงของเซปาร์ที่พูดขึ้นเมื่อเรื่องเล่าดังกล่าวมันถูกใจเขา
ผมเห็นด้วยกับข้อสรุปของเขา เรื่องนั้นมันไม่ได้ยกย่องชมเชยแนวคิดของความหวังแม้แต่น้อย
ตัวเรื่องเองนั้นออกจะเยาะเย้ยถากถางโดยผู้แต่งต้องการจะเตือนผู้คนที่มีความหวังว่า มันพร้อมที่จะกลายเป็นหายนะได้เสมอ
เป็นเทพนิยายที่ดูเข้ากับรสนิยมจอมมารมากเสียจนพวกเขาหัวเราะเอิ้กออกมาราวกับเป็นเรื่องน่าสนใจ
เฮ่ออออ อย่างที่ผมคิดจริงๆ พวกจอมมารนี่มันพวกวิปริตไซโคพาธจริงๆ
นี่แม่ผมจะทำยังไงนะถ้าพบว่า ลูกชายตัวเองไปเที่ยวเล่นกับคนพวกนี้?
‘นี่ลูกชายแสนใจดีของฉันไปคบหากับพวกนักเลงชั่วแบบนี้เหรอ……?’
เธอคงพูดอะไรประมาณนี้ออกมาพลางเช็ดน้ำตา เรื่องนี้เป็นปัญหาน่าดูเลยล่ะ ผมอาจจะแปดเปื้อนถ้ายังเกลือกกลั้วกับเจ้าพวกนี้ด้วย
ใช่แล้วล่ะ ผมต้องระวังไม่ให้ความใสซื่อบริสุทธิ์ของผมไม่ให้ได้รับอิทธิพลแย่ๆจากพวกนี้
(TTL : ….ช่างกล้าพูด)
“แต่ข้าไม่ชอบเช่นนั้นเลย พวกเราดูอ่อนแอหากหายนะที่พวกเขาเจอนั้นยังคงมีความหวังอยู่”
ผมหัวเราะหึ
“จอมมารสมควรที่จะเป็นหายนะเหนือหายนะทั้งปวง พวกเราไม่อาจทำให้นายท่านอับอายโดยการที่ทำให้พวกนั้นยังมีความหวังอยู่”
“โอ้ ? ดันทาเลี่ยน นี่ท่านมีแผนรึ?”
เซปาร์มองผมแววตาที่สนอกสนใจ
แหม ชายคนนี้นี่ แม้ยากที่จะบอกว่า ใบหน้าของเขานั้นดูสูงส่งเพียงใด
แต่ก็ยังเป็นไอ้โรคจิตตัวหนึ่งอยู่ดี ผมแทบจะได้ยินเสียงบ่นด่าจากในใจได้เลย
แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่น้า
เขาเป็นหัวหน้าของผม และผมก็เป็นเพียงลูกน้องผู้น่าสงสาร
ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากน้อมรับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง
(TTL : เออ เอาที่พรี่สบายใจเลยครับ!!!)
“ข้าต้องขออภัยด้วย แต่ยังมีไพ่ตายที่ข้ายังซ่อนอยู่เผื่อมีกรณีนี้เกิดขึ้น หากนายท่านอนุญาต ข้าจะขอใช้มัน”
“ดีมาก ข้าจะให้อภัยกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่า เจ้าจะมีไพ่ตายแบบไหนอยู่ และข้าก็อยากจะเห็นมันด้วยเช่นกัน”
เซปาร์นั้นขอคำยืนยันจากผู้คนรอบๆ ทั้งเบเลม อามิอิ และจอมมารคนอื่นต่างผงกหัวตอบรับ
ด้วยเหตุนั้นการกระทำของผมไม่เพียงได้รับการอภัยจากจอมมารเซปาร์ แต่อีกทั้งยังกับผู้บัญชาการแนวหน้าคนอื่นอีกด้วย
อำนาจความรับผิดชอบเปลี่ยนมือแล้วนะ เจ้าพวกจอมมารหน้าใหม่จะรู้เรื่องไหมนะ?
เขารู้กันไหมนะว่า จุดอ่อนเดียวของเซปาร์หายไปในทันทีด้วยการพยักหน้าเพียงครั้งเดียว?
พวกเขาคงไม่มีทางรู้แน่ๆ
เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกจากไรฟันของผม อามิอิคงได้ยินเสียงหัวเราะของผมแน่ ไหล่เขาจึงสั่นน้อยๆ
ความจริงการที่เขาตอบสนองของกับทุกการกระทำเล็กๆน้อยๆของผม มันเอนเตอร์เทนผมสุดๆไปเลย
ดูเหมือนผมจะเริ่มเสพติดมันด้วยนะ
ขอโทษครับ แม่ครับ ลูกชายจอมดื้อของคุณแม่ติดนิสัยแย่ๆของพวกนั้นซะแล้ว…….
