บทที่ 343 -ใจกลางจักรวรรดิ(3)
“โดยไม่เสียเลือดแม้สักหยดอย่างนั้นรึ? นั่นฟังดูดีเกินจนจริง”
“ราชาผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย ,หากมองดูตัวชีวิตอย่างใกล้ก็จะเห็นถึงความเป็นโศกนาฏกรรม , แต่ในระยะยาวนั้นกลับเป็นเรื่องตลกขบขัน ”
ชาลี แชปปลิ้นเป็นเจ้าของบทพูดนี้ และในโลกนี้เองก็ไม่มียอดเผด็จการ ดังนั้นผมจึงสามารถก็อปปี้มาใช้ได้โดยสะดวก
ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่นั้นหยุดเงียบไปสักพักพลางคิ้วขมวด ดูเหมือนเขาใช้เวลานั้นเพื่อครุ่นคิดถึงคำพูดของผม
“คำพูดนั่น ออกจะลึกมีนัยยะ
หรือเจ้ากำลังบอกว่า สมควรจะมองสิ่งต่างในระยะยาวรึ?”
“ท่านต้องยอมละทิ้งบางสิ่งเพื่อจะมองอะไรได้ไกล
ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”
“นั่นก็ถูก ”
ริมฝีปากของราชาบาโธรี่ยกขึ้นเล็กน้อย
“บุคคลผู้เลิกจริงจังของชีวิตก็ย่อมหัวเราะให้กับความจริงจังนั้นได้
ผู้ที่เลิกต่อสู้ก็ย่อมมองว่าการต่อสู้นั้นมิได้เป็นอะไรมากไปกว่าการหลั่งเลือดโดยไร้ประโยชน์
เจ้าสุนัขแห่งจักรวรรดิ !
ผู้ที่ละทิ้งสิ่งเหล่านั้น หาใช่ผู้เข้มแข้งไม่ หากแต่อ่อนแอลงต่างหาก!”
ชายร่างยักษ์พูดด้วยเสียงอันดัง
“เหล่าราชาย่อมต้องมีภาระ มันเป็นเรื่องปรกติธรรมดา
ชีวิตของคนนับสิบล้าน ช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ของประเทศ 600 กว่าปีเป็นสิ่งที่ข้าแบกอยู่บนบ่า
นั่นมันน้ำหนักที่แบกรับไว้ทางความรู้สึก ”
“โอ้แหม ท่านบาโธรี่ผู้ยิ่งใหญ่,ไม่มีใครรู้จักภาระนั่นดีเท่าข้าอีกแล้ว ”
ผมหัวเราะคิก
“เบื้องหน้าเรามีเพียงสองเส้นทาง
เส้นทางแรก คือ การไม่ทอดทิ้งสิ่งใด
ณ จุดเริ่มต้นทั้งสองฝ่ายจะค่อยๆลู่เข้าหาจนบรรจบกัน
ณ จุดสุดท้าย ทั้งสองฝ่ายก็จะไม่อาจเคลื่อนไปไหนได้ ติดแหง่กอยู่ที่นั่น ”
“เจ้าคิดว่า กองทัพของข้าจะไม่ชนะอย่างนั้นหรือ ?”
ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่คำรามราวกับหมีป่า
“ข้าจะกวาดล้างทัพของเจ้า แล้วทวงคืนดินแดนของข้ากลับมา
ความพ่ายแพ้นั้นกำหนดไว้แต่แรกแล้ว ”
“โอ้ ท่านหวังจะเปิดศึกชนซึ่งหน้าอย่างนั้นรึ ? ไม่ใช่ไอเดียที่แย่เลย !”
ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่าย
“ทั้งทุ่งนา ต้นไม้ทั่วทั้งที่ราบดินแดน เครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนียจะได้โดนแผดเผาจนเหลือแต่ดินเปล่า
เด็กน้อยตาดำๆ หรือแม้แต่ม้าที่ท่านภูมิใจนักภูมิใจหนาจะได้ล้มตายด้วยความหิวโหย
เหล่าเนโครแมนเซอร์จะแพร่กระจายโรคระบาดออกไป ,
สิ่งที่อยู่ในท้องทุ่งจะไม่ใช่สีเขียวของผืนหญ้าหากแต่เป็นสีขาวของกองกระดูกและศพแห้ง !”
ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่จ้องผมเขม็ง ตอนนี้มาถึงส่วนสำคัญแล้ว หากผมถอยตอนนี้ที่ทำมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ผมถากถางอย่างเย็นชา
“เหล่าสัตว์กินเนื้อทั้งหลายจะร้องดีใจในทุกค่ำคืนท่ามกลางสุสาน
ปีศาจทั้งหลายจะเปลี่ยนมนุษย์นับหมื่นให้คลั่งบอดแล้วเริ่มเทศกาลมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง
จงอย่าได้คาดหวังว่า พวกเราจะมีมนุษยธรรมเลย ,สตีเฟ่น บาโธรี่ ”
“…….”
“ข้าคือ ดันทาเลี่ยน ผู้นำพาโรคระบาดที่ล้อเล่นกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
อย่าประเมินราคาของ สมญาจอมมารต่ำไปนัก, ผู้ปกครองมนุษย์เอ๋ย !”
บรรยากาศตึงเครียดไหลเวียนปะทะกันระหว่างเรา
จนกระทั่งถ้อยคำใหม่ออกมาจากปากชายหนวดสีเข้ม
“แล้วเส้นทางที่สอง ?”
ผมทำให้หัวใจที่เต้นตุบตับสงบลง เอาล่ะๆ ผมผ่านช่วงอันตรายที่สุดมาได้แล้ว
“ทั้งสองฝ่ายยอมถอยคนละก้าวพร้อมๆกัน ”
“……นี่เจ้ากำลังจะบอกให้พวกเรายอมทิ้งดินแดนนี้หรือ?”
ราชาบาโธรี่ขมวดคิ้ว ดูเหมือนเขาพยายามดูเจตนาแท้จริงของผม
“มอบให้ดินแดนครึ่งหนึ่งให้เป็นของวิหารเทพเอเรส และอีกครึ่งหนึ่งก็มอบให้กับวิหารเทพีเอเธน่า
ผู้คนจะประจักษ์ว่า ดินแดนแห่งนี้เป็นหลักฐานแห่งการทำสนธิสัญญาสงบสุข และเป็นสัญญะแห่งความสันติ ”
“…….”
แววตาของราชาผู้ยิ่งใหญ่กลับมีชีวิตชีวา
เทพเอเรสนั้นเป็นตัวแทนของเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนีย ส่วนเทพีเอเธน่าเป็นตัวแทนแห่งราชอาณาจักรบริททานี่
อย่างไรก็ดี วิหารเทพีเอเธน่าเองก็เปิดใจยินดีที่จะเลือกมาอยู่ฝ่ายเดียวกันกับอจักรวรรดิฮับบวร์ก เมื่อเร็วๆมานี้
สรุปแล้ว ถึงแม้จะดูเหมือนเราทำการแบ่งดินแดนอย่างเท่าๆกัน หากแต่นี่เป็นเพียงเทคนิคการเบี่ยงประเด็นความสนใจเท่านั้น
เช่นเดียวกับการฟอกเงินนั่นแหละ ดินแดนแห่งนี้จะถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นอุปกรณ์ที่เรียกว่า ดินแดนศาสนา
“นี่เจ้ากำลังจะบอกให้พวกเรา มอบดินแดนนี้เป็นของขวัญให้พวกนักบวชละโมบพวกนั้นฟรีๆอย่างนั้นรึ ?”
