Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 364 สงครามดอกเบญจมาศ ครั้งที่ II (5)
บทที่ 364 – สงครามดอกเบญจมาศ ครั้งที่ II (5)
“บารอน เดอ บลังค์ !”
“คะ-ค่ะ!”
เธอตกใจที่จู่ๆก็ถูกลอร่าเรียกชื่ออย่างนั้นหรือ ?
หัวหน้าทหารรับจ้าง จูเลียน่า เดอ บลังค์ถึงกับสะดุ้งหลังจากที่เธอฟังบทสนทนาที่เราสองคนคุยกันด้วยแววตาว่างเปล่า
ด้วยเหตุผลบางประการตอนนี้สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปยามที่คุยกับลอร่า ณ ตอนนี้
มันไม่ได้เป็นแค่ความรู้สึกนับถือ มันออกจะเป็นอะไรที่มากเกินไปกว่านั้นสักหน่อย
จะเรียกว่า เป็นความกลัวชนิดหนึ่งก็ได้
“ฉันยกทหาร 250 นาย ให้เธอดูแล ”
“หรือว่า……หน้าที่ฉันคือ จัดการพวกทหารสอดแนมคะ ?”
“เปล่าเลย นำทหารเหล่านั้นมุ่งหน้าไปยังพาเวีย
แล้วไปยังป่าใกล้ๆกับตัวเมือง แล้วข้าจะให้สัญญาณจุดไฟให้ลุกใหญ่บริเวณนั้น ”
ขณะฟังบทสนทนานั้นเข้า ก็ปรากฏรอยยิ้มอันแสนขมที่ริมฝากผม
ป่าใกล้พาเวียเป็นสถานที่ที่ผมเคยอยู่ที่นั่นช่วงหนึ่ง มันเป็นสถานที่พ่อค้าทาสแจ็ค อแลนด์ ฆ่าตัวตายด้วยการเอาหัวโขกหิน …….
“จุดไฟหรือคะท่าน ……?”
บารอน เดอ บลังค์ดูจะยังสับสนอยู่
“นี่ก็เพื่อให้ควันพวยพุ่งขึ้นไปยังเมืองพาเวีย
การทำเช่นนั้นจะทำให้ท่านเอิร์ลไม่อยู่เฉย”
บารอน เดอ บลังค์ถึงกับ ‘อ้อ’ ขึ้นมา หลังจากลอร่าอธิบายเหตุผลของเธอ
“เอิร์ลคนนั้นจะพิจารณาถึงความเป็นไปได้สองทาง
ทางแรก มีความเป็นไปได้ว่า พวกเราจะเข้ามาในเขตแดนของเขาแล้ว และทำการปล้นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง
ทางที่สอง คือ เราอยู่ระหว่างการปิดล้อมเมืองของเขา
ซึ่งไม่ว่าจะทางไหน เขาก็ย่อมต้องเชื่อว่า หากเขาออกมาตลบหลังเราได้ก็จะมีโอกาสชนะ
และนั่นก็จะเป็นตัวเร่งให้เขาลงมือ ”
“เข้าใจแล้ว…….”
บารอนตอบด้วยเสียงแผ่วเบา ลอร่าสั่งการออกไปอย่างเข้มงวด
“บารอน !
จำนวนทหารที่เธอนำทัพอาจมีไม่มากนัก แต่ความรับผิดชอบที่เธอแบกรับไว้นั้นยิ่งใหญ่
หากเธอทำผิดพลาด หน่วยลอบโจมตีเอิร์ลก็จะประสบความล้มเหลวด้วย
และมันจะนำไปสู่การล่มสลายของการรบครั้งนี้ของพวกเรา!”
“……รับทราบ, ค่ะท่าน !”
พอเธอได้รู้ว่า ตอนนี้ภารกิจของเธอสำคัญแค่ไหนบารอนก็ตอบรับอย่างแข็งขันฃ
ลอร่าพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
“ข้าจะส่งนักเวทย์สิบเอ็ดคนไปหนุนทั้งปีกซ้ายขวา
เพื่อให้ร่ายเวทย์ต้านการสื่อสาร ระหว่างผ่านเมืองพาเวีย จงใช้พวกเขาเพื่อจุดเพลิงให้ลุกไหม้ในป่า”
“ตามคำบัญชาค่ะ !”
