* * *
ข้ารังเกียจการเมือง! และข้ารังเกียจชนชั้นสูงยิ่งกว่า
นั่นเป็นความเห็นจากใจจริงของเคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์ (Kurz Schleiermacher)
ตอนนี้เขากำลังฟังคำบ่นของหัวหน้าอยู่ หัวหน้าของเขานั้นเป็นทั้งชนชั้นสูงและทหาร หากตัดเรื่องผมบลอนด์สลวยออกไปแล้ว ก็แทบไม่มีอะไรดีอยู่เลย
“ดู กลยุทธพวกนั้นสิ นายต้องยึดป้อมปราการให้ได้ก่อนที่จะสู้กับศัตรู”
ชนชั้นสูงหนุ่มบ่นออกมา
‘ข้าสงสัยจริงว่าคนผู้นี้เคยหิวโหยหนึ่งวันเต็มๆในชีวิตบ้างไหม’
มันเป็นช่วงเวลาที่เคิร์ซและพรรคพวกถูกศัตรูล้อมไว้และไม่มีเวลาแม้แต่จะมารู้สึกหิว นั่นแหละทหาร กลยุทธทางการทหารและความจริงนั้นต่างกัน หัวหน้าหนุ่มคนนี้เขาจะรู้เรื่องนี้ไหม……?
เคิร์ซแอบถอนใจเบาๆ
“เจ้าพวกมอนสเตอร์พวกนั้นมันพยายามที่จะยึดป้อมปราการให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้น”
ปัง
ชนชั้นสูงทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ
“แต่ทัพหลวงของพวกเรานั้นยังมีอีก 3 ป้อมปราการ! ประตูทั้งหลายสร้างขึ้นมานับพันปีที่ผ่าน พูดง่ายๆว่า กองทัพของเราชนะพวกมันมาเป็นพันปีแล้ว แถมเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเองก็เคยยกย่องว่า นี่เป็นสุดยอดกลยุทธ”
“เข้าใจแล้วครับ ข้าเองก็เข้าใจท่านเช่นกัน”
เคิร์ซนั้นให้ความเห็นโดยไม่ได้แสดงความรู้สึกจริงๆออกมา มันไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะแสดงความไม่พอใจออกมา แต่ถึงอย่างนั้น เคิร์ซก็รู้สึกว่า ข้างในของเขามันคงบิดเบี้ยวไปถ้าเขาไม่ปลดปล่อยความคับข้องใจออกมา
นั่นเป็นสาเหตุว่า ทำไมเขาถึงบอกว่า เขาเข้าใจความรู้สึกของหัวหน้า
ถ้าสาเหตุที่ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ทำนายได้จากผลสำเร็จเมื่อพันปีที่แล้ว ถ้าอย่างนั้นชายที่เป็นหัวหน้า ที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ก็ไม่จำเป็นน่ะสิ ความเห็นของเขานั้นเป็นการเย้ยหยันโดยแสร้งทำเป็นเยินยอ
“ฮ่าฮ่า ข้าเป็นทหารผู้น่าภาคภูมิใจของจักรวรรดิ มันคงจะน่าอายมากหากข้าทำอย่างนั้นไม่ได้”
หัวหน้าของเขาหัวเราะ อย่างที่คิดไว้นั่นแหละ เคิร์ซต้องพยายามกลั้นขำไว้
ดูเหมือนหัวหน้าของเขานั้นไม่รู้เลยว่า กำลังโดนล้อเลียนอยู่ หัวหน้าของเขานั้นเกิดในครอบครัวผู้มั่งคั่ง ได้รับการศึกษาที่ดี และยังได้รับการแต่งตั้งให้บัญชาการทหารชั้นเลิศ
ทั้งหมดนั่นคือ ตลอดชีวิตขุนนางของเขา หัวหน้าของเขาช่างใช้ชีวิตตรงข้ามกับชีวิตของเคิร์ซในฐานะสามัญชน
เคิร์ซไม่ได้ริษยา หากแต่รู้สึกอิจฉา เขาอิจฉาคนบางประเภทที่อยู่ได้โดยไม่ต้องใช้สมอง ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าประหลาดสำหรับเขา
เขายังคิดกับตัวเองเลยว่า หากผู้คนสามารถถอดสมองใส่สมองได้ดั่งใจ มันคงเป็นช่วงเวลาที่เขาจะต้องถอดสมองออกแน่นอน เพราะในฐานะมนุษย์แล้วการอยู่กับชนชั้นสูงมือใหม่ที่ไม่รู้เรื่องแม้แต่กลยุทธทางการทหาร นั้นมันหนักเกินไป
“ข้อความด่วนครับ ท่านครับ!”
