Chapter 353 – ชาติที่เป็นกลาง (6)
* * *
จอมมารทั้งสามที่มีชีวิตรอด ต้องพบกับประสบการณ์แห่งทัณฑ์ทรมานไม่ได้สิ้นสุด
พวกเราใช้วิธีการพิเศษสุดเพื่อเป็นการแสดงความนับถือพวกนั้น
โดยปกติแล้ว คนอื่นมักจะตะคอกใส่ผู้กระทำผิดว่า สิ่งที่พวกเขาทำนั้นผิดอะไรอย่างไร เพื่อให้อีกฝ่ายตระหนักรับรู้
แต่วิธีการนั้นผมเชื่อว่า มันไร้ประสิทธิภาพ
มันไม่มีทางที่ใครจะยอมรับความผิดของตัวเองหรอกหากคุณไปข่มขู่ทำร้ายเขา
ไม่มีอะไรจะเสียเวลามากไปกว่าการทำแบบนั้น ซึ่งมันเป็นทุกข์ทรมานทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ทรมานและผู้ถูกทรมานด้วย
เราควรกำจัดการกระทำอันไม่จำเป็นนั่นซะ เพื่อการดีต่อทั้งสองฝ่าย
ผมเชื่อว่าการทำแบบนั้นมันดีต่อโลกใบนี้
“อึก …….ไอ้สาระยำคนทรยศ !”
วาเลฟอร์มองผมด้วยแววตาดุร้ายเมื่อเห็นผมเข้ามาในห้องทรมาน
“ข้าไม่รู้ว่าแกวางแผนจะทำอะไร แต่ข้าไม่ยอมง่ายๆหรอก !”
ผมยิ้มหวานให้ทันที
ช่างน่าดีใจเสียจริง ที่เห็นว่า เขายังมีแรงมีกำลังเยอะอยู่ขนาดนี้
คนที่แข็งขันอย่างนี้ ผมล่ะอย่างชอบเลยจริงๆ
การได้เห็นคนมีชีวิตชีวาแบบนั้นมันทำให้ชีวิตอันหมองหม่นของผมมีรสขมยิ่งขึ้น
ผมเดินผ่านวาเลฟอร์ไปเงียบๆ แล้วก็ไปให้คำสั่งกับ ผู้ทรมานนักโทษแทน
“เริ่มได้ ”
“รับทราบค่ะ ”
สองสุดยอดนักทรมานที่ถูกใช้เพื่อการเค้นสอบข้อมูลในครั้งนี้ก็คือ เจเรมิกับเดซี่
ในช่วงสามปีที่ผ่านมาทั้งสองได้ทำการทรมานและฆ่านักโทษเกินกว่า 300 คนแล้ว และทั้งหมดก็ทำภายใต้คำสั่งของผมนี่แหละ
ทั้งสองแทบไม่ต่างจากบีโทเฟ่นแห่งโลกแห่งการทรมานคนเลย
“หือ? แกน่ะจะทำ—อ๊ากกก!”
คราวนี้เป็นการประหารด้วยหลิงฉือ (แล่เนื้อนักโทษเป็นพันชิ้นจนกว่าจะตาย)
เจเรมิเองก็สามารถต่อต้านจอมมารได้เพราะตราทาสที่สลักอยู่ที่หัวใจ ส่วนเดซี่เองพลังการควบคุมบัญชาของจอมมารก็ไม่มีผลกับเธอเพราะเธอเป็นมนุษย์
ทั้งคู่ต่างเป็นสุดยอดตัวเลือกที่ดีที่สุด
“อึก! อ๊ากกกกกกก!”
กระบวนการดังกล่าวก็คือ เชือดเฉือนเนื้อของนักโทษทั้งเป็น
นั่นแหละคือ การทรมานหลิงฉือที่รู้จักกันในชื่อว่า ตายด้วยการหั่นเฉือนเป็นพันชิ้น
พูดให้เข้าใจง่ายก็คงต้องบอกว่า เป็นการเฉือนปอกเนื้อไปเรื่อยๆจนถึงกระดูกให้เกลี้ยงจนเหมือนคากิของหมู
หลิงฉือนั้นเป็นการทรมาณที่ทำให้ผู้โดนเข้าไปต้องเจ็บปวดอย่างมหาศาล
ตามปกติแล้วการทรมานแบบนี้ต้องมีการป้อนยาชาให้กับผู้ที่รับทัณฑ์ทรมาน แต่อย่างไรก็ดีต้องขอขอบพระคุณการอวยพรขององค์เทพีที่ทำให้จอมมารนั้นสามารถฟื้นฟูอวัยวะส่วนต่างๆได้อย่างรวดเร็ว เมื่อโดนเฉือนเนื้อ
ซึ่งนั่นก็แปลว่า คุณสามารถที่จะหั่นเชือดพวกนั้นไปได้แบบไม่อั้น ยังไงล่ะ !
