บทที่ 358 – ผลงานชิ้นโบว์แดงทางการทูต(3)
“……ผมจะขอพบนายพล เดอ ฟาร์นาเซเป็นการส่วนตัว ”
“โอ้ ?”
นี่เขาพยายามที่จะโน้มน้าวส่วนตัวอย่างนั้นรึ ?
จริงอยู่ที่ความพยายามในการหยุดยั้งสงครามของมาควิสคนนี้นั้นน่ายกย่อง
ไม่สิ ถ้าให้ระบุกันให้ชัดๆ ใช้คำว่า น่าสมเพช ท่าจะเหมาะสมกว่า
“ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อน ว่าการโน้มน้าวกับท่านนายพลนั้นเป็นไปไม่ได้ ”
“นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย
พวกเราไม่อาจปล่อยให้ชาติของเราโดนเหยียบย่ำด้วยสงครามเพราะตระกูลที่ล่มสลายไปเมื่อหลายปีแล้ว
หากท่านนายพลเป็นห่วงเป็นใยในความยากลำบากของผู้คนที่ต้องประสบกับสงครามจริง ผมเชื่อว่า ตัวเองเปลี่ยนใจท่านได้ ”
ผมหัวเราะหึขึ้นมา
“นายพลลอร่าเป็นคนรักของข้านะ มาควิส ”
“ท่านกำลังจะบอกว่า ไม่มีโอกาสให้เราได้คุยกันอีกแล้วหรือ……?”
มาควิสไม่พอใจนัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ยังคงดึงดันที่จะพบลอร่าให้ได้แม้สักครั้ง
เขายังออกไปด้วยคัมภีร์เทเลพอร์ตราคาแพง วิ่งเต้นไปทั่วดินแดนของผม ผมเองก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปห้ามเขาด้วยเช่นกัน
และแน่นอนล่ะ ผลที่ได้คือ คว้าน้ำเหลว
มาควิสผู้นั้นกลับประเทศตัวเองด้วยความผิดหวัง
ผมเปิดช่องทางการติดต่อทางการทูตอย่างเป็นทางการ
การกระทำใดอันเป็นไปรักษาเกียรติของฝ่าบาทองค์จักรพรรดินั้นเป็นการกระทำพื้นฐานอยู่แล้ว และพวกเราก็ได้ร้องขอให้ราชอาณาจักรซาดิเนียให้ความร่วมมือเช่นกัน
ผมไม่ลืมที่จะพูดถึง เรื่องที่เราพร้อมยินดีจะตอบแทนให้กับฝ่ายนั้นหากพวกเขารื้อฟื้นตระกูลฟาร์นาเซกลับมา
พวกเอกอัครราชทูตประเทศอื่นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายนักตอนที่ได้ฟังคำขอของผม
เราไม่ได้แม้แต่จะขอให้คืนที่ดิน ดินแดนที่เคยเป็นเขตปกครองของตระกูลฟาร์นาเซ่ด้วยซ้ำ
พวกเราก็แค่ขออะไรง่ายๆอย่าง ให้เลิกประณามว่า พวกเขาเป็นผู้ทรยศ
และยังพร้อมจะจ่ายเงินชดเชยถึงหลายแสนโกลด์
ซึ่งสำหรับพวกเขามันเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลย
– เราไม่อาจรื้อฟื้นสถานะของคนทรยศได้ !