ตอนนั้นเองที่ ผู้ส่งสารวิ่งเข้ามาในค่าย เคิร์ซดีใจจนอยากจะตะโกนเฮออกมาดังๆ
แต่ถึงอย่างนั้นจากประสบการณ์นับสิบปีในฐานะทหารชั้นดีทำให้เขารู้จักรักษามารยาท แถมเขายังแกล้งทำหน้าบึ้งตึงราวกับหัวข้อที่น่าสนใจที่คุยพูดคุยอยู่นั้นโดนขัดจังหวะ
เขามีพรสวรรค์ในการทำตัวเองให้ดูดีต่อหน้าหัวหน้าของตน
“อย่ามาเอะอะโวยวายน่า ที่นี่คือ ที่ทำงานของผู้บัญชาการ ว่าแต่มีอะไร?”
“คะ-ครับ ตอนนี้ป้อมปราการน้ำเงินส่งสัญญาณไฟครับ เป็นสัญญาณ ไฟสามดวง! การบุกรุกระยะที่สามครับ!”
แล้วมันก็เริ่มขึ้นจนได้!
หัวใจของเคิร์ซเต้นรัว
สัญญาณไฟดังกล่าวนี้แต่เดิมมาจากจักรวรรดิฮับบวร์กแต่อาณาจักรต่างๆก็ใช้ระบบสัญญาณไฟนี้ด้วยเช่นกัน
ระยะที่หนึ่ง – เมื่อมีศัตรูน้อยกว่า 10 ปรากฏอยู่ที่แนวหน้า
ระยะที่สอง – เมื่อมีศัตรูตั้งแต่ 100 – 500 ปรากฏอยู่ที่แนวหน้า
ระยะที่สาม – เมื่อมีศัตรูตั้งแต่ 500 – 1000 ปรากฏอยู่ที่แนวหน้าหรือเข้ามาสู่แนวหน้าแล้ว
ระยะที่สี่ – เมื่อมีศัตรูมากกว่า 1000 บุกเข้ามาโจมตี
คนส่งข่าวนั้นรายงานว่า จุดสัญญาณไฟสามดวงนั่นหมายถึง พบทหารศัตรูจำนวนประมาณ 500 นาย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เคิร์ซและหัวหน้าป้อมปราการอื่นคาดเดาไว้แล้ว
กองทัพจอมมารรอบนี้มีทหารประมาณ 1000 นาย พวกมันใช้กลยุทธแบ่งแยกกองกำลังเพื่อที่จะยึดป้อมปราการเขียวและน้ำเงิน
…….กลยุทธของพวกมันได้ผลดี ป้อมปราการเขียวโดนตีแตกและยึดได้โดยง่าย แต่ถึงอย่างนั้น
‘มันต้องมีใครสักคนในกองทัพจอมมารที่รู้จักใช้หัวแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่พวกมันต้องการหรอก’
เคิร์ซเผยรอยยิ้มพอใจออกมา จอมมารนั้นประเมินความยึดโยงระหว่างแต่ละป้อมปราการต่ำไป
ตามปรกติแล้ว ป้อมปราการทั้ง เขียว น้ำเงิน ทองและแดง ทำหน้าที่แยกจากกัน นั่นก็เพราะเพื่อที่จะพยายามเอาชนะพวกทัพจอมมาร เป้าหมายจึงเป็นการชะลอการบุก มันย่อมดีกว่าหากจะมีสิ่งกีดขวางมากมายแทนที่จะไปรวมกำลังกระจุกอยู่ที่เดียว
‘แต่ถึงอย่างนั้น หากเรารู้แน่ชัดว่า เป้าหมายของพวกมันไม่ใช่บุกเข้ามาในทวีป ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องยึดติดกับป้อมปราการ’