แหม ช่างเป็นร่างกายที่สุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ ?
ไม่ต้องการทั้งยาชาและโพชั่นใดๆ ไม่มีทางที่นักโทษคนใดจะสามารถทนต่อการทรมานไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ได้อีกแล้ว
แถมการทรมานนิรันดร์กาลเป็นแนวคิดที่เจเรมิเองก็พยายามป่าวประกาศด้วย ดูเหมือนจะเป็นสโลแกนที่เหมาะมากกับแนวคิด สุนทรีย์ศาสตร์แห่งการทรมาน
ผมมีเรื่องสงสัยอยู่จุดหนึ่งจึงตัดสินใจที่จะถามเธอ
‘ทำไมเธอไม่ทำร้ายร่างกายในขณะที่ทำการทรมานล่ะ ?’
‘เฮ่อ ถามคำถามโง่เหลือเกินค่ะ คำตอบก็เห็นกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ ?
สิ่งที่ฉันอยากจะทำคือ การทรมานคือ คน ค่ะ ไม่ใช่ เจ้าก้อนเนื้อ ’
เจเรมิตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหมือนพูดถึงเรื่องปกติประจำวัน
‘ทรมานคนที่หน้าเยิน แขนขากระจายมันสนุกตรงไหนกันคะ ?
ฉันน่ะนะรู้สึกเหมือนได้รับรางวัลใหญ่ตอนที่เห็นคนกำลังกรีดร้อง น้ำตาไหล และพยายามดิ้นรนสุดชีวิต’
ในหัวยัยคนนี้มันน็อตหลวมชัดๆ
แถมที่น่าเศร้าใจกว่านั้น รสนิยมทางด้านสุนทรีย์ของเจเรมินั้นได้สืบทอดส่งต่อไปยังลูกศิษย์ผู้ยอดเยี่ยมของเธออย่างเดซี่ด้วย
ด้วยการใช้ยาชาและโพชั่นมากมายหลายชนิดทั้งสองแล้ว ทั้งสองก็ทรมานนักผจญภัยมนุษย์ด้วยคมมีด
“ห้าหมื่นครั้ง ”
นักผจญภัยยังมีชีวิตอยู่ตลอดหลังจากโดนฟันโดนเฉือนไปห้าหมื่นครั้ง
โอ พระเจ้า
“ฝ่าบาทคะ , วันนี้ฉันรู้สึกดีมากๆเลยค่ะ ”
เจเรมิฮัมเพลงอย่างคนมีความสุข
“ตอนนี้เราได้เกินสถิติที่เคยทำได้แล้วค่ะ
หกหมื่นครั้ง ไม่สิ หกหมื่นห้าพันครั้งแล้ว
พวกเรามาไกลถึงขนาดนี้ได้โดยไม่ต้องใช้โพชั่นเลยสักขวด! จอมมารสุดยอด! ”
“เหอะ ยัยบ้างานเอ๊ย ”
ผมเดาะลิ้นไม่เห็นด้วยพลางส่ายหัว
หากใครบางคนเสียสติสุดกู่ไปแล้ว คุณก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
คนพวกนี้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ช่วยแก้ไขเยียวยาอะไรไม่ได้
พอได้ยินคำพูดของเจเรมิ หน้าของวาเลฟอร์ก็ซีดเผือด ไอ้การที่ได้เห็นว่า ผิวเข้มคล้ำดำขำของเขาซีดสนิทนี่มันชวนขำจริงๆนะ
“ฮึ , นี่กะจะข้ามขั้นตอนทุกอย่างเลยเรอะ !? ไม่คิดที่จะเริ่มจากการสอบสวนข้าก่อนเลยเรอะ !?”
