บทที่ 298 – สงครามหุ่นเชิด (15)
* * *
ในที่สุดพวกบริททานี่ก็หนีเสียที
เก้าวันหลังจากที่พวกเราทำการปิดล้อม
พวกเขาควรจะเริ่มเคลื่อนไหวตั้งแต่สองวันแรกแล้วหากต้องการจะถอย และหากออกจากเมืองหลวงก่อนที่ความหวาดกลัวในการกวาดล้างผู้คนแพร่ขยายตัวออกไปก็จะเป็นการฉลาดกว่า หากเป็นอย่างนั้นเฮนริเอตต้ายังพอมีข้ออ้างแก้ตัวได้บ้าง
เช่น
“ข้าไม่คิดว่า เจ้าพวกนั้นจะทำเช่นนั้น” หรือไม่ก็ “ข้าไม่คาดคิดมาก่อนว่า เจ้าพวกนั้นมันกระทำการโหดร้ายอย่างนั้น”,
เธอยังสามารถที่จะใช้คำพูดโกหกปกปิดเอาตัวรอดไปได้
เธออาจโดนวิจารณ์ว่าทำอะไรไม่รู้จักระมัดระวัง แต่เธอจะไม่ถูกประณามว่า ไม่ยอมทำอะไรแม้ผู้คนกำลังโดนฆ่า ซึ่งการกระทำนั้นจะช่วยลดความเสี่ยงทางการเมืองลง จะช่วยรักษาฐานอำนาจของราชินีไว้ได้…….
แต่เฮนริเอตต้าก็ทำมันพัง พวกนั้นไม่ทำอะไรเลยเกือบสิบวัน ผมบอกได้เลยว่าพวกเขานั้นอ่อนยวบยาบเสียเหลือเกิน
การจะทอดทิ้งเมืองหลวงอย่าง ปารีสมันยากตรงไหนกัน?
หรือเธอเชื่อว่า เรือเสบียงจะมาส่งได้สำเร็จอย่างนั้นหรือ……?
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ สุดท้ายเธอก็คำนวณพลาดไปหมดเลย ยังไม่รู้ตัวหรือไง?
ชีวิตบทบาททางการเมืองของเธอมันจบลงแล้ว,เฮนริเอตต้า
“พวกเราควรตั้งหน่วยไล่ล่า
แล้วทิ้งทหารบัทตาเวียไว้ที่เมืองหลวง
แค่นี้น่าจะเพียงพอที่จะควบคุมความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองเหลืองได้”
“แต่ถ้ายังมีทหารจำนวนหนึ่งเหลือไว้ป้องกันเมืองอยู่ล่ะ?”
ผมทำตาปริบๆด้วยความประหลาดใจกับคำตอบของกามิกิน
“อะไรน่ะ? นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ไหนนายบอกว่า ราชินีแห่งบริททานี่หนีไปแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“เธอไม่ได้ไปทั้งหมด ทหารราว 25,000 นายออกไปจากเมือง ดังนั้นก็จะมีทหารในเมืองเหลืออยู่ประมาณ 4,000 นายที่คอยป้องกันเมือง”
“นายจะบอกว่า……พวกนั้นแบ่งแยกกองกำลังหรือ?”
โอ้ เหล่าทวยเทพทั้งหลาย
ผมค้อมศีรษะลง มันเป็นแผนของเฮนริเอตต้าน่ะ
พวกทหาร 4,000 นายนั้นเป็นแพะรับบาป เธฮพยายามทำให้ทุกคนเห็นว่า เธอนั้นมิได้ทอดทิ้งปารีส
ที่พวกเขาทิ้งไว้ไม่นับเป็นส่วนหนึ่งของกองทหารเสียด้วยซ้ำ นายพลที่โดนทิ้งไว้ข้างหลังจะได้รับชื่อเสียงเป็นอันมาก
ส่วนเธอก็เอาทหารระดับหัวกะทิไปด้วย……แล้วก็เร่งรีบหนีไปในขณะที่พวกเราวุ่นยุ่งกับการยึดเมืองปารีสคืน
หากเราปล่อยปารีสทิ้งไว้อย่างนั้นแล้วไล่ตามพวกเขา ทหารที่อยู่ในเมืองก็จะเข้ามาตีกระหนาบเราไว้
ถึงไม่ตามพวกเขาไปก็เป็นเรื่องดี แต่หากเราตามล่าพวกนั้นต่อ พวกนั้นก็จะฉวยโอกาสนี้ในการเปิดศึกรบเต็มกำลัง ซึ่งการการรบที่พวกนั้นได้เปรียบ
นี่คือแผนของเธอ
อะไรกันครับเนี่ยยยย
“แผนโง่ๆ……!”