กองทัพจอมมารรอบนี้มีทหารเพียงพันนายเท่านั้น มันยากที่จะเชื่อว่า พวกมันตั้งใจที่บุกเข้าไปยังทวีปด้วยจำนวนกำลังพลเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น การเดินทัพค่อนข้างช้า ใช้เวลาถึง 4 วันกว่าที่จะยึดป้อมปราการเขียวได้
หากพวกจอมมารตั้งใจจะบุกยึดทวีป พวกมันก็ต้องจู่โจมรวดเร็วฉับไว ยึดป้อมปราการให้ได้ก่อนที่มาร์คกราฟจะส่งกำลังเสริม
นั่นคือ แผนที่จอมมารทั้งหลายใช้มานับพันปี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คราวนี้พวกมันไม่ใช้
…….นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? เคิร์ซครุ่นคิดหาข้อสรุปในทันที
เป้าหมายของพวกมันก็มีแค่ยึดป้อมปราการเขียวและน้ำเงินเท่านั้น
ในกรณีนั้น เคิร์ซคิด พวกเราต้องกำจัดมันก่อนที่พวกมันจะยึดป้อมปราการน้ำเงินได้
ตอนนี้พวกศัตรูได้แบ่งกองกำลังสองเป็นสองหน่วย นี่เป็นโอกาสของพวกมันที่จะแบ่งแยกแล้วโอบล้อม
ในขณะที่ป้อมปราการน้ำเงินนั้นคอยกันหน่วยหนึ่งไว้ ป้อมปราการทองและแดงจะช่วยกันโจมตีอีกหน่วยที่เหลือ
“นายท่านครับ ถึงเวลาแล้วที่พวกเราควรจะไป”
“อืม สั่งทหารที่เหลือของเราไปก่อกวน”
“รับทราบครับ ทหารของพวกเราจากป้อมปราการแดงจะเดินทัพต่อ”
แม้หัวหน้าของเราจะเป็นพวกไม่มีประสบการณ์ในสงครามมาก่อนแต่ก็ไม่ใช่คนโง่เสียทีเดียว เขาเข้าใจจุดสำคัญของยุทธศาสตร์และอธิบายมันได้ชัด
“ว่าแต่ ร้อยโท”
เสียงของชนชั้นสูงฟังดูเป็นกังวล
“มันจะไม่ดีกว่าหรือหากเราจะต่อสู้กับข้าศึกในป้อมปราการน่ะ?
มันไม่มีความจำเป็นเลยที่พวกเราจะต้องละทิ้งป้อมไปเพื่อปะทะกับมอนสเตอร์พวกนั้นโดยตรง ข้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแบบนั้น”
“……ท่านครับ”
อีกแล้วเหรอวะเนี่ย?
เคิร์ซรู้สึกเหนื่อยกับสิ่งนี้เหลือเกิน หัวหน้ามือใหม่ของเขานั้นยังคงพูดแบบนั้นพูดแล้วพูดอีกทั้งที่ตกลงแผนกันเรียบร้อยไปแล้ว
โง่อะไรอย่างนี้วะ! เคิร์ซนั้นอยากจะตะโกนแบบนั้นออกมา
“ข้าเข้าใจครับว่า กองทัพของมอนสเตอร์นั้นน่ากลัว แต่ถึงอย่างนั้นท่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเราปล่อยให้มอนสเตอร์พวกนั้นทำตามใจที่พวกมันต้องการ?”