บรรยากาศกลับแย่ลงในชั่วขณะที่ราชอาณาจักรซาร์ดิเนียปฏิเสธอย่างเป็นทางการ
ดูเหมือนพวกเขาอยากจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวนี้อย่างเต็มที่
ชาติอื่นๆเองก็เริ่มพอเดากันออกแล้วว่า มันเกี่ยวกับศักดิ์ศรีของราชสกุลฮับบวร์กกับราชสกุลของซาร์ดิเนีย
ถึงอย่างไรเสีย สงครามดอกเบญจมาศเองก็เป็นสงครามเลื่องชื่อลือชา จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่จะปะติดปะต่อเชื่อมเรื่องพวกนี้เข้าด้วยกันได้
และผมเองก็ใส่บทละครเพิ่มลงไปต่อจากนี้
– ฝ่าบาทองค์จักรพรรดิของพวกเรานั้นให้ความเอ็นดูท่านนายพลเป็นอย่างมาก
–พวกเราจึงได้เสนอค่าชดเชยในเรื่องนั้นถึง 150,000 โกลด์ หากพวกท่านสามารถฟื้นคืนตำแหน่งดยุคฟาร์นาเซ่ให้เธอได้
ผมตั้งใจแสดงออกให้เห็นว่า จักรพรรดิฝ่ายเรานั้นมิได้ปรารถนาสงครามจริงๆ
ฝ่ายราชอาณาจักรซาร์ดิเนียยังคงปฏิเสธต่อ และบอกว่า พวกเราไม่ควรที่จะยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของพวกเขา ทั้งพวกเขาก็ไม่ต้องการเงินค่าชดเชยใดๆทั้งสิ้น
พวกเราก็เพิ่มเงินชดเชยดังกล่าวขึ้นจาก 150,000 เป็น 170,00 ต่อด้วย 200,000
มันเป็นการแสดงออกให้เห็นว่า พวกเราปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งอย่างสุดกำลัง
แต่ถึงกระนั้น ราชอาณาจักรซาร์ดิเนียก็ยังคงยืนกรานปฏิเสธ
พอสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ เหล่าทูตชาติอื่นเริ่มออกมาเคลื่อนไหว แสดงบทบาทว่า การที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากปฏิเสธคำขอส่วนตัวอย่างไร้เยื่อใยต่อจักรพรรดิแห่งจักรวรรดินี้เลยมิใช่หรือ?
ถึงพวกเขาจะไม่ได้กล่าวคำตำหนิออกมาสู่สาธารณก็ตาม แต่พวกเขาก็เริ่มเป็นห่วงกันแล้วว่า เรื่องเล็กๆน้อยๆนี้อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการทูต
และนี่คือ จังหวะที่เหมาะเจาะที่สุด
– ชาติของเราให้คำมั่นสัญญาว่า จะช่วยกำจัดความตึงเครียดร่วมกับเครือจักรภพ-โพลิช ลิทัวร์เนีย และเราจะร่วมมือกับเครือจักรภพไปตลอด
– ดินแดนฉนวนระหว่างสองประเทศจะกลายเป็นดินแดนที่เป็นกลางอย่างถาวร
และพวกเราก็เสนอดินแดนดังกล่าวให้เหล่าทวยเทพเป็นผู้ตัดสินเอง
อยู่ๆเราก็ยกเรื่องที่ร่วมมือร่วมใจกับเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนียขึ้นมาพูด
ทุกชาติทุกประเทศในทวีปต่างยินดีกับการตัดสินใจเช่นนั้น
ตอนนั้นพวกเขาก็เริ่มวิตกกันแล้วพอรู้ข่าวว่า ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่กำลังระดมกำลัง แถมสุดท้ายพวกโบสถ์วิหารทั้งหลายต่างก็ได้ที่ดินไปฟรีๆโดยไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เจ้าพวกนั้นคงปรบมือดีใจกันยกใหญ่เลยล่ะ
