บทที่ 332 – หอมกลิ่นอะนีโมนี่(2)
เดซี่คอยดูแลนักบุญหญิงในช่วงที่เธอล้มป่วย นั่นเป็นสิ่งที่ผมได้ยินได้ฟังมา
หลังจากนักบุญหญิงฟื้นไข้ขึ้นมาเธอก็กลับไปทำหน้าที่ตามเดิม แต่ผมกลับไม่เห็นเธอเลย
มาคิดๆดูแล้ว นังหนูจอมน่ารำคาญนั่นไม่มาเยี่ยมผมเลยตอนที่ผมป่วยติดเตียง
ผมออกจะไม่ค่อยสบายใจนัก ก็เลยพูดเรื่องนี้กับนักบุญหญิง
“เป็นเรื่องที่น่าตลกดีที่เป็นนักบุญหญิงแต่กลับไม่มีข้ารับใช้คอยดูแล ”
ใช่ว่า ผมอยากจะให้เดซี่มาเยี่ยมผมตอนป่วยเสียเมื่อไหร่
แต่นี่ก็ผ่านไปเดือนนึงแล้วนับตั้งแต่ผมล้มป่วย เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ได้เห็นหน้าเธอนานขนาดนี้ , ผมเองเลยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
เด็กคนนั้นนิสัยเน่าในไปถึงแก่น ใครจะรู้ว่านางกำลังวางแผนอะไรอยู่
“อย่าเข้าใจฉันผิดไปสิ ฉันให้คนพวกนั้นไปอยู่ที่อื่นจะได้คุยกับนายได้สะดวก ”
“เมดคนนั้นเธอจะเก็บไว้ข้ากายตลอดเวลาก็ได้ ถึงเด็กคนนั้นจะได้ยินสิ่งที่เราพูดคุยกันก็ไม่เป็นไรหรอก ”
นักบุญหญิงมองผมด้วยความสงสัย
“เมดหรือ? หมายถึงคนไหน ?”
“……เด็กสาวผมดำที่คอยดูแลเธอตอนป่วยก่อนหน้านี้ไง? คนนั้นเป็นลูกสาวบุญธรรมของข้าเอง”
นักบุญหญิงขมวดคิ้วมุ่ย
“เด็กสาวผมดำ ……. อ๋อ , นายกำลังพูดถึงเด็กคนนั้นหรือ ?
เด็กคนนั้นมาดูแลฉันไม่กี่วันก่อนที่จะเปลี่ยนให้คนอื่นมาดูแลแทน
ตอนนั้นฉันเจ็บจนพูดอะไรไม่ไหว ก็เลยไม่ได้คุยกับเธอดีๆเสียที ”
“……ข้าไม่ได้จะบอกเรื่องนั้น ”
“ตอนนั้นนายก็ครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่ ไม่เรียกหัวหน้าเมดมาเหรอ ?”
‘ก็คนนั้นแหละหัวหน้าเมดล่ะ ’, ผมอยากจะตอบไปอย่างนั้นแต่ยั้งตัวเองไว้ฃ
ถึงนักบุญหญิงจะเป็นผู้ร่วมงานที่เชื่อถือได้ แต่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่า เธอเป็นสปายของบริททานี่
ผมจึงไม่ควรให้ข้อมูลใดๆกับเธอ
ผมเลยไปหาลุคหลังปลีกตัวจากนักบุญหญิงแล้ว
พอพวกเขารู้ว่า ผมมาหา เด็กสาวชาวหมู่บ้านที่รายล้อมลุคอยู่ก็รีบคุกเข่า
ลุคเองก็เป็นหนึ่งในทหารดูแลเมือง เขาจึงยกกำปั้นขวาประทับอกแสดงความเคารพผม
ผมพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแสดงมาดของท่านพ่อผู้ลุ่มลึกและยิ้มให้กับพวกเขา
“ดูเหมือนลุคของเราจะเป็นที่นิยมน่าดูเลยนี่ สาวน้อยรอบกายเจ้าก็งดงามเหมือนดอกไม้เลยเชียว ”
เด็กสาวทั้งหลายต่างหัวเราะคิกคักทั้งที่ยังก้มหัวอยู่
ถึงผมจะมีสมญานาม ชื่อเล่นแย่ๆ อะไรต่อมิอะไรมากมายอย่างเช่น นักวางแผนชั่ว จอมใส่ร้าย และราชันเหมันต์ อันเป็นชื่อที่โด่งดังไปทั่วทั้งทวีป
แต่สำหรับคนของผมแล้ว ผมเองก็เป็นเจ้าของที่ดินธรรมดาๆคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกับผู้คน
ลุคนั้นโตมากพอที่จะตอบกลับมาอย่างสุภาพ
“ตัวผมไม่อาจเทียบได้กับฝ่าบาทที่ห้อมล้อมด้วยดอกไม้ในทุกช่วงเวลาครับ ”
“ในงานเทศกาลอย่างนี้ไม่มีลอร์ด ไม่มีข้ารับใช้ใดๆทั้งนั้น
ไม่ต้องเรียกข้าในฐานะลอร์ดผู้ปกครองก็ได้ เรียกข้าว่าเป็นพ่อทูนหัวของเจ้าได้ตามสะดวกเถอะ ”
“……! ครับ, ท่านพ่อ!”