“อืมม”
“พวกมันก็จะยึดป้องปราการน้ำเงิน แล้วปักหลักอยู่ที่นั่น เมื่อป้อมปราการสองแห่งประจำภูเขาดำถูกยึดไป กองทัพหลวงก็ไม่สามารถทวงมันคืนกลับมาได้”
มันควรเป็นพวกเราต่างหากที่จะโอบล้อมพวกปีศาจ…….
โดยปกติแล้ว จะต้องมีกองกำลังมากกว่าถึง 3 เท่าเพื่อใช้ในการโอบล้อม แต่หากเป็นกองกำลังมอนสเตอร์ จะต้องใช้จำนวนถึง 5 เท่า มันยากที่จะจินตนาการเลยว่าจะต้องมีผู้คนล้มตายไปจากวิธีนี้มากแค่ไหน
เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นมาเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนั้นป้อมปราการเขียวถูกยึดแล้วปล่อยทิ้งไว้ ในท้ายที่สุดทหารที่อยู่ในป้อมที่เหลือก็รวมตัวกันเข้ากับทหารของท่านมาร์คกราฟแล้วทวงป้อมคืนมา พวกเขากำจัดมอนสเตอร์ได้สำเร็จ เพียงความช่วยเหลือของมาร์คกราฟเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“แล้วมันไม่ดีตรงไหนล่ะ? มาร์คกราฟนั้นก็มีหน้าที่ต้องสนับสนุนพวกเรา พันธมิตรก็ต้องช่วยเหลือกัน เราไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงไม่เห็นด้วย”
เคิร์ซนั้นขมวดคิ้ว หัวหน้าของเขานี่มันโง่เง่าเสียจริง พันธมิตรช่วยเหลือกัน แต่ฉากหน้าน่ะใช่ แต่การทหารมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก
การขยับเคลื่อนกองทหารนั้นต้องเสียเงิน เสบียงอีกเท่าไหร่ที่ต้องใช้ในการเตรียมโอบล้อม?
พวกที่คุ้มกันป้อมปราการนั้นไม่ได้มีดินแดนเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงยากจนข้นแค้น สุดท้ายผู้ที่ส่งเสบียงสนับสนุนให้พวกเขาจึงเป็นมาร์คกราฟ
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหาก มาร์คกราฟต้องจ่ายเงินเพิ่มล่ะ?
พวกทหารก็เป็นหนี้หัวโต พวกเขาต้องยื่นมือเข้าช่วยมาร์คกราฟในทุกการรบ หรือง่ายๆก็คือ อำนาจในการบัญชาการนั้นโดนคุกคามอย่างหนัก
เจ้างั่งนี่มันไม่ตระหนักเรื่องนี้เลยสินะ……?
เคิร์ซปวดหัวขึ้นมาทันทีที่เริ่มพูด
“หากพวกเราเสียป้อมปราการไป นั่นเป็นความผิดของพวกเรา ในอีกแง่หนึ่งหากเรายึดป้อมปราการคืนได้ก็จะเป็นการแย่งผลประโยชน์ของมาร์คกราฟ นายท่าน ข้าพอรู้อยู่แล้วว่า พวกทหารหลวงจะคิดกับเราอย่างนั้น”
“อ่า”
หัวหน้าของเขาอุทานออกมา เคิร์ซแอบหัวเราะอยู่ในใจ ตอนนี้หมอนี่เข้าใจแล้วสินะ
“ขออนุญาตด้วยครับ ขอให้ข้าพูดตรงไปตรงมา มันเป็นการกันท่าไม่ให้ผู้บัญชาการที่ประจำอยู่ที่ป้อมนั้นได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ความจริงแล้ว ผู้บัญชาการที่เสียป้อมปราการเขียวไป 20 ปีก่อน จบลงที่เกษียณโดยไม่ได้รับการเลื่อนขั้นใดเลย”
“เป็นอย่างนั้นเองรึ? มันก็ช่วยไม่ได้นะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรจัดการกับเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เราจะปล่อยให้มาร์คกราฟพวกนั้นขโมยเกียรติยศไปไม่ได้…….