ผมส่ายหัว
“หากข้าขอให้เจ้าเปิดเผยความผิดตัวเอง นายจะยอมทำตามอย่างว่าง่ายหรือยังไง ?”
“ข้าจะไม่ยอมรับความผิดใดๆ และไม่คิดว่าทำผิดพลาดใดด้วยซ้ำ
ไม่มีอะไรให้ต้องเปิดเผยอีก!”
“เห็นไหม?”
ผมยักไหล่ไปเอง
“เห็นไหม ถึงข้าจะตั้งใจถามไป นายก็ไม่ตอบข้าดีๆอยู่ดี
แล้วข้าจะไปเสียเวลาถามคำถามไร้ประโยชน์พวกนั้นไปทำไม ล่ะ?
สู้ปล่อยให้นายโดนทรมานจนกว่าข้าจะเหนื่อยยังดีกว่า ”
“ห้ะ-เดี๋ยว…….”
“ถึงเห็นอย่างนี้ข้าก็งานยุ่งพอสมควรเลยนะ ข้าไม่เสียเวลาหรอก ”
ผมเหลือบมองเจเรมิ เป็นการส่งสัญญาณให้เร่งลงมือได้แล้ว
“ฉันจะใช้เวลาที่มีร่วมกันนี้ให้ดีที่สุดเลยค่ะ ”
“ดะ-เดี๋ยวก่อนดิ—อ๊ากกก !”
วาเลฟอร์พยายามดิ้นรนขัดขืนต่อโซ่ที่ล่ามติดกับกำแพง
แต่ถึงอย่างนั้นร่างของเขาก็โดนตรึงไว้แน่นจนขยับได้มากสุดก็แค่เชิดหัวขึ้นลงได้อย่างเดียว ผมแวะเวียนไปเยี่ยมทุกห้องทรมานในทุกสองชั่วโมงแห่งการทรมานจอมมาร
แล้ววันแรกก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากการทรมานล้วนๆ
แต่วิธีการก็เปลี่ยนไปในวันที่สอง
“วาเลฟอร์ , นายชอบอาหารอะไรที่สุด?”
ผมโยนคำถามไร้ความหมายไประหว่างการทรมาน
ตามปกติแล้วอีกฝ่ายจะปฏิเสธที่จะตอบคำถามเพราะโกรธเคืองเนื่องจากการถูกทรมาน
“หยุด……พูดอะไรไร้สาระซะ!”
“โอ้เหรอ? อย่างนั้นก็ดีนะ ”
ผมก็ได้แค่ยักไหล่และได้แต่ให้การทรมานดำเนินต่อไปในเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธที่จะตอบดีๆ
สิ่งน่าสนใจมันเริ่มขึ้นต่อจากนี้นี่แหละ
จอมมารทั้งสามที่รอดมาได้ก็โดนทรมานต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง เวียนสลับกันไม่หยุด
หลังจากโดนทรมานเสร็จก็ได้พัก 4 ชั่วโมง
4 ชั่วโมงแห่งการพักนั่นต่างหากเป็นจุดสำคัญ
พวกเขาใช้เวลานั้นฟื้นฟูบาดแผลและคืนสติกลับมาเป็นปรกติ
พวกเขาจะสามารถตั้งสติกลับมาได้หลังจากโดนทรมานอย่างหนักหน่วง
‘ไม่ว่ามันจะหนักหนาแค่ไหน ตราบใดที่ข้ายังทนได้สองชั่วโมง’
ความเชื่อนี้มันหล่อเลี้ยงชีวิตพวกเขาไว้
อีกปัจจัยที่สำคัญนั่นก็คือ แม้แต่พวกเขาก็โดนการทรมานที่ต่างกันไป แต่จอมมารทั้งสามต่างยอมอดทนเพราะคิดว่า โดนทัณฑ์ทรมานอย่งเดียวกัน
ไม่ใช่ข้าคนเดียวที่ต้องเจ็บปวด สหายข้าเองก็อดทนต่อความเจ็บปวดแบบเดียวกันนี้อยู่
นั่นเป็นการหย่อนสมอทางความคิดแบบนั้น
ดังนั้นแล้วเพื่อให้แน่ใจว่า พวกเขายังรักษาสภาพจิตไว้แม้จะโดนทรมานนี่แหละเป็นจุดสำคัญของเรื่องนี้ และนี่เองก็เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมทั้งที่ถูกทรมานอย่างหนักหน่วงขนาดนั้นก็ยังคงต่อต้านขัดขืนอยู่ได้
และจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ หากความเชื่อทั้งสองอย่างนั้นพังทลายลงไป ?