“พวกวิหารน่ะให้ความสำคัญกับหน้าตาตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใด
หากสิ่งที่ทำนี้มันทำให้เกิดสันติระหว่างชาติของพวกเรา ไม่สิ สันติสุขอันเกิดแก่ทั้งทวีป
เจ้าพวกนั้นย่อมต้องสอดจมูกเชิดๆนั่นเข้ามาร่วมด้วยแน่
และท่านเองก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่า จะให้นักบวชคนใดเป็นตัวแทน”
ราชาผู้นั้นเดาะลิ้น
“แผนนี้ก็ไม่ได้แย่นัก แต่มันยังมีช่องโหว่ แบบนี้มิใช่ว่า พวกเราจะเป็นหนี้บุญคุณสองวิหารเหล่านั้นรึ? ข้าไม่อยากที่รู้สึกเป็นหนี้พวกนั้น ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ยังมีทางอื่นอยู่ ”
“ยังมีทางอื่นอยู่รึ ?”
ผมยิ้มออกมา
“เมื่อเร็วมานี้ วิหารเอเรส ,วิหารโพเซดอนและวิหารเฮสเทีย ได้ทำการประณามจักรวรรดิเรา
มีเพียงวิหารทั้งสามแห่งจากทั้งหมดสิบสองแห่งที่ทำเช่นนั้น
วิหารทั้งสามย่อมต้องรู้แน่ว่าตัวเองโดนโดดเดี่ยว ท่านคิดอย่างนั้นไหม ?”
“……!”
ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่เข้าใจความหมาย
“ข้าเข้าใจแล้ว เราจะให้โอกาสพวกนั้นในการกลับมาคืนดีกันดังเดิม …….”
“ดูเผินๆเหมือนเราจะเป็นผู้เสนอดินแดนให้กับพวกนั้น ”
วิหารพวกนั้นจะได้ประโยชน์สามอย่าง
อย่างแรก พวกนั้นจะอ้างจะได้ว่า ตัวเองพยายามอย่างหนักเพื่อความสงบสุขแห่งผืนทวีป อย่างที่สอง ความสัมพันธ์ที่เคยตึงเครียดกับวิหารอื่นจะกลับมาดีดังเดิม และอย่างสุดท้าย พวกนั้นจะได้ดินแดนเพิ่มขึ้น แม้จะเล็กน้อยก็ตามที
เจ้าพวกนั้นจึงไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธอยู่แล้ว
“ท่านไม่คิดว่า นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้ปลดหนี้ของนักบวชพวกนั้นหรือ ?”
“…….”
ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่ครุ่นคิดอย่างหนัก
“ฟู่ววว”
อยู่ๆเขาก็เงยหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
ผมเผลอมองตามเช่นกัน
ท้องฟ้าโปร่งโล่งเสียจนน่าชัง
“เจ้าช่างเป็นตัวตนที่น่ากลัวยิ่งนัก ”
บรรยากาศตึงเคร่งที่เคยห่อหุ้มล้อมรอบตัวราชาบาโธรี่ผู้ยิ่งใหญ่กลับคลายลง
ยามเมื่อหมดสิ้นซึ่งบรรยากาศแบบราชาผู้ยิ่งใหญ่ บุคคลผู้อยู่ตรงหน้าของผมก็ไม่ใช่ผู้ปกครองอีกต่อไปแล้ว
เขาเป็นเพียงชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนหลังม้า
แต่ถึงอย่างไรก็ดีดวงตาดำสนิทของเขากลับลุ่มลึก
มันเป็นความลุ่มลึกที่เกิดจากสัญชาตญาณที่หลักแหลม และประสบการณ์นับไม่ถ้วน
ความยากลำบากในช่วงเวลาในชีวิตได้หลอมรวมก่อตัวกลายมาเป็นรอยยับย่นบนใบหน้า
“น้องสาวขององค์จักรพรรดิที่เจ้ารับใช้เคยบอกข้าว่า มีแมงมุมสารพัดพิษอยู่ใจกลางจักรวรรดิ …….”
“…….”