แถมพวกนั้นยังเป็นฝั่งของเจ้าชายจักรวรรดิอีกด้วย”
ชนชั้นสูงหนุ่มพยักหน้าหลายต่อหลายครั้ง
เคิร์ซสามารถโน้มน้าวหัวหน้าได้สำเร็จ ชนชั้นสูงพวกนี้มันน่ารังเกียจสำหรับเขาเหลือเกิน หมอนี่ยังคงต่อต้านจุดยืนแนวคิดกลยุทธ แต่พอเคิร์ซพูดให้เห็นในมุมมองการเมือง เขาก็ยอมเชื่อฟังในทันที แม้เขาจะพูดย้ำๆซ้ำๆเรื่อง กลยุทธการศึกไปก่อนหน้ายังไง หมอนี่ก็ยังคงเป็นชนชั้นสูงทั่วไปที่มีแต่ความละโมบบังตา
การต่อสู้อย่างรุนแรงกับมอนสเตอร์เกิดขึ้นทุกปีอยู่แล้ว
นั่นเองที่เป็นหนทางในการได้รับชื่อเสียง หากคว้ามันมาได้ คุณก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
…….นั่นก็หมายถึงว่า ป้อมปราการบนภูเขาดำนั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ชนชั้นสูงทางการทหารได้สร้างชื่อเสียง
มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ? เคิร์ซนั้นเฝ้าถามตัวเอง
สิบปีที่ผ่านมามันไม่ได้เป็นอย่างนี้นี่ บุคคลที่มีความสามารถมากที่สุดถึงจะได้มาเป็นผู้บัญชาการที่นี่
พวกเขามีหน้าที่ปกป้องแนวหน้าของมนุษยชาติ จึงต้องเลือกบุคคลที่จงรักภักดีต่อหน้าที่ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปหมด
หลังจากที่เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิมีความขัดแย้งกันในอำนาจ พวกเขาก็เริ่มทำทุกอย่างเพื่อวางกำลังฝ่ายตนในทุกตำแหน่งทางการทหาร
‘ทหารหลวงก็ยังคงเข้มแข็งอยู่ แต่เร็วๆมานี้ดูเหมือนจะเล่นการเมืองกันหนักเกินไป เหอะ เหอะ’
เคิร์ซตัดสินใจหยุดคิดเรื่องนั้น การที่ทหารเข้าไปพัวพันเรื่องการเมืองมากไม่มีอะไรดีขึ้นมา ทหารสมควรที่จะปกป้องจักรพรรดิที่เป็นนายเหนือหัวและผู้คนแห่งจักรวรรดิ กำจัดสิ่งชั่วร้ายที่รู้จักกันในชื่อ จอมมาร
นี่เป็นภารกิจเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เคิร์ซนั้นภาคภูมิใจในการเป็นทหารของจักรวรรดิและภักดีต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา
‘ข้าต้องเกลี้ยกล่อมเจ้านี่ก่อนเลย’
เคิร์ซนั้นยิ้มขมขื่นก่อนจะพูดออกมา
“อย่ากังวลเลยครับ นายท่าน ปีศาจนั้นมีเพียง 1000 นาย แต่พวกเรามี 2,500 ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันแยกกองกำลังกันด้วย ไม่มีทางที่พวกเราจะแพ้แน่นอน”
“อื้ม ข้าก็เชื่อเช่นนั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่กับเรื่องนี้”
เฮ้ย เอาจริงดิ? เคิร์ซแอบหัวเราะ เสียงของเขาสั่นเล็กๆ
นี่ดูเหมือนสภาพจิตใจหัวหน้ามือใหม่คนนี้ไม่แกร่งพอที่จะเชื่อในกลยุทธทางการทหาร ดังนั้นเขาจึงต้องโยนเหยื่อล่อไปคู่กันด้วย