ไพ่ตายของผมคือ <เดธไน้ท์>ที่ได้มาจากบาร์บาทอส
โดยปกติแล้ว พวกเขาจะอยู่ในรูปแบบวิญญาณ
แต่ตอนนี้พวกเขาคอยวนรอบผมอยู่ พอผมสั่งปุ๊บพวกเขาก็โผล่มาในทันที
พออัศวินแห่งความตายทั้ง 12 โผล่ตัวออกมา จอมมารทั้งหลายก็ส่งเสียงด้วยความประหลาดใจ เดธไน้ท์นั้นมีพละกำลังเทียบเท่าได้กับออเกอร์
แต่ถึงอย่างพวกเขาก็ตัวเล็กเท่ามนุษย์แถมยังสามารถล่องหนได้ด้วย จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขาน่ะยอดเยี่ยมยิ่งกว่าออเกอร์
“เลิศมาก! สิงโตแม้ต่อสู้อย่างทุ่มสุดกำลังก็ยังคงซ่อนเล็บไว้”
เซปาร์ปรบมือ ในขณะที่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเริงร่า ดวงตาของเขานั้นคมกริบ
พรรคพวกของเขารู้จักซ่อนพลังที่แท้จริงโดยเก็บงำมันไว้ หากพวกเราส่งเดธไน้ท์ไปตั้งแต่แรก ป้อมปราการก็คงถูกยึดได้ง่ายยิ่งกว่านี้
แต่หากผมทำเกินกว่าเหตุระดับนั้นไป มันก็ไม่ต่างจากช่วยเอื้อประโยชน์ให้พวกศัตรูนั่นแหละ
ผมค้อมหัวให้ด้วยความเคารพ
“เมื่อข้าได้รับอนุญาตแล้ว จะขอจบการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของพวกเขาซะ”
“เข้าใจแล้วล่ะ ข้าอนุญาต”
ผมสั่งการให้ลอร่ากำจัดเหล่าผู้บัญชาการระดับสูงของศัตรูในทันที
เหตุผลที่ผมไม่สั่งเดธไน้ท์โดยตรงแต่เลือกสั่งการผ่านลอร่าเพราะอยากให้ลอร่าได้รับค่าประสบการณ์
ผมหวังจะมอบค่าประสบการณ์ที่มีนี้ให้ลอร่า นับตั้งแต่ที่พวกเราจัดการกับปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E
ด้วยเหตุนี้ ค่าสแตทของลอร่าจึงน่าประทับใจสุดๆ
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
ชื่อ: ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ (Laura De Farnese)
เผ่า: มนุษย์ ฝ่าย: กองทัพจอมมารดันทาเลี่ยน
สถานะ: เป็นกลางNeutral(-10)
เลเวล: 31 ชื่อเสียง: 512
อาชีพ: นักวางแผน(B), ผู้รอบรู้(D), ทาสกาม(D)
ความเป็นผู้นำ: 81 อำนาจ: 11 ค่าความฉลาด: 84
ไหวพริบ: 10 เสน่ห์: 57 เทคนิค: 1
ค่าความชอบ: 76
ความจงรักภักดี: 99
*ฉายา: 1. บุตรีดยุค(ผู้ร่วงหล่น) 2. อัจฉริยะ 3. ผู้จงรักภักดี
*อบิลิตี้: ทักษะการขี่ม้า B, วาทศิลป์ B, ดนตรี C, กลยุทธ B+, เรขาคณิต D, ศิลปะเชิงปฏิบัติการณ์ C
*สกิล: –
ความคิดตอนนี้: ‘หืมม, นี่มันง่ายยิ่งกว่าหักคอไก่อีกนะเนี่ย’
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
มันมีความต่างที่ชัดเจนมากระหว่างผมที่ยังคงเลเวล 24 กับเธอ เธอนั้นน่าเชื่อถือ ผมจึงออกคำสั่งให้ลอร่า ‘จับเป็นผู้บัญชาการที่ชื่อว่า เคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์’
เธอแสดงความเคารพอย่างน่าเกรงขามและจากไปพร้อมกับอัศวินทั้ง 12
แล้วทุกอย่างก็มาอยู่ตรงหน้าเราตอนนี้
ถึงจะมีแค่เพียง 12 ตน แต่ก็เหมือนกับออเกอร์ที่มีรูปร่างเล็กที่พร้อมจะพุ่งเข้าใส่ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเดธไน้ท์เนี่ย สามารถกันความเสียหายทางกายภาพได้ถึง 80%