“ก่อนที่ข้าจะทันได้รู้ตัว ข้าก็ติดแน่นอยู่ในใยหนาจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกต่อไปแล้ว
…….ดูท่านางจะพูดถูกจริงๆ ”
อลิซาเบธได้เชื่อมสัมพันธ์กับราชาบาโธรี่ไว้ก่อนแล้วจริงๆ
เธอแอบร่วมมือกับชาติอื่น ในขณะที่พยายามก่อร่างสร้างชาติขึ้นใหม่ทั้งที่กำลังถูกกดดันให้พบเจอกับความล่มสลาย
ที่ทำได้ก็เพราะเป็นอลิซาเบธคนนั้นนั่นแหละ
และยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลเดียวที่เธอพยายามร่วมมือกับชาติอื่นนั่นก็เพื่อ จะปิดล้อมผมจากทุกทิศทุกทาง …….
ผมยิ้มออกมาอย่างขมขื่น คราวนี้เป็นความขมขื่นจริงๆ
(TTL : อลิซาเบธที่ไม่โผล่ตัว แต่ก็มีส่วนร่วมกับทุกที่ ที่มีพรี่ดัน(ฮา) )
“หากข้านั้นเป็นแมงมุมสารพัดพิษ แม่นั่นก็คงจะเป็นมังกรนั่นแหละ
ถึงเธอจะหมดโอกาสในการขึ้นนั่งบัลลังค์ราชา แต่ก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่า เธอนั้นมีความสามารถมากพอที่จะรวมทวีปนี้เป็นหนึ่งเดียวได้ ”
“ข้าตระหนักถึงเรื่องนั้นดี ”
บาโธรี่พยักหน้าโดยไม่ลังเล ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ
รอยยิ้มบางๆปรากฏที่ริมฝีปากของเขาขณะพูด
“ตอนข้าเป็นหนุ่ม ข้าก็พยายามจะรวมทวีปผืนนี้เป็นหนึ่งเดียว
ความปรารถนาเมื่อวัยเยาว์ , อย่างที่รู้กัน ”
“…….”
“อย่างไรก็ตาม ข้าด้อยทั้งความสามารถและความโชคดี
สิ่งที่ข้าทำได้ดีที่สุดก็คือ การจัดการกับชาติที่อยู่ในมือตน
นั่นเป็นสาเหตุที่ข้าอยากจะอยู่เพื่อดูมัน
การที่ใครสักคนหนึ่งได้พิชิตผืนทวีปแล้วรวมมันเป็นหนึ่งเดียว
ความสามารถอันน่าทึ่งเช่นนั้น …….”
ด้วยเหตุผลแค่นั้นเนี่ยนะ ?
ใน <Dungeon Attack>, เครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนียให้การสนับตัวเอกเกมหลังจากสำเร็จภารกิจหนึ่งแล้ว
ทีแรกผมคิดว่า เป็นเพราะพวกเขาเป็นประเทศพันธมิตรกัน แต่ดูเหมือนจริงๆมันเป็นความปรารถนาส่วนตัวของสตีเฟ่น บาโธรี่เอง
“เจ้าจะเรียกว่า เป็นความปรารถนาโง่ๆก็ได้
จอมมารเอ๋ย, เจ้าเข้าใจหรือไม่?
ข้าปรารถนาให้มันเป็นจริงขึ้นมาได้
ข้าอยากเป็นพยานในฉากเหตุการณ์ที่ข้าเคยเฝ้าฝันถึงเมื่อยังเด็ก อยากให้มันเป็นจริงขึ้นมา
ข้าอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่า มันเกิดขึ้นได้จริง ”
ผมไม่เข้าใจแฮะ แต่นั่นก็คงจะเป็นวิถีทางของเขา
ถ้าเขาเลือกที่จะไปในทางนั้นผมก็ได้แต่ยินดี
“แล้วจะมาร่วมมือกับข้าจะไม่เป็นอะไรหรือท่าน?”
ผมถามติดตลก
“ข้าเป็นตัวตนผู้เป็นอุปสรรคขวางทางของท่านคอลซูล อลิซาเบธ
หากท่านทำตามคำแนะนำของข้า นั่นก็จะกลายเป็นการทำลายแผนการของนาง
ท่านเองก็จะกลายเป็นผู้ขัดขวาง ผู้ที่จะทำให้ความฝันของท่านเป็นจริงขึ้นมาได้ ”
“เหอะ”
ราชาบาโธรี่ทำท่าดูถูกและหันหน้าออก
“แม่สาวคนที่ปรารถนาจะขึ้นเป็นผู้ปกครองทวีป จะปล่อยให้คนเช่นข้าเป็นตัวกีดขวางความปรารถนาของนางได้อย่างไรกัน ?