บารอน ตอบรับด้วยน้ำเสียงที่กล้าแกร่ง
ทหารของพวกเราแยกเป็นสองสายกลางแม่น้ำ
บารอนนำทหารม้าสองหน่วยกองไปตามทางเลียบน้ำ
ดังนั้นลอร่าจึงไม่มีนักเวทย์อยู่ในหน่วยของเธอเลยแม้แต่คนเดียว
ทหารของพวกเรากำลังเร่งมือกัน
มันเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน และความมืดแห่งราตรีกำลังจะครอบคลุมไปทั่ว
ในที่สุดลอร่าก็สั่งให้ทหารประจำตำแหน่ง
พวกเรานั้นอยู่ห่างออกไปจากถนนเส้นหลักที่จะต้องเร่งข้ามไปอย่างรวดเร็วจากมิลาโน่สู่พาเวีย
“พวกเราจะซุ่มโจมตีจากตรงนี้ ”
ลอร่าบอกตำแหน่งที่ซุ่มตัวให้กับหน่วยสอดแนมตรงหน้าพวกเรา
ทหารม้าของพวกเราล้มลงกับพื้นดินตรงหน้า
พวกเราเคลื่อนที่แบบนั้นเกือบครึ่งวันต่อเนื่อง
จนเริ่มอยากจะพักกันแล้ว
ทหารของพวกเรานั้นต่างหาโอกาสงีบหลับด้วยการเอนตัวไปกับต้นไม้ และหยิบของกินเล่นมาเคี้ยวระหว่างเตรียมพร้อมต่อการสู้รบที่จะเกิดขึ้น
ม้าศึกของพวกเราอาศัยอาศัยที่เย็นลงเพื่อทำให้ร่างกายที่ร้อนระอุจากการวิ่งมาตลอดใต้แสงอาทิตย์ในฤดูร้อน
ผมมองลอดช่องกิ่งไม้ใบไม้เพื่อดูแสงจันทร์
นอกจากนี้ยังมีเสียงที่ผมได้ยินจากต้นไม้พวกนั้น
– ดูนั่นสิ, พวกเอลฟ์นั่นสิ …….
– มีคนแคระด้วยแฮะ มันมาทำอะไรกันที่นี่อ่าา ?
– อ้าว ทำไมพวกนั้นอยู่กันที่นี่และ ? น่ากลัวจัง พวกมันมาอยู่ที่นี่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ …….
ภูตแห่งพงไพรต่างกระซิบกระซาบกันขณะที่ซ่อนอยู่ตามซอกกิ่งไม้
พวกนั้นย่อมต้องกลัวเป็นธรรมดาที่จู่ๆมีผู้บุกรุกเข้ามาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง พวกเหล่าภูตต่างตกประหม่าจนทำให้เกิดสายลมพัดใบไหม้เสียดไหวเสียงดัง
ผมโบกมือให้กับพวกภูต
“ขอโทษทีนะ ขอยืมบ้านพวกเธอสักครู่ ”
เจ้าภูตตัวน้อยโผล่หัวออกมาจากกิ่งไม้
– ไม่น่าเชื่อน่าาา! นายท่านผู้ยิ่งใหญ่อยู่ที่นี่ด้วย!
– แต่สายลมของเขามันเล็กมากเหลือเกินจะใช่นายท่านผู้ยิ่งใหญ่เหรอ ……?
– เจ้าโง่ว โง่ชะมัด! นี่ยังแยกไม่ออกระหว่างพายุกับลมแผ่วๆอีกเหรอ ?
ไม่นานนัก ประกายแสดงก็เข้ามาแทนที่ความมืดในป่า
ประกายแสงนับร้อยประกายนั้นเป็นภูตทุกตัว พวกนั้นฉายแสงระยิบระยับยามเมื่อต้องกับแสงจันทร์จากฟากฟ้า
ประกายแสงพวกนั้นใกล้เคียงกับท้องฟ้าสีครามมากกว่าจะเป็นสีขาว
“โอ้ พระเจ้า …….”