เด็กหนุ่มยิ้มสดใส
อายุสิบห้าปี ลุคนั้นอยู่ในช่วงวัยที่ในหัวใจคุกรุ่นไปด้วยความยุติธรรม
ความมีเหตุมีผลของเขานั้นน่ากลัวมาก แต่ก็ยังมีม่านหมอกปกคลุมตัวเขาอยู่
เขาสามารถบอกได้ว่า อะไรผิด อะไรถูก และอะไรเป็นการเสแสร้งแต่เขากลับไม่สามารถที่จะมองทะลุบุคคผู้อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ได้
คนพวกนี้มักมองไปถึงอนาคตข้างหน้าแต่ไม่มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า คนพวกนี้ขาดการมองเห็นในปัจจุบัน
เขาเชื่อว่า ตัวเองนั้นเปี่ยมไปด้วยเหตุผลเพราะดวงตากำลังจับจ้องอะไรบางอย่างอยู่ แต่คนแบบนี้ไม่อาจเป็นผู้นำได้เพราะไม่อาจจัดการอะไรที่อยู่ตรงหน้าได้เลย
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็มีคุณลักษณะที่เหมาะสมต่อการเป็นหัวหน้ากองจู่โจมผู้คลั่งไคล้หลงไหล อาการหนักกว่าน้องสาวเขาด้วยซ้ำ
แม้ผมจะดูถูกอยู่ลึกๆแต่ผมไม่แสดงความเย็นชาออกมา
ผมนั้นสบายอกสบายใจเหลือเกิน ยามที่มองต่ำลงไปยังตุ๊กตาทหารผู้น่ารัก
“ลุค , เจ้ารู้ไหม เดซี่ไปไหน ?”
“อ่าา…….”
ลุคดูลนลาน
“ต้องขอภัยด้วยครับ , ท่านพ่อ, แต่ผมไม่ทราบเช่นกัน …….”
“ไม่เป็นไร , ข้าแค่สงสัยว่า นางได้ไปพบพ่อแม่บ้างไหม เพราะช่วงนี้ข้าไม่ค่อยได้เห็นนางเลย ”
ผมคิดว่าตัวเองน่าจะไปถามลาพิสแท้ๆแต่กลับมาคุยเล่นอยู่ที่นี่ แต่ทันใดนั้นผมสังเกตเห็นภาษากายของลุค
เขาไขว้นิ้วด้วยความกังวล
หากจะไปพูดถึงมัน ก็คงทำให้เขาหดหู่ไปยิ่งกว่านี้
“ข้าต้องขออภัยกับเลดี้ทั้งหลาย จะเป็นอะไรไหมหากข้าจะขอยืมตัวอโดนิส*ของพวกเจ้าไปสักครู่ ?”
พวกเด็กสาวหัวเราะเบาะๆก่อนจะยอมถอยให้
เกิดระยะห่างช่องว่างขึ้นระหว่างผมกับลุค
ผมเฝ้าอดทน และให้บรรยากาศราวกับว่าผมยินดีจะรับฟังทุกสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกมา
ว่าแล้ว ลุคก็ยอมเปิดปากพูด
“อันที่จริง ก็สักพักแล้วที่เดซี่ไม่กลับมาที่บ้าน ”
“สักพักที่ว่านี่? นานแค่ไหนแล้ว ?”