หรือต่อให้การกระทำนี้มันรุนแรงพอจะทำลายแผนการของนางได้ นั่นก็คือ เป็นปัญหา ข้อจำกัดที่นางต้องพบเจอ มันเป็นปัญหาที่นางต้องแก้ด้วยตัวเอง ”
ผมถึงกับหัวเราะออกมา
“ตัวข้า, ดันทาเลี่ยน, ประทับใจในความมีน้ำใจอันกว้างขวางของพระองค์จริงๆ
สมแล้วที่เป็นผู้กล้าหาญผู้แบกรับชีวิตของผู้คนนับล้านและประวัติศาสตร์ 600ปี ไว้บนบ่า ”
“ข้าได้ยินคำสรรเสริญพวกนั้นจนเบื่อแล้ว ”
ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธ่รี่ตอบกลับมาอย่างไม่แยแส
การกระทำอย่างนั้นเป็นเครื่องบ่งบอกได้ดีว่า เขาเป็นชายที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน
ผมชักเริ่มชอบเขาขึ้นมาแล้วสิ ในเกม เขาก็ถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆว่า เป็นยอดนักปกครอง แต่ผมก็ไม่ได้คิดไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา
แต่พอได้มาเจอกันเป็นการส่วนตัว เขาเป็นชายแก่ที่น่าสนใจเลยทีเดียว
ทั้งความถือดีและความกล้าหาญที่เขามีนั้นมันทำให้เขามีเสน่ห์เหลือล้น
(TTL : พรี่ครับ พรี่จะแตกไลน์ ไปหาหนุ่มใหญ่แบบเนร้ไม่ได้น้ะ! )
แล้วจะปิดบังไปทำไมกันล่ะ? ผมชอบคนกล้าหาญ
มีเพียงคนกล้าเท่านั้นที่จะสามารถดื่มด่ำไปกับความงดงามของชีวิตได้
การที่ได้เห็นใครสักคน มีความสุขกับสิ่งที่ผมไม่อาจมีได้นั้น มันทำให้ผมบันเทิงเริงใจ
มีเพียงคนแบบนี้เท่านั้นแหละที่ควรค่าแก่การโดน หลอกลวง,ทรยศหักหลัง และยั่วโมโห
คนจำพวกนี้นี่แหละที่ทำให้ชีวิตของพวกเราเนี่ยหรรษายิ่งขึ้น
เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นแล้ว ผมจะมอบของขวัญชวนเซอไพร้ส์ให้ทีหลังก็แล้วกัน
ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบิกบานราวกับจะร้อองออกมาเป็นเพลง
“โอ้ บาโธรี่ผู้ยิ่งใหญ่ , ข้ารู้มาว่า ท่านเคยมีน้องสาวคนหนึ่ง ”
“เข้าใจถูกแล้ว แต่โชคร้ายนัก เธอจากไปตั้งแต่ข้ายังเด็ก ”
ความเศร้าเสียใจปรากฏบนใบหน้าของราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่
เมื่อสมัยที่ชายคนนี้ยังเป็นเด็กหนุ่ม เขากับน้องสาวของเขาต่างรักใคร่กันดี ไม่ใช่ความสัมพันธ์ทางกายหรอก หากแต่เป็นความสัมพันธ์ทางใจ
เนื่องจากมีแค่กันและกันเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือสนับสนุนกันท่ามกลางวังที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด
เจ้าหญิงผู้แสนงามจากไปในช่วงวัยผลิบาน ตอนอายุ 15 ปี
หรืออย่างน้อยๆก็เป็นสิ่งที่สาธารณชนเขาเชื่อกันอย่างนั้น
“ฃ้ารู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ ”
“…….”