“……?”
วาเลฟอร์มองผมแปลกๆขณะที่ผมเข้ามาที่ห้องทรมานของเขา ผมก็พอเข้าใจได้อยู่นะ
เวลาพักยังไม่ถึงสี่ชั่วโมงเลย จากรอบการทรมานครั้งล่าสุด ให้ผมกะประมาณก็เกือบสามชั่วโมงได้
“ข้าไม่เชื่อว่า ถึงเวลาของข้า ”
“มีการเปลี่ยนตารางนิดหน่อย ”
เดซี่ตามหลังผมมาขณะที่ในมือก็มีอุปกรณ์ทรมานพร้อม เธอยืนทางขวามือของวาเลฟอร์
เมื่อวานเดซี่รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่งอุปกรณ์ แต่มาวันนี้เธอรับหน้าที่เป็นผู้ทรมานหลัก
“ตอนนี้เราจะทรมานนายอีกรอบ”
“เหอะ ทรมานข้าไปก็เสียแรงเปล่า พวกเราไม่มีทางบอกอะไรแกอยู่แล้ว ”
“เรื่องนั้นมัน จริงหรือเปล่านะ ”
ผมฉีกยิ้มกว้าง
อยู่ๆเขาก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาซะแล้วเหรอ ?
วาเลฟอร์ขมวดคิ้ว
“……แกกำลังจะสื่ออะไร ?”
“นายคิดว่า ทำไมการทรมานถึงเร่งรอบให้เร็วขึ้นล่ะ?
นี่ก็เพราะมีใครบางคนยินดีตอบคำถามของข้าแล้วยังไงล่ะ ”
“ไม่น่ะ……มันเป็นไปไม่ได้ ”
วาเลฟอร์สบถออกมาด้วยความที่ไม่เชื่อคำพูดของผม
“ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลย ?
มันไม่ใช่คำถามที่ตอบยากเสียจนตอบไม่ได้เสียเมื่อไหร่กัน
ก็แค่ถามว่า อาหารที่ชอบคืออาหารอะไร และครั้งแรกที่ตกหลุมรักนี่ ตกหลุมรักเผ่าไหนกัน
คำถามพวกนี้แม้แต่เด็กตัวเล็กๆก็ยังตอบได้เลย”
“…….”
“ถึงอย่างนั้น ข้าเองก็ชอบสนทนากับคนที่พูดจามีเหตุมีผลน่ะ
เลยเป็นเหตุที่ว่าทำไมข้าถึงเลิกทรมานคนนั้นแล้วไล่คิวไปยังคนต่อไป ”
“ช่างเถอะ เราเริ่มกันเลยไหม ?”
ผมสั่งเดซี่ให้เริ่มทัณฑ์ทรมาน
แม้การทรมานจะเป็นแบบเดียวกับเมื่อวาน แต่ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันไป
จอมมารทั้งหลายได้รู้เรื่องหนึ่งเข้าแล้ว
“วาเลฟอร์ , นายน่ะชอบเหล้าชนิดไหน ?”
“…….”
มันคือเรื่องที่ว่า ชั่วโมงการทรมานจะสั้นลงหากพวกเขายอมตอบคำถามของผม
ก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะด่าสวนว่า อย่ามาถามอะไรโง่ๆเลย แต่ตอนนี้แทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคิดให้ดีๆ
คำถามที่ถาม และคำตอบที่ตอบก็แสนจะง่ายเหลือเกิน
แค่ตอบคำถามเดียวก็ลดชั่วโมงทรมานได้แล้ว …….