“ก็ราวๆสอง…… ไม่สิครับ,เกือบสามปีแล้ว ”
ผมประหลาดใจ สามปีที่ผ่านมาก็นับตั้งแต่ที่พวกเขามามาอยู่ที่นี่
“แปลกเสียจริง เดซี่เองก็ไม่เคยปฏิเสธวันหยุด ไม่ใช่ว่า เธอไปอยู่กับเจ้าหรอกรึ ?”
“มาครั้งเดียวครับ อ่า, เดซี่บอกผมว่า ไม่ให้ไปบอกใครน่ะครับ ”
ลุคเกาหัว
“สองปีกว่าแล้วที่เดซี่ประกาศว่า จะไม่กลับมาหาครอบครัว
เธอบอกว่าตัวเองไม่ใช่ลูกสาวของบ้านนี้ หรือน้องสาวของผมอีกต่อไปแล้ว …….”
“ข้าเข้าใจแล้ว ”
สิ่งนี้กลับกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผมขึ้นมาอีก
กระบวนการความคิดของเดซี่นี้ช่างอ่านได้ง่ายมากสำหรับผม
ถึงแม้จะไม่ใช่การสัมผัสทางร่างกายโดยตรง หากแต่เธอนั้นกลับร่วมประเวณีกับพี่ชายในสายเลือดเดียวกัน เธอคงไม่รู้ว่าจะสู้หน้ากับครอบครัวตัวเองยังไงดี เธอจะบอกพวกเขาไปแบบนั้น
หรือเธอแอบซ่อนอะไรที่น่าสนใจจากผมอยู่กัน?
เดซี่นี่ช่างไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเคารพต่อพ่อบุญธรรมตัวเองเลยแม้แต่น้อย
ผมพูดด้วยน้ำเสียงกังวล
“เกิดอะไรขึ้นหรือ ?”
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่พ่อกับแม่ก็โมโหขึ้นมาแล้วดุด่าเธอ ……ท่านพ่อก็รู้จักเธอดีนี่ครับ
หากเธอเลือกที่จะปิดปากเงียบ ก็ไม่มีใครสามารถทำให้เธอพูดออกมาได้ ”
ลุคถอนใจออกมา
“แม่ของเราขอร้องให้เธออธิบายเหตุผลให้พวกเราฟัง แต่เธอกลับไม่สนใจทั้งนั้น
สุดท้าย พ่อของเราก็เลยขับเธอออกจากบ้าน และบอกว่าเขาไม่ต้องการลูกสาวที่ทำตัวแบบนี้อีก
เฮ่ออ , ผมไม่รู้จริงๆว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ”
ทั้งหมดก็เพราะนายนั่นแหละ,ลุค
ผมตำหนิเขาอยู่ในใจ ดูเหมือนจะเป็นการพัฒนาการทางจิตใจสินะ
เดซี่ค่อยๆเติมโตขึ้น ในมุมที่ผมมองไม่เห็น
เด็กสาวที่ปกติชอบทำตัวชั่วร้ายกำลังพยายามปกป้องอะไรบางอย่างอยู่
ตอนนั้นเธอมายืนอยู่ตรงหน้าผมในวัย 10 ขวบเพื่อปกป้องครอบครัวของเธอชาวบ้านคนอื่น
เธอยังคงรักษาความภาคภูมิใจของตัวเองไว้และพยายามจะลอบสังหารเพื่อแก้แค้น
คนแบบนี้นี่แหละที่ยากจะควบคุม
การกดความภาคภูมิใจในตัวเองของคนแบบนั้นให้ต่ำติดดินเป็นวิธีการเดียวที่ใช้ได้
ฉันนั้นเป็นพวกสันดานขยะ จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะปกป้องอะไรทั้งนั้น และไม่คู่ควรต่อการให้ใครมาปกป้อง ……. คนแบบนั้นต้องมีความรู้สึกอับอายเช่นนี้
ความรู้สึกพวกนี้จะทำให้จิตใจอ่อนแอลง
ผมทำให้เธอร่วมเพศกับพี่ชายทางอ้อมและยังให้เธอทรมานนักโทษ
ทุกการกระทำที่แสนต่ำทรามเท่าที่มี ผมให้เธอทำในสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
มันต้องใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าจะดึงเด็กสาว ผู้ที่จะเป็นฮีโร่ในอนาคตจมดิ่งสู่ความมืดมิด