“โอ้, ท่านอาร์เทมิส ”
พวกทหารถึงกับอ้าปากค้างยามเมื่อเงยหน้าขึ้น
พวกภูติเองก็เป็นสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยดี
แต่อย่างไรก็ดี พวกภูตน่ะมีอุปนิสัยขี้อายเป็นพื้น ดังนั้นทหารรับจ้าง จึงถึงกับตะลึงยามที่เห็นภูตทั้งหลายรวมตัวกันขนาดที่จุดให้ป่าที่มืดกลับสว่างขึ้นมาได้
ผมพูดทั้งที่แอบยิ้มอยู่
“ข้าดีใจนะกับการต้อนรับอันแสนอบอุ่นของพวกเจ้าน่ะ แต่ช่วยลดแสงลงหน่อยได้ไหม ?
พวกเรากำลังอยู่ระหว่างการเล่นซ่อนหากันอยู่น่ะ
ถ้าโดนพวกฝ่ายหาจับได้ ก็แย่เลยล่ะ
ดังนั้นข้าจะดีใจมากเลยนะ ถ้าพวกเจ้าลดแสงลง”
น้ำเสียงของผมนั้นนุ่มนวลอ่อนโยนเพราะผมคิดถึงภูตที่อยู่ในดันเจี้ยนของตัวเอง
พวกภูตพวกนั้นต่างกระซิบกระซาบกัน
– พวกเขากำลังเล่นซ่อนหากันอยู่อะ! ทุกคนเงียบๆน๊ะ! ถ้าเราไปรบกวนท่าน เดี๋ยวเราจะโดนดุเอา
– เจ้างั่น แกนั่นแหละเสียงดังที่สุดแล้วอะ ตอนนี้
– ชู่วววววววว!
– ฉู่ววว!
แล้วแสงนั้นก็ค่อยๆมืดลง
แม้จะไม่ได้ดับลงในทันที แต่ก็สว่างในระดับหิ่งห้อยแล้ว
อ่าฮะ แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ มืดพอที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของศัตรู
เจ้าภูตตัวน้อยเต้นไปเต้นมารอบตัวผม
เจ้าพวกนี้คงพยายามเงียบในแบบของตัวเองแล้วแหละ ?
ก่อนจะกระซิบถามผม
– นายท่าน , นายท่าน ท่านเล่นซ่อนแอบกับใครเหรอ?
– ใช่กับเจ้าออร์คน่าเกลียดนั่นหรือเปล่า? หรือเซ็นทอร์ขี้เงี่ยน ล่ะ? ไม่สิ หรือเป็นบาซิลิสก์ที่น่าหวาดกลัวนั่น ?
– คนอื่นๆน่ะตายกันไปนานมากแล้ว น้าน นาน นานมากกกกก พวกเราเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ที่นี่ …….
– มนุษย์น่ะฆ่าพวกเขา พวกนั้นน่ะเผาป่าตัดต้นไม้มากมาย…….
เจ้าภูตตัวน้อยทำหน้าบูดขณะที่พยักหน้างึกๆ
โอ้แหม น่ารักเกินจะทานทน
ผมอุ้มเด็กตัวน้อยตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ผมที่สุดขึ้นมา
เจ้าตัวนั้นก็เอียงคอสงสัย
ผมจึงต้องยอมเปิดเผยท่าไม้ตายที่ผมผนึกมันไว้มานานแสนนาน ณ บัดนี้
ผมจั้กจี้รักแร้เจ้าตัวนั้น
– เคี๊ยกฮาาา
ในขณะที่ภูตตัวนั้นเผลอหัวเราะออกมา เจ้าตัวอื่นก็พยายามช่วยปิดปากด้วยมือตัวเอง
ดูเหมือนเจ้าพวกนี้จะจำได้ว่า สัญญาไว้แล้วว่าจะอยู่เงียบๆ
เจ้าพวกนี้บินวนรอบๆและหัวเราะคิกคักโดยที่มือยังป้องปากตัวเองอยู่
แหม น่าชื่อชมเสียเหลือเกินจริงๆนะ !
ผมมอบรอยยิ้มเหมือนพ่อที่เอ็นดูลูกขณะที่พูดต่อ
“พวกเรากำลังเล่นซ่อนแอบกับพวกมนุษย์น่ะ ”
– เอ๋ พวกมนุษย์เหรอ ?