“……เหอะ นี่แกมาเพื่อฟังคำตอบไร้สาระอย่างนั้นหรือ ? แกมาผิดที่แล้วว่ะ ”
“อ๋อเหรอ ? เข้าใจละ ”
ทีแรกเขาก็ปฏิเสธนั่นแหละ จนกระทั่งไม่เหลือกำลังให้ปฏิเสธอีกต่อไป ความเงียบของเขามันบ่งบอกให้ถึง อาการที่เขาเริ่มหวั่นไหวและลังเล
วาเลฟอร์ทนต่อไปได้อีกสองชั่วโมงเต็มๆ
พอผ่านไปสองชั่วโมงผมก็กลับมาอีกครั้งในช่วงหยุดพักของเขา ดวงตาของวาเลฟอร์เต็มไปด้วยความตกใจ ผมฉีกยิ้มสวยๆให้และไม่พูดอะไร
“คนอื่นน่ะเป็นคู่สนทนาที่ดี งานของข้าก็เลยลดลงไปเยอะ ต้องขอบคุณพวกนั้นนะ ”
“ปะ-เป็นไปไม่ได้ ”
“ไม่มีใครเขาดื้อเหมือนนายกันหรอก เอาล่ะ เริ่มเลยดีไหม ?”
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงหลังจากการทรมานวาเลฟอร์ ผมก็โยนคำถามง่ายๆเหมือนเช่นทุกที
ไม่ว่าจิตใจของเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่เขาก็ถึงขีดจำกัดแล้วล่ะ เขาพูดออกมาด้วยปากที่สั่น
“ไวน์…… ข้าเพลิดเพลินกับไวน์ที่มาจากซาร์ดิเนีย ”
คำสัญญาทั้งหลายที่ให้ต่อกันก็พังทลายลง
ข้าจะได้พักยาวถึง 4 ชั่วโมง แล้วก็อดทนการทรมานอีกสองชั่วโมง ส่วนสหายของข้าก็ทนการทรมานแบบเดียวกันนี้ ……คำสัญญาพวกนั้นพังพาบไม่มีชิ้นดี
ผมยิ้มสดใสให้
“โอ้ ไวน์อย่างนั้นหรือ ? ข้าก็ชอบไวน์เหมือนกันนะ
แต่ไวน์ที่ทำในโลกมนุษย์มันไม่รสจืดไปหน่อยหรืออย่างไร ?
โดยส่วนตัวข้าว่า ไวน์ที่ทำจากนรกนั้นมีคุณภาพสูงกว่านะ ”
“……สมกับเป็นชายผู้หยามหมิ่นสิ่งต่างๆที่เอาแต่ตามหาของหรูหรามาเสพ ”
“มีไวน์ของที่ไหนแนะนำเป็นพิเศษไหม? ”
แล้วก็พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกัน
การพูดคุยเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้ไร้ความหมายช่วยผ่อนคลายความหนักอึ้งลงได้
ลดชั่วโมงการทรมานได้ด้วยการพูดคุยเรื่องพวกนี้
ถ้าเทียบกันแล้ว คุยสามนาทีย่อมดีกว่าคุยหนึ่งนาที
และคุยสิบนาทีก็ย่อมดีกว่าการคุยสามนาที
“ทำได้ดีมาก ตอนนี้ข้าอารมณ์ดีเพราะนาย ดังนั้นขอผ่านคิวของนายไปยังคนต่อไป ”
ผมลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันทีที่พูดคุยกันจบ
เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับจอมมารตนอื่นเช่นกัน
ผมก็ถามคำถามง่ายๆแบบนั้น เพื่อที่เราจะได้มีอะไรคุยกัน
“สีโปรดที่นายชอบคือ สีอะไร ?”
“โอ้ ตกหลุมรักครั้งแรกกับเซ็นทอร์อย่างนั้นรึ ? น่าสนใจดีนี่ เล่าให้ข้าฟังเพิ่มอีกหน่อยสิ ”
“อะไรเป็นปัญหากวนใจมากที่สุดในการบริหารจัดการปราสาทจอมมารล่ะ ?”