“พวกเราจะพลิกสถานการณ์ด้วยการแบ่งแยกแล้วพิชิตพวกมัน ทัพมอนสเตอร์ทั้งพันจะถูกกำจัด ชื่อเสียงของนายท่านก็จะแพร่ขจรขยายไปทั่วทั้งจักรวรรดิ”
“เจ้าพูดถูก”
สีหน้าชนชั้นสูงดีขึ้นมาทันที เคิรืซแน่ใจว่า ความคิดที่หมอนี่คิดจะสร้างชื่อให้โด่งดังนั้นเป็นการจุดไฟในใจให้ลุกโชนขึ้น หมอนี่อายุ 19 ปี ทหารส่วนใหญ่อายุเท่านี้ต่างหิวกระหายชื่อเสียง เกียรติยศกันทั้งนั้น
เคิร์ซส่ายหัว
‘แค่มาคิดว่า ต้องมาคอยช่วยเจ้าเด็กนี่ทั้งที่ข้าอายุขนาดนี้แล้ว ……. เฮ่อออ’
ชนชั้นสูงไร้ความสามารถนั้นช่างเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ สิ่งเดียวที่ยังถือว่าข้อดีของสถานการณ์นี้ คือ การที่เจ้าหน้าใหม่เข้าใจจุดยืนตัวเอง และเขาไว้ใจในความสามารถของเคิร์ซ ความจริงแล้วเคิร์ซนี่เองที่เป็นผู้นำเหล่าทหารตัวจริงแห่งป้อมปราการแดงและทอง
เคิร์ซนั้นเห็นใจคนให้คำแนะนำของทัพศัตรูที่เขาไม่รู้จักชื่อ แผนแยกกองกำลังเป็นแผนที่เยี่ยม แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงที่พลาดไปคือ การเชื่อแบบเหมารวมไปแล้วว่า ทหารที่ป้อมปราการนั้นมีไว้ป้องกันอย่างเดียว
นั่นแหละจุดตายของพวกมัน
‘ข้าไม่ใช่คนโง่เว้ย ⎯⎯ยอมตายตกไปด้วยกองกำลังทหาร 2500 นายเสียเถอะ ไอ้พวกจอมมารระยำทั้งหลาย’
เคิร์ซได้ออกคำสั่งให้ทหารทุกนายบุก
* * *
“ท่านครับ พวกเราได้รับรายงานว่า ทัพหลวงของจักรวรรดิกำลังเคลื่อนทัพ”
ผมรายงานต่อเซปาร์ เขาผงกหัว
“ดูเหมือนพวกเขาจะงับเหยื่อแล้วนะ ดันทาเลี่ยน จุดไฟสัญญาณเลย”
“รับทราบครับ ข้าจะสั่งให้ทหารที่อยู่แนวหลังบุกขึ้นไป”
ผมถ่ายทอดคำสั่งให้กับลอร่า
เธอแสดงความเคารพก่อนจะออกไปอย่างรวดเร็ว
ผมหันหน้าไปทางป้อมปราการน้ำเงิน พวกเรานั้นอยู่ในวงล้อม พวกมนุษย์ดูเหมือนเชื่อว่า พวกเขานั้นสำเร็จในการป้องกันการโจมตีของพวกเรา
…… จากมุมมองภายนอกก็คงเป็นแบบนั้นแหละ แต่ความจริงแล้วมันเป็นคนละอย่าง พวกเราบุกเข้าไปอย่างไม่เต็มกำลัง
การโจมตีของจริงจะเกิดขึ้นเมื่อกองกำลังจากแนวหลังเข้าร่วมกับเราแล้ว พวกมนุษย์อาจจะรู้สึกสบายใจที่พวกเราไม่มีออเกอร์เหลือแล้ว
พวกเขาคงคิดว่า เรามีออเกอร์ทั้งหมดเพียง 5 ตัวแล้วส่งมาจนหมดในแนวหน้า ช่างน่าสงสารเหลือเกิน
พวกเรามีออเกอร์ 10 ตัว ยังเหลืออีก 5 ตัวในหน่วยหลัง ป้อมปราการสีน้ำเงินก็ถูกเข้ายึดได้โดยง่ายดายเช่นเดียวกับป้อมปราการเขียว
จุดสำคัญของปฏิบัติการนี้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นกับกองทัพที่เราส่งไปอ้อมหลังว่าจะถูกพบไหม ผมสำเร็จในการที่ทำให้อีกฝ่ายเจอทัพของเราช้า