– พวกมนุษย์น่ะไม่มีค่าพอให้ไปเล่นด้วยหรอก
– พวกนั้นน่ะชอบตัดไม้เผาป่าน่ะ นายท่าน ท่านไม่ควรไว้ใจพวกมนุษย์นะ
ไว้วางใจอย่างนั้นหรือ ? เจ้าพวกนี้รู้จักคำยากๆด้วยแฮะ
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ
นับตั้งแต่เลเวลจอมมารของผมถึงระดับนี้ พวกเสียง กรี๊ดกร๊าด ที่ผมเคยได้ยินจากพวกภูตก็กลายเป็นคำที่ฟังรู้เรื่องรู้ภาษา
“เข้าใจแล้ว พวกมนุษย์น่ะเลวร้ายมากเลย”
– ช่ายย พวกมนุษย์น่ะนิสัยแย่ !
– เอาเครื่องในพวกนั้นมาแขวนก็ยังไม่สาแก่ใจเลย !
พวกภูตก็ยังคงด่าทอต่อ ย่อมเป็นธรรมดาที่พวกภูตพวกแฟรี่ที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในป่าจะเห็นว่า มนุษย์เป็นศัตรู ก็ในเมื่ออีกฝ่ายนั้นเผาป่าและยึดครองที่ดินเป็นของตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว ข้าขอร้องอย่างหนึ่งสิ
เดี๋ยวพวกมนุษย์จะข้ามถนนตรงหน้าพวกเรา
ถ้ามีมนุษย์โผล่มาใกล้ๆแล้ว ข้าอยากให้พวกเจ้าแอบกระซิบบอกข้านะ
เราจะสั่งสอนเจ้ามนุษย์พวกนั้นให้รู้สำนึก ”
พวกภูตต่างตอบรับคำของผมโดยพร้อมใจกัน และก็บอกด้วยว่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาเอง
ไม่นานนัก ลอร่าก็กลับมาการวางตำแหน่งหน่วยสอดแนม
“ท่านคงจินตนาการไม่ออกแน่ว่า ฉันน่ะเห็นป่าส่องแสงได้ ”
ลอร่าขมวดคิ้วแล้วถาม
“นายท่าน…… ไม่สิ ท่านเค้าท์พาลาทีน ท่านทำอะไรลงไปอีก?”
ผมยิ้มให้กับเด็กสาวที่เรียกผมว่า นายท่าน ก่อนจะแก้คำเรียกใหม่
“ข้าพึ่งจ้างวานทหารสอดแนมที่ซ่อนตัวเก่งที่สุดในโลกยังไงล่ะ ”
“……?”
ลอร่าดูจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูด
เอาล่ะ เดี๋ยวอีกไม่นานเธอจะรู้เองแหละ
“ดูตรงนั้น ”
ลอร่าชี้ไปที่แนวขอบฟ้าหลังผ่านไปชั่วโมงหนึ่งนับตั้งแต่ที่เรามาหยุดพักในป่า
“ดูเหมือนบารอสจะจุดไฟแล้ว ”
เธอเข้าใจถูกแล้ว ณ พื้นที่ที่เธอชี้อยู่นั่นเป็นจุดเดียวที่สว่างไสวกว่าที่อื่น
ลอร่าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“เธอจุดไฟได้ในจังหวะที่เหมาะพอดี
พวกศัตรูจะใช้เวลากว่าครึ่งวัน ถึงจะตัดสินใจได้ว่า สมควรจะทำอย่างไรดีหลังรู้จุดหมายปลายทางของพวกเรา
และก็ต้องใช้เวลาอีกถึงครึ่งวันกว่าจะระดมกำลังแล้วเดินทางมาถึงที่นี่
รวมแล้วพวกนั้นก็ใช้เวลาอย่างน้อยก็วันกว่าๆ ”
“เวลาของทางเราจะไม่กระชั้นชิดไปหรือ ?”
“กระชั้นชิดมากค่ะ และนั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมหญิงสาวผู้นี้ถึงได้ส่งกองทัพหลักไปยัง …….”
หญิงสาวผู้นี้ งั้นเหรอ?
จะว่าไปก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่กับคำสรรพนามที่ใช้แทนตัวสำหรับผู้บัญชาการสูงสุดน่ะนะ
แต่เอาเถอะ ผมก็ไม่เตือนก็แล้วกัน ถึงอย่างไรเสียก็ไม่มีทหารคนใดแอบฟังอยู่
ผมได้แต่ยักไหล่แล้วปล่อยเลยตามเลย
“ชัยชนะและความพ่ายแพ้ในปฏิบัติการณ์ครั้งนี้ขึ้นกับว่า เวลาที่อีกฝ่ายใช้ในการส่งกำลังเสริมนานเท่าไหร่
แต่ดูแล้วเอิร์ลแห่งพาเวียกับดยุคแห่งมิลาโน่คงเถียงกันไม่เกินชั่วโมงหรือสองชั่วโมง
ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว …….”