ท่าทางของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป
ใบหน้าของชายผู้เริงร่าหายไป กลับแทนที่ด้วยใบหน้าของสัตว์ป่าที่ต้องการจะปกป้องสิ่งที่เป็นของของตนอย่างสุดกำลัง
ความรู้สึกดีๆที่มีอยู่น้อยนิดในดวงตาของเขาพลันหายไปจนสิ้น
ดวงตาของเขาดุดันเสียจนผมไม่แปลกใจเลย หากเขาจะกระชากคอผม
“ได้อย่างไรกัน?”
“เจ้าหญิงนั้นเป็นโรคเรื้อนมาตั้งแต่ยังเล็ก
ช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าเสียใจยิ่ง
การที่เจ้าหญิงกลับเป็นโรคเรื้อนมันทำลายภาพลักษณ์ชื่อเสียงราชวงศ์แห่งเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนีย
ดังนั้นแล้ว ท่านก็เลยจัดฉากให้เหมือนว่า น้องสาวสุดรักของท่านได้ตายไป และพาเธอไปซ่อนในหมู่บ้านที่ห่างไกล ”
“…….”
นั่นคือ เควสเดียวที่จะทำให้ฝ่ายโพลิช-ลิทัวร์เนีย ยอมร่วมมือกับฝ่ายตัวเอง
“เธอยังมีชีวิตอยู่ซึ่งนั่นก็เพราะฮีลเลอร์มือดีแห่งวังหลวง แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า เธอยังคงต้องใช้ชีวิตที่เจ็บปวดราวกับถูกสาปไว้ต่อไป
นี่เป็นสิ่งที่ข้าอยากมอบให้แก่ท่าน
ข้าจะส่งหมอผู้รักษาจากโลกปีศาจไปหาน้องสาวของท่าน ”
“หรือว่า…….”
ผมพยักหน้าในทันที
“ใช่ครับ อาการของนางรักษาได้ ”
“ไม่มีทางเป็นไปได้ !”
ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่ตะโกนออกมา
“พวกเราพยายามทุกวิถีทางที่ทำได้แล้ว แต่มันกลับไม่ช่วยอะไรเลย !”
“พวกมนุษย์น่ะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องมนตร์ดำสักเท่าใดนัก แต่ไม่ใช่กับโลกปีศาจ ”
“มนตร์ดำรึ ?”
ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่ถึงกับนิ่งอึ้งด้วยความงง
“น้องสาวของท่านมิได้เป็นโรคเรื้อนเพียงอย่างเดียวฃ
นางถูกคำสาปชั่วราวรังควานด้วย
ดังนั้นแล้ว อย่าได้ไปตำหนินักเวทย์และนักบวชมากนักเลยท่าน
นี่ถือว่า เป็นหนึ่งในรอบนับพันปีในโลกมนุษย์ที่มีการใช้มนตร์ดำไสยเวทย์เช่นนี้ ?”
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรกัน……?”
“อ้ะ ที่ข้ามิได้บอกท่านไปก่อนหน้านี้แล้วหรือ ?”
ผมยิ้มอ่อนโยนกลับไป
“ข้าคือดันทาเลี่ยน , อย่าประเมินสมญานาม จอมมารไว้ต่ำไปนักสิ ”
การพูดกึ่งขู่ทางอ้อมแบบนั้นทำเอาอีกฝ่ายต้องเงียบไป
ผมยื่นมือขวาออกมา
“ราชาผู้ยิ่งใหญ่, ท่านยินดีที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองชาติของเราให้ดำรงอยู่ไปชั่วกาลนานไหม ?”
“…….”
ผมสามารถรอนานเท่าไหร่ก็ได้
ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่จับมือขวาผม
แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ผมสัมผัสได้ว่า มือของเขานั้นสั่นอยู่
มันเป็นการสั่นด้วยความรู้สึกยินดี
มนุษย์น่ะสมควรใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัวจอมมารระดับนี้แหละ
และนั่นเป็นยามที่อลิซาเบธสูญเสียพันธมิตรของเธอไป
MANGA DISCUSSION