จักรวรรดิของพวกเราปรารถนาสันติ เราาสร้างภาพลักษณ์นั้นอย่างแจ่มชัด
แถมพวกเรายังเชิญ ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่มาเป็นส่วนหนึ่งของ ‘เวทีการแสดง’
– ไม่ว่าใครก็สามารถพูดคำว่า ‘สันติ’ภาพ ได้ หากแต่ลักษณาการของสันติภาพแท้จริงนั้นเกิดขึ้นได้จากการที่ยอมถอยคนละครึ่งก้าว
สงครามจะยังคงเกิดขึ้นต่อไปหาผู้คนปฏิเสธที่จะถอยคนละครึ่งก้าว
…….แต่ถึงอย่างนั้น จักรพรรดิกลับทำต่างออกไป
– ข้านั้นได้แต่ปลาบปลื้มกับความจริงใจของจักรวรรดิที่ปรารถนาสันติสุขอย่างแท้จริง
ข้าปรารถนาการแก้ไขปัญหาและหาทางออกด้วยวิธีสันติ หากแต่จักรวรรดิกลับมองล่วงหน้าไปไกลหลายก้าว โดยตั้งเป้าไปที่ สันติภาพอันยั่งยืนสถาพร
– จักรวรรดิได้แสดงให้ข้าและทุกชาติบนทวีปนี้เห็นแล้วว่า ความหมายที่แท้จริงของสันติคืออะไร เราต้องรู้จักเรียนรู้สิ่งนี้จากพวกเขา
ก็นับตั้งแต่ที่คำสาปของน้องสาวราชาบาโธรี่ทุเลาลงนั่นแหละ ต้องขอบคุณฝีมือเนโครแมนเซอร์มือดีที่เราส่งไปนั่นแหละ
นี่คือ วิธีการตอบแทนบุญคุณของราชาผู้ยิ่งใหญ่ในแบบของเขา ที่เราได้ช่วยรักษาน้องสาวเขาให้
ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากนักว่า เขาชดใช้ตอบแทนคืนเราจนหมดก็เถอะนะ
หากมองจากภาพกว้าง นี่ก็หมายความว่า ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่เองก็ตอบแทนการช่วยชีวิตน้องสาวเขาด้วยการพูดแค่เพียงไม่กี่ประโยค
ถึงรูปร่างหน้าตาจะเหมือนหมี แต่ก็เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวไม่เบา
พวกฝ่ายราชอาณาจักรซาร์ดิเนียถึงกับตะลึง
พันธมิตรในวันวานกลับกลายเป็นศัตรูกันในวันนี้
ท่ามกลางบรรยากาศ ด้วยรักแลสันติ ที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีป
ผมจึงทำการประกาศขอความร่วมมือในการประนีประนอมอีกครั้ง
– ทางเราจะจ่ายชดเชยให้ถึง 230,000 ไลบร้า หากพวกท่านรื้อฟื้นตำหแน่งดยุคฟาร์นาเซขึ้นมา
และผลตอบรับที่ได้ก็คือ การปฏิเสธอย่างจริงจัง
ทูตชาติอื่นๆต่างตกใจเสียงสูงกับการที่สถานการณ์มันเลยเถิดขนาดนี้
พวกเขาพยายามสื่อสารทางการทูตหลายอย่างออกมา แต่หากเอาพวกรายละเอียดอื่นๆออกก็มีเนื้อหาง่ายๆ ว่า
– เลิกทำลายบรรยากาศได้แล้วน่า
– …….
ฝ่ายราชอาณาจักรซาร์ดิเนียย่อมต้องรู้สึกว่า มันไม่ยุติธรรมต่อฝ่ายตนเอง
แล้วบรรยากาศที่อุ่นไอสันติทั่วทั้งทวีปมันไปสำคัญกับชาติของเขาที่ตรงไหนกัน ?
พวกเขาต้องผ่านการเคี่ยวศึกนองเลือดจากสงครามกลางเมืองอย่างยากเข็นเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้ปกครองที่คู่ควร
หากอยู่ๆเขาฟื้นตระกูลให้ตระกูลผู้ทรยศมาตอนนี้ แล้วที่หลั่งเลือดไปนั่นเพื่อสิ่งใดกัน ?