ลอร่าปิดปากเงียบ
ณ ตอนนั้นเองที่พวกภูตโผล่หัวขึ้นมาจากกองใบไม้
– นายท่านๆ ฝูงมนุษย์เข้ามาใกล้แล้ว !
ผมเอนตัวลงแล้วลูบหัวภูตตัวนั้นเป็นรางวัล เจ้านั่นดูจะแฮปปี้มากๆ
ถ่วงเวลาไปได้สักชั่วโมงหรือสองชั่วโมงหรือ ……?
นั่นเป็นเวลาที่อีกฝ่ายต้องใช้ก่อนที่จะเข้ามาใกล้พวกเราที่อยู่ที่นี่
และมันก็เป็นไปตามที่เธอได้ทำนายไว้
“ลอร่า”
“นั่นไงพวกทหารสอดแนมที่เจ้าพูดถึง ”
ลอร่าเหมือนรู้อยู่แล้วว่า ผมพูดถึงอะไร เธอยิ้มขณะที่หันกลับมา
“ท่านคะ จับตาดูฉันไว้นะคะ ฉันจะยังคงเข้มแข็งอยู่ได้ หากรู้ว่าท่านยังเฝ้ามองฉันอยู่ ”
“ถ้านั่นเป็นความปรารถนาของเจ้านะ ดยุคฟาร์นาเซ”
ลอร่าแอบถ่ายทอดคำสั่งให้กับหน่วยแนวหน้า
พวกทหารที่พักผ่อนหย่อนใจอยู่ก็รีบขึ้นบนหลังม้า
เสียงลมหายใจของม้าพ่นออกมาพร้อมกันในเขตป่า
พวกเราได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังจากที่ไกลออกไป
พวกศัตรูเริ่มเข้ามาใกล้แล้ว
ผมสามารถประเมินจำนวนและรูปขบวนของศัตรูอีกฝ่ายได้ เนื่องจากการช่วยเหลือของพวกภูต
แม้พวกนั้นจะเร่งฝีเท้าเต็มที่แต่ก็ยังจัดให้มีกลุ่มหนึ่งนำหน้าเสมอ
แม้จะไม่แน่ชัดว่า เอิร์ลพาเวียจะมีหัวทางการทหารหรือไม่ แต่ก็พอบอกได้ว่า เขารู้ว่า ตอนนี้สมควรจะระวังตัวไว้
“ศัตรูนั้นมีประมาณห้าพันนาย ”
“อ้อ? แสดงว่า หมอนั่นรวมทหารม้าทั้งหมดแล้วสินะ ”
ลอร่ายิ้มอ่อน
“อำนาจในมือของเอิร์ลพาเวียสูงกว่าที่คาดไว้มาก หรือดยุคมิลาโน่อาจจะไม่อยากทอดทิ้งคนของตัวเอง ซึ่งจะทางไหนก็เป็นผลดีกับเราทั้งนั้น ”
หากเป็นคนปกติก็คงจะตกใจหรือประหม่าหากพบว่า กองทัพศัตรูนั้นมีจำนวนม้า แต่ลอร่าน่ะตรงกันข้ามเลย
เธอเป็นเหมือนนักล่าที่มักจะขอบคุณพระเจ้าเสมอเวลาที่เจอหมีภูเขาในฤดูหนาว
ยิ่งเหยื่อตัวใหญ่เท่าไหร่ ลอร่ายิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
ลอร่ายกแขนขวาขึ้น
เมื่อเธอทำเช่นนั้นทหารของฝ่ายเราก็ออกเดินทัพ
ทีแรก พวกม้าก็แค่ควบเหยาะ
ก่อนที่จะเร่งให้กลายเป็นย่ำเท้าถี่ๆ
พวกมันเร่งจังหวะฝีเท้าเมื่อทั้งแถวแรกและแถวที่สอง จนกระทั่งออกนอกเขตป่า
พอแถวหน้าสุดเริ่มพุ่งทะยาน แถวที่สองก็พุ่งตามออกไปด้วย ตามด้วยแถวที่สาม และเป็นเช่นนี้เรื่อยไป
ไม่มีใครเปล่งเสียงร้องตะโกนเร่งความเร็วหรือคำรามออกมา
นี่เป็นปฏิบัติการณ์ทหารทัพม้าที่เงียบที่สุดในโลก
ทหารม้าของซาร์ดิเนียเดินทัพกันมาเรียงเป็นแนวยาวเหยียดตรงหน้าพวกเรา เปิดเผยแนวรบให้เห็นชัด
แต่ถึงพวกเราจะพยายามทำให้เงียบกริบที่สุดอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะไม่มีเสียงฝีเท้าม้า ดังนั้นไม่นานเท่าไหร่นัก พวกเขาก็รู้ถึงการมาถึงของพวกเรา
“ซะ-ซุ่มโจมตี !”