ไม่เพียงแค่เหมือนกันในแง่พละกำลังและการป้องกันนะ แต่ลองคิดดูสิ สร้างความเสียหายได้เพียง 20% เท่านั้นหากฟันด้วยดาบ หากในหน่วยไม่มีนักเวทย์เลย นี่ก็ไม่ต่างจาก ยมทูตลงมาเกี่ยววิญญาณบนสนามรบด้วยซ้ำ
มอนสเตอร์ได้ถาโถมเข้าด้วยการเปิดทางของเดธไน้ท์ การรบจบลงแบบนั้นแหละ มนุษย์ที่รอดอยู่มาถึง 40 นาทีก็ถูกโอบล้อม แล้วถูกกำจัดอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้รับการแจ้งเตือนต่อเนื่อง 5 ครั้งว่า เลเวลของลอร่านั้นเพิ่มขึ้นแล้ว
ความสำเร็จของเธอในการทลายแนวรบและกำจัดผู้บัญชาการระดับสูงของอีกฝ่ายต้องเป็นที่ประจักษ์แน่ๆ
“ชายคนนี้คือ เคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์ ค่ะ ฝ่าบาท”
ลอร่ากลับมาพร้อมกับเหล่าอัศวิน
ผมสีบลอนด์ของเธอย้อมไปด้วยเลือดสีแดง ดวงตาของผมแถมจะเน่าไปถึงแก่นแล้วแน่ๆที่เห็นว่า มันช่างงดงามยิ่ง
“ไอ้พวกเรื้อนสวะเอ๊ย!”
มนุษย์เพศชายนั้นถูกหิ้วมาด้วยเดธไน้ท์สองตน เขายังคงสบถทั้งที่ยังเลือดยังไหลออกมาจากปาก
จากที่เห็นแล้ว แขนขวาของเขาบาดเจ็บหนัก ลอร่าโค้งให้แทนคำขอโทษ
“ฉันต้องขออภัยค่ะ เขาต่อต้านอย่างหนัก…….”
“อ้า ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวแขนก็งอกมาใหม่ได้เองนั่นแหละ”
“…….”
พวกจอมมารหน้าใหม่มองผมด้วยแววตาตกตะลึง
เหมือนพวกเขาจะบอกผ่านสายตาว่า แขนน่ะมันไม่ได้งอกได้เหมือนเส้นผมนะ
มันทำให้ผมเศร้าชะมัด มันก็แค่ ตลกร้ายเฉยๆน่า
เคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์ คนที่กำลังกระอักเลือดตรงหน้า ก็มองมาที่ผม
“ข้าเป็นผู้เชื้อเชิญเจ้ามาที่นี่เองแหละ เคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์ ข้าสนใจในตัวเจ้ามาสักพักแล้ว”
“……มาสักพัก?”
“ถูกแล้ว เป็นเวลานานมากเลยล่ะ”
ผมยิ้มอย่างสุภาพ
ตอนนั้นเองที่ผมเช็คสเตตัสของเขา
บิงโก
เขานี่แหละบุคคลที่ผมตามหา ใบหน้าเขาก็ดูคล้ายๆกับงานภาพที่เห็นในเกม อาจจะเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วเลยล่ะ
แต่สิ่งเดียวที่แปลกคือ การแต่งกาย ผมได้ยินว่า เขาน่าจะเป็นรักษาการณ์ผู้บัญชาการนี่
แต่เครื่องแต่งกายมันทำให้ผมนึกถึงชนชั้นสูงมากกว่า แถมยังมีตราตระกูลอยู่บนเกราะอกด้วย
ผมเอียงคอ
“เจ้าไม่ใช่สามัญชนรึ?”
“……นายท่านตายในการต่อสู้”
“อะฮ่า ดังนั้นผู้ช่วยที่มีปูมหลังเป็นสามัญชนจึงต้องแสร้งทำตัวเป็นผู้บัญชานี่เอง”
ผมเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดีแล้ว นับตั้งแต่ผู้บัญชาการสูงสุดตาย เหลือแต่เหล่าผู้บัญชาการระดับรอง ทหารก็ต้องแตกตื่นกันแน่
เพื่อปกปิดข่าวการตาย เคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์ จึงต้องสวมเกราะของผู้บัญชาการสูงสุดแทน
อย่างที่คิดไว้จริงๆสมแล้วกับที่เป็น นายพลผู้มีความรับผิดชอบต่อทหารใน<Dungeon Attack>
“นั่นก็หมายว่า เจ้าน่ะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของมนุษย์ในตอนนี้ แต่ถึงอย่างนั้นกองทัพของมนุษย์ก็ถูกลิขิตมาให้แพ้แล้วอยู่ดี”
“ถุ้ย!”