นี่จึงเป็นการพยายามเข้าแทรกแซงกิจการภายในส่วนตัวของพวกเขาอย่างแท้จริง
ทั้งราชสกุลซาร์ดิเนียและชนชั้นสูงของพวกเขาเองต่างก็ตอบรับต่อเรื่องนี้ในทางลบ
ตระกูลฟาร์นาเซนั้นเป็นศัตรูของพวกเขา
แต่อย่าเพิ่งทำให้ไก่ตื่น
ราชอาณาจักรซาร์ดิเนียไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผมหรอก
ผมจะประหยัดไพ่ตายของตัวเองไว้ค่อยใช้ในเวลาที่เหมาะสม
มาตอนนี้ พวกเราได้เปรียบอยู่ในเกมกระดานนี้อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องยั้ง
ผมเลยตัดสินใจที่จะซุ่มซ่อนต่อไป
– ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ เป็นสัญลักษณ์และข้อพิสูจน์ว่า มนุษย์และปีศาจร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกันได้!
การที่เธอเป็นผู้บัญชาการแห่งจักรวรรดิเป็นมนุษย์ และทุกเผ่าพันธุ์ที่อยู่ใต้บัญชาการของเธอนั้นเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงใต้คำสั่งเดียว
แล้วพวกเจ้าจะแปะป้ายบุคคลเช่นนั้นว่าเป็นคนทรยศได้อย่างไรกัน !?
– ซาร์ดิเนียได้ทำการประณามหยามเหยียดตัวแทนแห่งสันติภาพระหว่างเผ่าพันธุ์เช่นนี้แล้ว
เราจะไม่โศกเศร้ากับทัศนวิสัยที่คับแคบของพวกเขาได้อย่างไรกัน ?
– ข้าเข้าใจสถานการณ์ของซาร์ดิเนีย แต่ถึงอย่างนั้น ; จะมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าสันภาพอันยาวนานระหว่างมนุษย์และปีศาจอีกหรือ
สิ่งที่ผมทำไปนั้นไม่ต่างจากการถล่มระเบิดปูพรมทางการทูต
ผมแสดงการวิจารณ์อย่างดุดันเป็นห่าฝนกลับไปราวกับก่อนหน้าที่ผมแสดงความประนีประนอมนั้นเป็นเรื่องโกหก
สิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่ไม่รื้อฟื้นตระกูลหนึ่งกลับขึ้นมาได้นำไปสู่จุดที่ไม่อาจหวนคืนได้อีกต่อไป
ด้วยการให้ความร่วมมือของเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนีย ทุกอย่างยิ่งส่งอิทธพลมากขึ้นกลายเป็นว่าบรรยากาศแห่งการร่วมมือร่วมใจกันจะดำรงต่อไปได้หรือพังทลายก็ขึ้นกับสิ่งนี้
แถมยังเป็นการลากเข้าประเด็นว่า พวกเขานั้นเต็มใจที่จะยอมรับสัญลักษณ์ตัวแทนแห่งความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างมนุษย์กับปีศาจ ด้วยหรือไม่อีกต่างหาก!
นี่แหละ คือ แก่นแท้แห่งวาทะศิลป์ล่ะ
อ่านความหมายแปลความคำพูดของอีกฝ่ายให้มากเข้าไว้
แต่จงพูดออกมาให้น้อย
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ หากชาติของท่านปฏิเสธที่จะรื้อฟื้นตระกูลฟาร์นาเซ่เรื่องมันไม่ได้จบแค่นั้น
“จะเกิดหยาดฝนหลั่งรินในนามแห่งความสงบสุขทั่วทั้งทวีป ”
หรือจะ
“เป็นผู้บั่นทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างมนุษย์กับปีศาจที่ได้ก่อร่างสร้างขึ้นมา”
ก็ลองเทียบดูสิ ทั้งหมดที่พวกเราอยากได้น่ะก็แค่ การฟื้นฟูตระกูล ตระกูลหนึ่งขึ้นมาเท่านั้น
แทคติคการอ่านเจตนาของอีกฝ่ายนั้นทรงประสิทธิเสมอไม่เพียงแต่กับการถกเถียงกันเท่านั้น หากแต่เรื่องความขัดแย้งทางการทูตระหว่างชาติเองก็เช่นกัน
นี่จึงกลายเป็นความพ่ายแพ้ของราชอาณาจักรซาร์ดิเนียในเกมนี้โดยสมบูรณ์
ผมนั่งอยู่ที่ริมระเบียงวังหลวงขณะที่มองพระอาทิตย์อัสดง
แสงสีส้มเปลวของอาทิตย์ฉายเข้ามาสู่แก้วไวน์ในมือขวาของผม
“จุดสำคัญของวาทศิลป์นะ เดซี่ ”
ความอิ่มอกอิ่มใจอัดแน่นอยู่เต็มอก
ผมได้ใช้ทวีปทั้งทวีปนี้เป็นดั่งกระดานหมากรุก เพื่อเขี่ยให้ชาติหนึ่งโดดเดี่ยว
ไม่มีอะไรทำให้ปลื้มปลิ่มไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“เจ้ารู้ไหม อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้วาทศิลป์ ?”