พวกมนุษย์นั้นพยายามเต็มที่ที่จะป้องกันป้อมปราการน้ำเงิน แม้แต่พวกทหารยืนยามก็ยังถูกเรียกตัวมาสนธิกำลังด้วย
พวกเขาคงคิดว่า การทำแบบนั้นจะทำให้ได้รับชัยชนะ
……แต่ช่างน่าเสียใจ ศัตรูของพวกเรานั้นเข้าใจเจตนาของเราผิดไป
“่ท่านนี่ออกจะเป็นคนโหดร้ายเหลือเกิน”
“ผู้น้อยไม่ทราบว่า ท่านหมายถึงอย่างไร”
“คุฮุฮุ”
เซปาร์หัวเราะออกมาเบาๆ แม้เขาจะเป็นสุภาพบุรุษที่ไม่แสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า เขาก็ยังหัวเราะบ่อยขึ้นกว่าการประชุมครั้งล่าสุด ดูเหมือนเขาจะหัวเราะบ่อยมากเมื่ออยู่กับผม
ค่าความชอบที่มีต่อผมนั้นไปถึง 20 ผมก็อ่านความคิดเขาได้ ผมจึงสามารถยืนยันได้ว่า เขาชอบผมมาก
“ทีแรก มันกวนใจข้าที่ผู้บัญชาการบาร์บาทอสนั้นบอกให้ข้าดูแลท่าน โดยสันดานแล้วข้าเป็นนักรบ การให้คำแนะนำกับนักวางแผนเรื่องกลยุทธทางการทหารออกจะเป็นงานที่หนักหนา
……. แต่ถึงอย่างนั้นชายที่ข้าคิดว่าเป็นนักวางแผนกลับกลายเป็นคนเช่นนั้น มันออกจะเหมาะกว่าด้วยซ้ำหากจะเรียกท่านว่าเป็น นายพลนักวางแผน แทนที่จะเรียกว่าเป็นนักวางแผนธรรมดา”
“ข้ามิสมควรได้รับคำชมเช่นนี้”
เซปาร์ส่ายหัว
“ไร้สาระน่า ข้าว่าข้าเข้าใจแล้วทำไมท่านผู้บัญชาการถึงชมชอบเจ้า
พวกมนุษย์ไม่มีทางรู้ว่า ทำอะไรผิดไปจนกระทั่งได้ตายไปแล้ว ข้าจะคอยดูว่า ท่านจะสร้างการศึกแบบใดทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์”
ผมไม่รู้ว่า ควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี ผมจึงได้แต่ยิ้มประหลาด เซปาร์ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น
เขาออกคำสั่งอย่างรวดเร็วและเยือกเย็น ขอบคุณจริงๆที่ได้เขามาเป็นผู้บัญชาการหน่วย พวกเราจึงไม่ต้องเสียกำลังพลมากนักในการปิดล้อม เขาสามารถใช้เสียงแทนคำสั่ง ผมยังมีอะไรอีกเยอะที่ต้องเรียนรู้จากเขา
สำคัญกว่านั้น ผมประหลาดใจที่ได้ข้อมูลมาว่า เคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์ นั้นเป็นหนึ่งในผู้ที่คอยดูแลป้อมปราการ เรารู้เรื่องนั้นหลังจากทรมานมนุษย์คนหนึ่งที่เราจำได้ในฐานะนักโทษ เคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์ เป็นชื่อที่ผู้เล่น <Dungeon Attack> คุ้นเคยกันดี
เขาเป็นนายพลผู้มากประสบการณ์ ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้กล้าและปาร์ตี้ผู้กล้า เขาเป็นทหารที่เริ่มจากการเป็นสามัญชนและสำเร็จจนกลายเป็นนายพล เคิร์ซนั้นชอบผู้กล้าเพราะต่างก็เป็นสามัญชนเช่นกัน
บุคคลที่จะมีบทบาทสำคัญในอีก 10 ปี ต่อจากนี้ ตอนนี้เขายังทำงานเป็นผู้รักษาการณ์แทน ตำแหน่งผู้บัญชาการในป้อมปราการแดง หรือผมควรเรียกว่า มันเป็นโชคชะตาดีนะ?