เคิร์ซถ่มน้ำลายออกมา โดนตาซ้ายของผม
ด้วยรอยยิ้มที่ริมฝีปาก ผมเช็ดน้ำลายทิ้ง มันปนเข้ากับเลือดเหนียวเหนอะ
……เอาล่ะ จะยังไงก็ตาม ผมได้ยืนยันตัวตนของเขาแล้ว ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องไปสนใจอะไรเขาอีก
ผมควักมีดมาแล้วแทงไปที่หน้าผากของเคิร์ซ สัมผัสว่า กระโหลกศีรษะแตกจากข้างในส่งผ่านมาถึงมีดในมือ
ร่างของเคิร์ซนั้นอ่อนแรงและร่วงลงกับพื้นทันที ความมืดปกคลุมดวงตาของเขา
สุดท้ายแล้ว คำพูดสั่งเสียสุดท้ายของเขาก็กลายเป็น ‘ถุ้ย!’
นี่ยังไม่นับว่าเป็นฉากจบที่น่าประทับใจอย่างนั้นหรือ?
ถ้าไม่ติดว่า มีคนอื่นเฝ้าจับตาดูผมอยู่ตอนนี้นะ ผมคงจะปรบมือให้เขาไปแล้วแหละ
ผมรอสักพัก เคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์ ที่เป็นคนสำคัญในเนื้อเรื่องหลักของ <Dungeon Attack>
ด้วยการฆ่าเขาได้ ผมน่าจะได้รับรางวัลเป็นค่าประสบการณ์อีกมากมาย นั่นคือ สิ่งสุดท้ายที่ผมคาดหวังว่าจะได้รับผ่านการต่อสู้นี้
แต่ถึงอย่างนั้น
“……?”
แม้จะผ่านไปหลายวินาที ผมก็ไม่ได้รับการแจ้งเตือนใดเลย
ผมตรวจสอบศพของของเคิร์ซดู
เขาอาจจะไม่ได้ตายจริง แต่การที่หัวโดนเจาะแทงเข้าไปแล้วไม่ตายนั่นหมายความว่า เคิร์ซเป็นซอมบี้ไม่ใช่มนุษย์ แปลกชะมัด
‘อะไรกัน? ทำไมการแจ้งเตือน เควสเบรคเกอร์ถึงไม่โผล่มา?’
ท่าทางที่ผมส่ายหัวมันดูแปลกรึเปล่านะ ผมแอบสงสัย
เซปาร์ถึงได้ถามผมว่า มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น ผมบอกเขาว่า ไม่มีอะไร
ผมไม่อาจบอกเขาได้ว่า ผมไม่ได้รับรางวัลจากการทำลายเควส
ผมยิ้มแหยๆออกมา
“ไม่มีอะไรครับ นายท่าน โปรดเฉลิมฉลองชัยชนะของเรากันเถอะ”
แล้วการรบก็จบลง
ปฏิบัติการ <Flytrap> จบลงด้วยความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ เราเสียออเกอร์ไปแค่สามตัวและมอนสเตอร์ยิบย่อยราว 500 ตัว พวกมนุษย์สูญเสียทหารทั้งหมดทั้งที่ประจำการป้อมปราการเขียว ,น้ำเงิน,ทอง และแดง สรุปคร่าวๆแล้วก็ประมาณ 3,000 นาย
รุ่งอรุณมาถึงแล้ว
แสงจากรุ่งอรุณฉายลงไปยังพื้นที่เต็มไปด้วยศพมนุษย์ มอนสเตอร์ทำอาหารจากศพพวกนั้นตลอดทั้งคืน พวกมันวิ่งวุ่นอยู่ตลอด
เสาเพลิงสีดำพวยพุ่งขึ้น เติมเต็มท้องฟ้าในยามเช้า ผมตั้งคำถามกับตัวเองตอนที่มองฉากตรงหน้า
“……ข้าทำอะไรผิดพลาดไป?”
ไม่มีใครสามารถตอบคำถามนั้นของผมได้แม้แต่คนเดียว
ในท้ายที่สุดแล้วผมตัดสินใจที่จะสบายใจกับชัยชนะเมื่อกลับไปที่ศูนย์บัญชาการ
เซปาร์และจอมมารหน้าใหม่ต่างชื่นชมยินดีกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา แต่ถึงแม้ภายนอกผมจะแสดงท่าทางมีความสุข
แต่ในมุมหนึ่งผมกลับรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
ความรู้สึกชวนให้อึดอัดใจนั้นยังคงคืบคลานตามหลังผมมาเหมือนเป็นเงา
MANGA DISCUSSION