ผมก้มหัวลงแล้วหัวเราะลั่น สุดท้ายแล้วผมถึงกับปวดหัว ปวดท้องไปหมดเพราะการหัวเราะนั้น
นี่มันผลงานชิ้นเอก
อ่าาาาห์ นี่มันผลงานชิ้นเอกชัดๆ!
พอมาคิดว่า เธอนั้นพยายามจะรักษาไว้ให้ได้ทั้งทหารและเกียรติยศของตนเองแล้ว
จะโง่ให้มันมีขีดจำกัดบ้างเถอะ เฮนริเอตต้าแทบไม่ได้เรียนรู้อะไรจากบทเรียนที่ผมมอบให้เลย
หรือเธอกำลังประมาทผมอยู่?
หรือนี่เธอกำลังดูถูกผมเพราะผมพ่ายแพ้สงครามกลางเมืองที่ฟรานเคียเมื่อตอนนั้น?
เธอเลือกทางเลือกที่เลวร้ายที่สุดแล้วล่ะ,ราชินีเอ๋ย
“แล้วมันพลาดตรงไหนที่พวกนั้นแบ่งแยกกำลัง? อาจจะไม่ก็ได้ ก็พวกนั้นสามารถป้องกันเมืองได้อีกอย่างน้อยก็สี่วัน”
“กามิกินจ๋า, นั่นมันกรณีที่พวกเราตั้งใจที่จะปิดล้อมจริงๆ
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เราจะออกนอกแผนแล้วยึดปารีสกันไปทำไมกันล่ะ?
ไม่มีความจำเป็นใดที่เราจะต้องทำตามการเล่นตลกของราชินีคนนั้นเลยนี่”
กามิกินเลิกคิ้วขึ้น
“นายกำลังจะบอกว่า เราสามารถปล่อยเมืองหลวงไว้อย่างนี้แล้วไล่ล่าพวกเขาได้น่ะหรือ? ทั้งหลังเราเปิดโล่งอย่างนี้น่ะนะ”
“เธอเข้าใจคำพูดของข้าผิดไปแล้ว ,กามิกิน
ข้าพูดว่า ไม่มีเหตุผลสำหรับ ‘พวกเรา’ ที่จะยึดปารีส”
ผมยิ้ม
“ใช้ไวเวิร์นของเธอน่ะ กระจายจดหมายไปตามนี้นะ:
ราชินีของพวกเจ้าทอดทิ้งพวกเจ้าแล้วหนีจากเมืองไปแล้ว
เหล่าผู้คนแห่งปารีสเอ๋ย หากไม่อยากถูกจำจัด เจ้าจงลุกขึ้นสู้กับบริททานี่ ณ บัดนี้
ผู้ใดหาญกล้าลุกขึ้นมาต่อต้านพวกบริททานี่จะได้รับการอภัยโทษ ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ใดๆ…….”