การที่ผมได้เผชิญหน้ากับเขาในฐานะทหารแนวหน้าที่ผมสังกัดอยู่เนี่ย
เคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์ ต้องตาย
เขามีบทบาทสำคัญในการทำให้ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นในจักรวรรดิฮับบวร์กลดลง
ภาพลักษณ์ของเขานั้นเป็นนายพลผู้ที่เคยเป็นสามัญชนมาก่อน เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิอลิซาเบธนั้นยกฐานะของเขาขึ้นด้วยการเอาเขามาอยู่ข้างกายเธอ
หึ อย่างกับผมจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิอลิซาเบธนั้นเป็นภัยคุกคามที่รุนแรง เธอนั้นเป็นพันธมิตรชั้นเลิศผู้ยอดเยี่ยมใน <Dungeon Attack>
ผู้กล้าเป็นเพียงคนเดียวที่ฆ่าจอมมารได้ แต่เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิก็เป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนผู้กล้าจากเบื้องหลัง และหากไม่มีเจ้าหญิงแห่งจักรววรดิอยู่แล้ว
ผู้กล้าก็จะถูกความขัดแย้งทางการเมืองกวาดทิ้งตั้งแต่การเดินทางแรกๆของเขา และนำไปสู่การประหารชีวิต
จากมุมมองของจอมมาร เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินี่แหละ ที่เป็นศัตรูที่ร้ายกาจมากที่สุด
……. ผมต้องลดอำนาจฝ่ายของเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การฆ่าเคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์ ก็เป็นงานชิ้นแรก
ผมรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาในทันนี ช่างเป็นโชคร้ายสำหรับเขาเสียจริงนะที่ต้องประจำอยู่ป้อมปราการแดงตั้งแต่ตอนนี้
‘อาจเป็นโชคไม่ดีเท่าไหร่ แต่แกต้องตายว่ะ เคิร์ซ’
ทหารที่ในอนาคตข้างหน้าจะเป็นนายพลไฟแรงจะต้องสิ้นลมที่นี่
ผมไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวกับเขานะ เอาจริงแล้วผมชอบเคิร์ซด้วยตอนที่ผมเล่นเกมน่ะ เขาเป็นตัวละครที่ยอดเยี่ยมมาก
แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ผมไม่ใช่ผู้กล้า ผมคือ จอมมารที่เดินไปบนเส้นทางของนรก ลอร่าจะเป็นผู้ช่วยนำพาผมไปด้วย…….
นายพลเคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์ นี่จะเป็นการเสียสละเพื่อความอยู่รอดและความรุ่งเรืองของผม
นายมักจะพูดอยู่บ่อยๆใช่ไหมว่า นายน่ะเป็นทหารอันน่าภาคภูมิใจแห่งฮับบวร์ก
นายจะแพ้ในการรบกับกองทัพจอมมาร ไม่มีเกียรติยศใดจะล้ำเลิศเท่านี้อีกแล้ว ผมที่จะมอบความตายอันน่าสรรเสริญให้แก่นายเอง
MANGA DISCUSSION