จอมมารทั้งหลายทนการโดนทรมานเหลือแค่เพียงชั่วโมงเดียว หลังจากพวกเขาตั้งใจตอบคำถามของผม
และเวลาก็ค่อยๆลดลง ลดลงเรื่อยๆจากหนึ่งชั่วโมง เหลือสามสิบนาที แล้วก็เหลือเพียงสิบห้านาที
…….ก่อนจะถึงจุดสิ้นสุดของทุกอย่าง บางคนในหมู่พวกเขาตอบคำถามผมแทบจะในทันทีที่ผมมาถึง
ช่วงเวลาในการทรมานของจอมมารแต่ละตนก็สั้นลงเป็นอย่างมาก
วันทรมานวันที่สองก็จบลงเช่นนั้นแหละ
(TTL : โดนพรี่ดันแก เล่นงานทางจิตใจเข้าให้ละ ทรมานเวลา 4 ชั่วโมงก่อน แล้วค่อยๆให้รางวัล หากให้ความร่วมมือด้วยการตอบคำถามง่ายๆ
แล้วก็ทลายความรู้สึกผิดที่ทรยศหักหลังเพื่อน ด้วยการอ้างว่า จอมมารคนก่อนหน้าเขาก็ให้ความร่วมมือนะ คิวเลยร่นมาหานายไวยังไงล่ะ
แล้วพอลดเวลาเรื่อยๆ
สมองก็ยินดีเพราะช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดลดลงได้เยอะมากแค่ ตอบคำถามง่ายๆ
จุดจบสุดท้ายน่าจะเดากันได้ละ )
วันที่สามก็ไม่ต่างจากวันที่สอง
แต่คราวนี้เนื้อหาคำถามเปลี่ยนไปแล้ว
“ข้าได้ยินมาว่า มีอาร์คดยุคบางคนให้การสนับสนุนการลอบสังหารครั้งนี้ มันเรื่องจริงไหม ?”
“อะไรวะนั่น……?”
วาเลฟอร์มองผมราวกับว่า ผมพูดอะไรเพี้ยนๆออกมา
“
ก็หากการลอบสังหารสำเร็จ พวกเหล่าอาร์คดยุคก็สามารถครอบงำโลกปีศาจได้
นี่พวกนายไม่ได้คิดวางแผนที่จะอาศัยความวุ่นวายในครั้งนี้เพื่อชิงอำนาจทางการเมืองหรอกรึ ?”
“ไร้สาระ พวกข้าลุกฮือขึ้นมาด้วยเจตจำนงของตนเอง!”
“ข้าเข้าใจแล้ว ”
จอมมารสามคนทนทรมานไปสองชั่วโมงในตอนเช้า
ถึงอย่างนั้นผมเองก็ตั้งใจที่จะข้ามคิวจอมมารคนหนึ่งก่อนหน้าวาเลฟอร์ไป ตาของเขาบ่งบอกถึงความช็อคอย่างมากเมื่อเห็นผมเข้าห้องมา
“แกโกหก ……. ไม่มีทางที่ใครในหมู่พวกเราจะตอบคำถามนั่นหรอก !”
“อยากจะคิดยังไงก็เชิญนะ , วาเลฟอร์”
ผมยิ้มให้
“เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยดีกว่า”
ชั่วโมงการพักของวาเลฟอร์ จาก 4 ชั่วโมง ลดเหลือ 3 ชั่วโมง ลดเหลือ 2ชั่วโมง แล้วก็ลดเหลือ 30 นาที
วาเลฟอร์ไม่อาจทนไหวอีกต่อไป สภาพของวาเลฟอร์ยับเยินเพราะการฟื้นฟูไม่สามารถทนต่อความรุนแรงของการทรมานได้
“ข้าขอถามนายอีกครั้ง ”
“…….”
“พวกอาร์คดยุคได้ให้การสนับสนุนกลุ่มของนายไหม ?”
วันที่สี่
ผมได้รับ ‘คำให้การ’ มาจากอาติแฟค เมโมเรีย ที่อ้างว่ามีอาร์คดยุค 11 คนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารครั้งนี้
ว่ากันตามตรงๆนะ ไม่มีจอมมารตนไหนที่ยอมตอบคำถามผมอย่างว่าง่ายเลยในวันที่สอง
แต่พอผมทำแบบนี้ในวันที่สี่ ผมก็ตั้งใจจะข้ามไปคนหนึ่งแล้วส่งเจเรมิไปทรมานแทน
ความไม่ไว้วางใจเป็นศัตรูตัวฉกาจของความไว้เนื้อเชื่อใจกัน สิ่งนี้แสดงออกมาเห็นได้อย่างชัดเจนในระหว่างการทรมาน
ผมได้รับคำอนุญาตจากฝ่ายอื่น จึงถ่ายทอดคำสั่ง ไปทันทีที่ออกจากหอคอยคุกขังนักโทษ
“พาตัวเหล่าอาร์คดยุคเข้ามา ”
ณ ตอนนี้ ได้เวลาการกวาดล้างแล้ว
MANGA DISCUSSION