ผมหันกลับไปมองปารีสจากมุมไกลๆ
“อย่างไรก็ดี หากพวกเจ้าเลือกให้การสนับสนุนพวกบริททานี่ การกวาดล้างย่อมจะเกิดขึ้นโดยไม่มีความปรานีอีกต่อไป
นี่เป็นคำเตือนสุดท้ายที่มีต่อพวกเจ้า
โอกาสสุดท้ายแล้วที่พวกเจ้าจะได้รับความเมตตาเช่นนี้”
พวกเรารีบเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อดังกล่าวออกไปในทันที
พวกเราจะข้อได้เปรียบจากการมีเวทย์มนตร์กระจายเสียงทำให้ใช้เวลาไม่มากในการกระจายข่าวนั้น พวกเราบินไปนอกกำแพงเมืองด้วยไวเวิร์น และสั่งให้พวกเขายอมจำนนแต่โดยดี
เกือบสิบวันที่โดนประหารด้วยการเผาทั้งเป็น ราชินีแห่งบริททานี่ ที่พวกเขาเชื่อใจกลับหลบหนีไป เธออาจจะหนีไปพร้อมกับกอบโกยเอาเสบียงหลงเหลืออยู่ในเมืองหลวง
ทั้งความกลัวจากการถูกฆ่าล้าง,ความเชื่อใจที่มีกลับโดนทรยศ, มาคราวนี้ต้องหวาดผวาต่อความหิวโหย……. ผู้คนในเมืองปารีสไม่มีทางเลือกมากนักหรอก
คืนนั้นเองที่ไฟลุกโชติช่วงขึ้นภายในเมือง
เสียงโลหะกระทะ พร้อมเสียงตะโกนจนได้ยินมาจากที่ไกลๆ
ชาวเมืองปารีส เกือบ 80,000 คนลุกขึ้นมาต่อต้านพวกเขานั้นกดดันกองกำลังทหาร 4,000 นายจนพวกเขาอยู่ใต้การควบคุม
กองทหารของพวกเราเรียงแถวยาวเป็นเส้นตรงที่ประตูทางต้าน เฝ้ารออย่างอดทน
พี่เบเลธนั้นอดรนทนไม่ไหวขณะที่เฝ้าดูความอลหม่านก่อนจะแตะไหล่ผม
“นี่ น้องเรา
ทำไมเราไม่เข้าไปยึดเมืองเสียเลยล่ะ ก็ในเมื่อเราทะลวงกำแพงประตูได้แล้ว?
หรือว่าควรถามยัยผู้บัญชา……อ่า ไม่สิ ท่านผู้บัญชาการการรบ?”
“พี่ไม่ลองไปถามนางเองล่ะครับ?”
พี่เบเลธมือสั่นขึ้นมาทันที
ดูเหมือนความทรงจำตอนที่โดนลอร่าดุเข้าจะทำเอาเขาหวาดกลัวเลยทีเดียว ผมหัวเราะขึ้นมาเบาๆ
“นี่เป็นกับดักน่ะ
พวกนันแกล้งทำเป็นว่า เกิดจราจลขึ้นมาในเมืองเพื่อล่อให้เราบุกเข้าไป
……. ซึ่งอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่ก็ไม่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อความเป็นไปได้นั้นอยู่ดี
นี่เป็นการตัดสินใจของท่านผู้บัญชาการการรบ”
“อืมมมม”
พี่เบเลธพยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว
แต่อันที่จริงน่ะ มันเป็นการตัดสินใจของผมเอง ไม่ใช่ของลอร่าหรอก
ลอร่าแนะให้พวกเราบุกเข้าไปทันทีที่เห็นความวุ่นวายเกิดขึ้นในเมือง แต่ผมไม่เห็นด้วย
เพราะทั้งหมดนั่นคือ สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นใน <Dungeon Attack>
มีฉากหนึ่งที่จักรวรรดิฮับบวร์กรุกรานฟรานเคีย หลังจากที่อลิซาเบธขึ้นเป็นจักรพรรดินีได้แล้ว
มีการก่อตั้งกองพันธมิตร ฟรานเคีย-บริททานี่ขึ้นโดยมีลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่ เป็นนายพลคนสำคัญ แต่ถึงอย่างนั้นพวกนั้นก็จลงตรงที่ต้องถอยกลับไปที่ปารีสเพราะฮีโร่คนนั้น
การปฏิวัติครั้งใหญ่ในปารีสเกิดขึ้นตอนนั้นแหละ ฮีโร่ที่เดินทัพเข้าเมืองไปแบบงงๆ สุดท้ายก็พบว่า มันเป็นกลอุบาย
หลังจากฮีโร่โดนทัพซุ่มโจมตีก็ต้องหนีเตลิดออกมา
ตอนนั้นเองที่เกิดการเลือกรูทนางเอกโดยขึ้นอยู่กับว่าจะออกไปทางประตูฝั่งเหนือ หรือฝั่งตะวันออก แต่……อืมม ถ้าเป็นกรณีนั้นแล้ว สถานการณ์ตอนนี้น่ะ มันน่าสงสัยมากเกินไป
สุดท้ายมันก็เป็นไปตามที่ผมคาดไว้ ไฟที่ไหม้กลางดึกนั้นเป็นฝีมือของทหารบริททานี่ ปัญหาก็คือ มันทำให้ชาวเมืองต่างหลงคิดไปว่า เกิดการลุกฮือขึ้นมาแล้วน่ะสิ