“หันหัวม้ากลับ !”
พวกศัตรูกลับแตกตื่นขึ้นมาทันที พวกเขาร้องตะโกนว่า โดนซุ่มโจมตี
ทหารศัตรูต่างกรูเข้ามาอย่างเร่งรีบที่สุดเพื่อพิทักษ์ดินแดนตน
แต่มันก็ยากเกินไปที่จะมาเปลี่ยรูปขบวนเอาตอนนี้
ทหารของพวกเราก็พุ่งเข้าใส่เต็มสปีดในขณะที่พวกนั้นกำลังงุ่นง่านจัดทัพเข้าด้วยกัน
ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องทำให้มันเงียบเชียบแล้ว
ผมใช้เวทย์ขยายเสียงที่อยู่ที่สร้อยคอ ทำให้เสียงพูดตะโกนดังลั่น
“ทหารแห่งเฮลเวติก้าทุกนาย ! พุ่งเข้าไป !”
เสียงตะโกนนั่นเป็นเหมือนเขื่อนแตก
เหล่าทหารรับจ้างที่ปิดปากเงียบอยู่ตลอด กลับตะโกนออกมาพร้อมๆกัน
“ฆ่าไอ้พวกบ้านนอกซาร์ดิเนีย !”
“ไปๆๆ! ไปอัดมัน !”
“ฆ่าพวกมันให้หมด !”
้ม้าศึกของฝ่ายเราพุ่งเข้าสุดแรง
ศัตรูเองก็ไม่เบาที่สามารถแปรรูปขบวนทัพเพื่อตอบสนองต่อการโจมตีของพวกเราได้ แต่ตัวปัญหาจริงๆคือ เรื่องระยะต่างหาก
ระยะทางมีไม่มากพอที่จะทำการเร่งความเร็วทัพม้าของพวกเขา
เมื่อเทียบกับกองกำลังฝ่ายเราที่พุ่งมาไกลกว่า 400 เมตร ส่วนพวกเขามีระยะให้เร่งฝีเท้าม้าน้อยกว่า 100 เมตรด้วยซ้ำ
ผลเป็นอย่างไรก็ชัดเจนอยู่แล้ว
ทัพหน้าแนวแรกของพวกเรากับฝ่ายศัตรูเข้าปะทะกันดังสนั่นราวกับเหล็กกระทบกระแทกกัน
มีแม้กระทั่งม้าฝ่ายศัตรูที่ปลิวลอยขึ้นจากการกระทำกับระหว่างม้าศึก
แนวแรกของฝ่ายศัตรูพังทลายลงโดยไม่ทันได้ร้องออกมาด้วยซ็ำ
จะเรียกว่า ระเหิดระเหยไปก็ว่าได้
พวกทหารราชองค์รักษ์ไม่อาจรักษาแนวรูปขบวนได้อีก
พวกนั้นจึงต้องเริ่มสร้างแถวแนวที่สอง แต่รูปแบบก็ไม่ทันเสร็จสมบูรณ์ดี
ดังนั้นแล้วนี่ไม่ใช่การสู้รบอีกต่อไป
คำสั่งของผมที่ขยายเสียงไปทั่วทุ่งราบที่เป็นดั่งสมรภูมิรบ
“ทหารทุกนาย ฆ่าศัตรูให้หมด !”
การเข่นฆ่าล้างฝ่ายเดียวเริ่มต้นขึ้นแล้ว