“ไล่ต้อนอีกฝ่ายค่ะ ”
เดซี่ตอบขณะที่เทไวน์ใส่แก้ว ผมหัวเราะเบาๆ
“อย่างที่คิดจริงๆ ยัยหัวทึบ หากมีอะไรให้เรียนรู้ถึงสองอย่าง เธอก็ดันเรียนรู้มันได้แค่อย่างเดียว ”
“…….”
“จำไว้นะ ชัยชนะเป็นเรื่องรอง หากเป็นในแง่ของวาทศิลป์ ”
ผมดับกระหายด้วยไวน์ก่อนจะพูดต่อ
“นี่เป็นข้อผิดพลาดที่ทุกคนที่โต้เถียงเก่งมักจะพลาดกันเสมอๆ
คือ การที่ทำกับอีกฝ่ายเหมือนกับการเป็นการดวลกัน ”
“หรือท่านกำลังจะบอกว่า ไม่ใช่อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?”
“มันก็ใช่
แต่เมื่อตอนที่ข้าเผชิญกับราชอาณาจักรซาร์ดิเนียนั้น ข้ามิได้เผชิญหน้ากับพวกเขา มีทั้งเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนีย,ฟรานเคีย,ทิวทันรวมถึงบัทตาเวีย ที่กำลังเฝ้าดูอยู่ ”
วาทะศิลป์เป็นเครื่องประดับตกแต่งคำโต้เถียงของคุณ
คุณไม่ควรแค่เอาชนะคู่ต่อสู้อย่างเดียว หากแต่ต้องโน้มน้าวฝูงชนและผู้ชมทั้งหลายไปพร้อมๆกันด้วย
นี่ต่างหากล่ะ วาทศิลป์
“ต่อให้ข้าสามารถชนะในการทุ่มเถียงได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรหากโทนเสียงของข้ามันหน่วยหูเสียเหลือเกิน การกระทำของข้าก็ไม่น่าดู แถมยังไม่มีความชอบธรรมในคำพูดอีกล่ะ?
ผู้ชมก็หมดความสนใจข้าน่ะสิ !