ทั้งความกลัวและหวาดวิตกที่ก่อตัวขึ้น ปะทุระเบิดออกมาทันทีที่เห็นเปลวเพลิง ัมนทำให้ผู้คนในปารีสหลั่งไหลออกมาตามท้องถนนยามค่ำคืน
ผู้คนนับหมื่นเนืองแน่นขนัด คลังอาวุธว่างเปล่าในทันตา
ประภาคารเฝ้าสังเกตและป้อมปราการที่ทหารบริททานี่เฝ้ายามอยู่ก็โดนยึด
ผู้คนทำการฆ่าล้างทหารโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะต่อต้านหรือยอมจำนน
หากพวกเราเข้าเมืองหลวงไปโดยไม่ระวังตัวไว้ก่อนแต่แรก มีหวังเราคงได้โดนทหารฝ่ายศัตรูที่ซุ่มซ่อนอยู่ตามตำตามอาคารโจมตีเข้าแล้ว
แต่เนื่องจากเราไม่เคลื่อนไหวใด ทหารบริททานี่ที่แยกกำลังไปประจำจุดต่างๆ เฝ้ารอโอกาสลอบโจมตี แต่การทำเช่นนั้นกลับกลายเป็นเหยื่อให้กับชาวบ้าน
ทหารบริททานี่ถูกฆ่าตายโดยไม่อาจกลับมารวมกลุ่มกันได้ใหม่อีกแล้ว
หกนาฬิกาตรง ตอนเช้าตรู่
ประตูเมืองเปิดออกเอง
เหล่าทหารอาสาของเมืองออกมาพร้อมกับนักโทษชาวบริททานี่ มีเพียงราวสองร้อยคน นั่นก็หมายความว่า พวกที่เหลือเกือบ 4,000 ในเมืองโดนฆ่าตายหมดแล้ว
“…….”
เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเหมือนกันที่ผมกลับคุ้นหน้าคุ้นตาบางคนในหมู่นักโทษ
ชุดนักบวชสีขาวบริสุทธิ์ ผมม้วนกลมสีส้ม
นี่มันนักบุญหญิงแห่งวิหารเอเธน่า ,แจคเกอลีน ลองวี่ นี่นา
เธอจ้องผมพวกเราด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่า ราชินีคนนั้นจะยอมทิ้งนักบุญหญิงเอาไว้เป็นเครื่องเซ่นสังเวย…….
ตัวแทนของทหารอาสาต่างคุกเข่าพร้อมๆกัน
“ท่านครับ ท่านผู้ปกครองและตัวแทนของฮับบวร์ก”
ยังมีชาวบ้านมีมากมายอยู่บนกำแพงเมือง
กวาดสายตาดูคร่าวๆก็ราวๆเกือบหมื่นคนที่มาออกันที่นี่
พวกเขากำลังเฝ้าดูพวกเราขณะที่หายใจไม่ทั่วท้อง
“นายท่านสัญญากับพวกเราแล้วว่าจะเมตตาละเว้น
ดังนั้นพวกเราประชาชนแห่งเมืองปารีสจึงได้กำจัดศัตรูของท่าน แล้วจับพวกมันมาไว้ตรงหน้าท่านแล้ว
พวกเราร้องขอความเมตตาปรานีที่ท่านได้ให้สัญญากับพวกเราไว้”
“พวกเราทุกคนได้ยอมรับความผิดบาปในอดีต”
รูดอล์ฟพูดขึ้น เอาจริงๆนะ พวกเราก็เป็นกองทัพมนุษย์แต่เพียงในนามเท่านั้นแหละ ดังนั้นจักรพรรดิรูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวร์ก ก็ต้องออกมายอมรับความพ่ายแพ้ของเหล่าทูต โดยมีเหล่าจอมมารยืนอยู่ด้านหลังเขา
“ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้พวกเราได้ชดเชยความผิดของตนเอง พวกเจ้าก็เช่นเดียวกัน”
เสียงโมโนโทนดังออกมาจากปากรูดอล์ฟ เจ้าหมอนี่ไม่มีสติสตังอะไรหรอก เขาแค่พูดไปตามที่บาร์บาทอสสั่ง แถมผมเองก็ยังเป็นหนึ่งในผู้เขียนบทพูดให้บาร์บาทอสใช้ด้วย ดังนั้นรูดอล์ฟก็หุ่นเชิดดีๆนี่เอง
“หากจะมีใครที่มอบความเมตตาให้กับพวกเจ้า ผู้นั้นหาใช่ตัวข้าไม่
ความเมตตานั้นมาจากเหล่าทวยเทพ
ประชาชนแห่งปารีสเอ๋ย,จงลุกขึ้น”
รูดอล์ฟวางมือลงบนไหล่ของเหล่าตัวแทนแล้วฉุดดังอีกฝ่ายขึ้นมา
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีฟรานเคียที่ตกอยู่ใต้การควบคุม จะไม่มีฟรานเคียที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากกฏกติกาของพวกบริททานี่อีกต่อไปแล้ว
ข้าจะขอสาบานตนเป็นพันธมิตรชั่วกาลนานกับฟรานเคียและปารีส : กองทัพของข้าจะไม่มีวันเข้ายึดปารีส!”