ผมไม่รู้สึกแย่ที่ทำแบบนั้นกับเธอเลยแม้แต่น้อย
หากผมจะรู้สึกแย่กับใครนั่นก็แปลว่า ผมจะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่ง เข้มแข็งกว่าพวกเขา หรืออย่างน้อยๆเราก็ควรจะอยู่ในระดับเดียวกัน
แต่กับเดซี่นั้น ผมถือว่า เธอแข็งแกร่งกว่าผมเป็นอย่างมาก
หากคุณรู้ว่า ตอนผมอายุ 10 ขวบนั้นไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวขนาดไหน
ผมนั้นเป็นจอมมารและเดซี่นั้นเป็นใครบางคนที่ในอนาคตจะกลายเป็นฮีโร่
หากผมประมาท ลดการ์ดลงเมื่อไหร่ผมก็เสียเปรียบเมื่อนั้น
“ข้าเข้าใจแล้ว อาจจะสายไปสักหน่อย แต่ข้าจะไปพูดกับเธอให้ ”
“ขอบคุณมากๆครับ,ท่านพ่อ”
ลุคพูดออกมาอย่างเศร้าๆ
“เดซี่นั้นเป็นสมาชิกคนสำคัญในครอบครัวเรา เธอเป็นลูกสาวที่ไม่มีใครแทนที่ได้สำหรับพ่อแม่”
“เดซี่น่ะเป็นลูกสาวบุญธรรมเพียงคนเดียวของข้า
ทำใจให้สบายเถอะ เรื่องนี้ให้เป็นธุระของข้า ”
ผมลูบหัวของลุคเบาๆ
ลุคหัวเราะดีใจ ดูๆไปก็น่าเอ็นดูดีนะ เหมือนผมกำลังเฝ้าดูแฮมสเตอร์ที่เลี้ยงดูอยู่ในกรงที่มองไม่เห็น
“ลาพิ , มานี่ ”
ผมให้ลุคกลับไป และเรียกลาพิสมา
เธอกำลังอยู่ระหว่างประชุมเรื่องสำคัญกับหัวหน้าหมู่บ้านคนอื่นๆ แต่อยู่ๆเธอก็โค้งหัวให้พวกเขาแล้วมาหาผมในทันทีที่รู้ว่าผมเรียกหา
ลาพิสรู้ ตารางการทำงานของผู้บริหารทุกคนของผม ดังนั้นเธอจึงสามารถตอบคำถามนี้ได้สบายๆ
คราวนี้ผมจะเล่นอะไรกับเดซี่ดีนะ ?
ผมว่า จะลองทำสไลม์จิ๋มกระป๋องสองอันดูดีกว่า มันจะช่วยเพิ่มความน่าอับอายมากเป็นสองเท่า แถมกระตุ้นสัมผัสให้รุนแรงขึ้นอีกสี่เท่าด้วย
ผมนี่มันอัจฉริยะจริงๆ
ลาพิสโค้งให้ผม
“ท่านเรียกดิฉันหรือคะ ,ฝ่าบาท ?”
“ถูกแล้ว ข้ารบกวนธุระสำคัญของเจ้าหรือเปล่า ?”
“ก็แค่การพูดคุยเรื่อยเปื่อยค่ะ ดิฉันดีใจด้วยซ้ำที่ท่านเรียกหา ”
การที่ลาพิสพูดแย่ๆถึงหัวหน้าหมู่บ้านนั่นเป็นปกติของเธอ
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“ก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญนักหรอก แต่ช่วงนี้ข้าไม่เห็นเดซี่เลย
ข้าคิดว่า นางน่าจะไปรับใช้อยู่กับท่านนักบุญหญิง แต่ดูเหมือนไม่ใช่แบบนั้น แถมกลายเป็นว่านางก็ไม่ได้กลับไปอยู่กับครอบครัวด้วยเช่นกัน
เจ้าเด็กนั่นมันหนีไปอยู่ที่ไหนกันนะ?”
“…….”
จู่ๆลาพิสกลับเงียบ
ถึงใบหน้าของเธอจะยังไม่แสดงสีหน้าใดออกมา แต่ผลจากการที่เฝ้าสังการเธอมาหลายต่อหลายปี ผมกลับเห็นอะไรบางอย่าง
ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของลาพิสกลับซีดลง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องลาพิส ผมแน่ใจเรื่องนี้สุดๆ
“ลาพิส ?”