สุดท้ายแล้ว การเป็นเช่นนั้นทำให้ข้าชนะศึกแต่พ่ายสงคราม ”
เมื่อเป็นดังนั้น วาทศิลป์จึงไม่ใช่การดวลกันของอัศวิน หากแต่เป็นการดวลกันของกลาดิเอเตอร์ต่างหาก
สำหรับกลาดิเอเตอร์แล้วจะต้องเหนือกว่าเอาชนะ หากแต่ต้องสร้าง ‘ความประทับใจ’ ไปด้วย
พวกกลาดิเอเตอร์นั้น ได้รับทั้งความสนใจจากผู้ชมรวมถึงชาวเมืองทั้งหลาย
ในตอนที่เหล่าผู้ชมต่างพูดออกมาซ้ำๆว่า
“ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!ฆ่ามัน!” ใส่คู่ต่อสู้ที่กำลังล้มลง นั่นต่างหากชั่วขณะที่คุณได้รับชัยชนะที่แท้จริง
“ตั้งแต่จุดเริ่ม จวบจนถึงจุดสุดท้าย เจ้าต้องอำพรางกายด้วยความถูกต้องชอบธรรม
เจ้าต้องโน้มน้าวทุกคนว่า เจ้าน่ะเป็นผู้เดียวที่ชอบธรรม
สงครามจะเป็นที่กล่าวถึงแม้มันจะจบลงแล้ว ”
“……แต่ท่านพ่อคะ , ความชอบธรรมในการเข้าร่วมสงครามยังไม่เพียงพอ ”
ผมพยักหน้า
“แน่นอนล่ะ พวกเรายังขาดลมที่โหมกระหน่ำครั้งสุดท้ายให้ไฟลุกโชน ”
ผมมองดวงอาทิตย์ผ่านแก้วไวน์
แสงสีอร่ามโค้งตามทรวดทรงแก้ว
“ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงต้องมอบสิ่งนั้นให้เป็นของขวัญแก่พวกเขา ”
สี่วันต่อมา หลังจากสังคมระดับชาติต่างวิพากย์วิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเคร่งเครียด
บุคคลผู้มีนามว่า เอิร์ลพาเวีย จากราชอาณาจักรซาร์ดิเนียได้โยนระเบิดตูมใหญ่
– ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่ เป็นคนต่ำต้อยที่ถูกขายไปเป็นทาสกามในช่วงหนึ่งของชีวิตนาง
– เด็กคนนั้นมันหนีออกจากโรงประมูลทาส ไปยังฮับบวร์ก
นางรอดได้เพราะขายตัวเองให้กับพวกปีศาจ
แล้วพวกเราจะรื้อฟื้นตระกูลคนทรยศ และเอาทาสกามชั้นต่ำขึ้นมาเป็นดยุคได้อย่างไรกัน !?
เพิ่มให้อีกอย่าง พาเวียนั้นเป็นเมืองที่ลอร่าโดนเอาไปขึ้นโรงประมูล
ระดับตูมใหญ่ที่ว่า ทำให้เวทีทางการทูตถึงกับสะเทือน
นั่นเป็นความจริงที่มีบางคนก็พอรู้กันอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครกล้าเปิดเผยมันออกสู่สาธารณะ
มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วแหละ การกระทำแบบนั้นน่ะเป็นการดูถูกนายพลของจักรพรรดิแห่งฮับบวร์กซึ่งหน้า
เอิร์ลพาเวียเองก็คงคิดอยู่แหละว่า นี่เป็นโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์เสียเปรียบ
จึงเอาหลักฐานในอดีตที่ลอร่าเคยเป็นทาสกามมาโจมตี
และหลักฐานส่วนมากที่เขาเอามาใช้ในครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเราแอบส่งให้อย่างลับๆเองนั่นแหละ
เอาล่ะ เอาล่ะ ท่านเอิร์ลเองก็คงปักใจว่า เขาเจอหลักฐานที่ว่าด้วยตัวเอง
และแน่นอนระเบิดลูกนั้นมีประสิทธิภาพดีเยี่ยม
ชนชั้นสูงทั้งหลายในระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ต่างให้การสนับสนุนซาร์ดิเนี่ย หากสถานการณ์ทางการทูตการเจรจาเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเราย่อมเสียเปรียบเป็นแน่
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่านเอิร์ลลืมนึกไป
ในเรื่องที่ว่าพวกเราน่ะ ไม่เคยคิดจะจบสถานการณ์นี้ด้วยการทูตอยู่แล้วน่ะ
“เดินทัพได้ ”
— พวกเรามีความชอบธรรมที่เพียงพอแล้ว
ได้เวลาหวดตะบองเหล็กใส่กลุ่มคนที่กล้าหยามเหยียดผู้บัญชาการคนสำคัญแห่งจักรวรรดิแล้ว
(TTL : Just as planned
#พรี่ดันยิ้มแบบยางามิ ไล้ท์ )
MANGA DISCUSSION