“……นับตั้งแต่ฝ่าบาทนอนติดเตียงยาวนานเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้เหล่าข้ารับใช้ทั้งหลายต่างกังวลจนไม่เป็นอันหลับนอน ”
ลาพิสพูดเสียงเบา
ความรู้สึกและลางสังหรณ์แปลกๆ
แทนที่จะตอบคำถามผมมาตามตรง เธอกลับเลือกที่จะตอบอ้อมๆ
สำหรับุคคลที่มักตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาเสมอ ครั้งนี้ลาพิสกลับทำผิดหลักการของตัวเอง
ผมสั่งใช้เวทย์มนตร์ด้วยแหวนในมือขวา
มันเป็นเวทย์บาเรียที่จะบิดเบือนเสียงในระยะ 3 เมตร
ดังนั้นแล้วเราจึงไม่ต้องกังวลเรื่องคนแอบดักฟัง
ผมมองลาพิสด้วยแววตาจริงจัง
“พูดต่อ เล่ามาให้หมด”
“ข้ารับใช้ส่วนมากต่างเชื่อว่า ฝ่าบาทจะไม่เป็นอะไร แต่ก็มีบางคนนึกไปถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุดแล้ว ”
“พวกขี้ขลาด”
ผมเย้ยหยัน
“ไม่ยอมเชื่อใจในตัวข้า แต่กลับกังวลวุ่นวายกับเรื่องความเป็นอยู่ของตัวเอง
พวกนั้นมันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากเสียข้าไป
สมควรที่จะมีสำนึก รู้จักอายเสียบ้างที่ไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ทั้งที่เป็นข้ารับใช้ของข้าแท้ๆ”
“……หัวหน้าฝ่ายกิจการทหารมีปฏิกริยาต่อเรื่องนี้หนักเป็นพิเศษค่ะ ”
ผมหยุดกึกไปทันที
ว่ายังไงนะ?
ผมขมวดคิ้ว เพราะไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยินกับหูตัวเอง
“ลอร่าน่ะชอบอวดว่า ตัวเองน่ะจิตแข็งยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก เป็นรองก็แค่ข้าด้วยซ้ำ แน่ใจเรื่องนั้นแล้วหรือ ?”
“ฝ่าบาทคะ ”
ลาพิสมองตรงมาที่ผม ราวกับตัวเธอคนเดิมได้กลับมาแล้ว
“มีบางอย่างที่ดิฉันต้องรายงานท่านค่ะ
ดิฉันทราบดีว่า ท่านคงไม่ให้อภัยแน่ที่มารายงานท่าน ณ ตอนนี้
……การแสดงออกที่ข้ารับใช้แสดงให้ฝ่าบาทเห็นไม่ใช่ความรู้สึกจริงๆของพวกเขาค่ะ ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ……?”
“ดิฉันไม่อยากให้ฝ่าบาทเป็นห่วงในเรื่องที่ไม่จำเป็น
ดิฉันเชื่อว่า ตัวเองสามารถจัดการกับความวุ่นวายภายในได้และเป็นสิ่งที่ดิฉันสมควรกระทำค่ะ
ดิฉันต้องขอประทานอภัยด้วย เนื่องจากดิฉันเข้าใจเรื่องนั้นผิดไปเป็นอย่างมาก”
ผมถึงกับเปิดปากออกมา
ลาพิสนั้นรู้สึกทั้ง สิ้นหวัง,เสียใจและรู้สึกผิด
แม้อารมณ์พวกนั้นจะตีกันยุ่งเหยิงแต่ผมสามารถรู้สึกถึงอารมณ์พวกนั้นได้อย่างชัดเจน ผมนั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึงและความโกรธ
อะไรทำให้ลาพิสถึงกับสิ้นหวัง ?
“……แล้วเดซี่ล่ะ ?”
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“เจ้ายังไม่ตอบคำถามของข้าเลย เกิดอะไรขึ้นกับเดซี่ ?”
แทนที่จะตอบมาตรงๆ ,ลาพิสกลับก้มหน้าลง เธอไม่กล้าเผชิญหน้าผม
ลาพิสแทบไม่เคยแสดงพฤติกรรมแบบนี้ให้ผมเห็นมาก่อน ภายในอกผมเต็มไปด้วยความโกรธจนแทบคลั่ง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับกองกำลังของผมกันแน่ !?
MANGA DISCUSSION