“โอ้, ท่านจักรพรรดิผู้น่านับถือ…….”
ตัวแทนทั้งหลายต่างมองรูดอล์ฟด้วยความทึ่ง
รูดอล์ฟแตะไหล่ตัวแทนอย่างเป็นกันเอง
—แม่เจ้าโว้ย, ทำเอาผมมั่นใจเลยว่ะ ว่าบาร์บาทอสนี่แม่งเป็นสุดยอดนักเชิดหุ่นที่เก่งที่สุดในโลกจริงๆ!—แล้วเขาก็หันหน้าไป
“เหล่าประชาชนผู้ยิ่งใหญ่แห่งปารีส!
ข้ามิใช่ผู้รุกราน ทั้งยังมิใช่ผู้ปกครองของพวกเจ้า
เจ้าไม่ต้องมอบกุญแจประตูเมืองของเจ้าให้กับข้า”
จักรพรรดิหุ่นเชิดตะโกนขึ้นไปบนกำแพงเมือง แน่นอนว่า ใช้เวทย์ขยายเสียงด้วย
“เจ้าจะไม่ต้องเห็นทหารของข้าเดินทัพผ่านบ้านอันเป็นที่รักของพวกเจ้า
ทหารจะไม่เหยียบย่ำผ่านท้องถนนที่พวกเจ้าภาคภูมิใจ
ผู้หญิง,บุตรหลาน และคนชรา ไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดผวาอีกต่อไป
ข้าขอสาบานต่อเหล่าทวยเทพ! ปารีสจะเป็นอิสระโดยสมบูรณ์”
ตอนนั้นเองที่ ชาวบ้านบนกำแพงเมืองต่างตะโกนโห่ร้อง
ทีแรกพวกเขาคิดว่า เรามาเพื่อยึดเมือง แต่เรากลับสาบานว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับด้านในตัวเมือง มันจึงเป็นความใจดีที่พวกเขาไม่คิดว่าจะได้รับ
“จงสรรเสริญโห่ร้องให้กับองค์จักรพรรดิ!”
“ความรุ่งเรืองจงมีแก่ฟรานเคีย! ความรุ่งโรจน์จงมีแก่ฮับบวร์ก!”
“ความรุ่งเรืองจงมีแก่สาธารณรัฐบัทตาเวีย!”
เหล่ามนุษย์ต่างรวมกลุ่มแล้วโห่ร้องพร้อมๆกัน พวกเขาเชื่อแน่แล้วว่า ไฟสงครามดับสิ้นลงแล้ว
เมืองปารีสที่ตกอยู่ใต้การควบคุมของบริททานี่มาสี่ปี ในที่สุดก็ได้อิสระ
แน่นอนล่ะ พวกเขาย่อมได้รับ อิสระ ‘ที่มากเกินไป’ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ……มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้ว่า อะไรเป็นอะไร
“…….”
นักโทษกว่าสองร้อยคนถึงกับคอตก ขณะที่ทุกคนกำลังตะโกนด้วยความยินดีปรีดา
พวกเราปล่อยพวกนักโทษให้เป็นหน้าที่ของทหารอาสาประจำเมือง
“ชาวเมืองปารีสเป็นผู้ถูกพวกบริททานี่ทำร้าย ดังนั้นแล้ว มีเพียงพวกเจ้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการแก้แค้นเอาคืน”
รูดอล์ฟกล่าวสรุป ชาวเมืองต่างโห่ร้องอีกครั้งเมื่อเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังจริงๆ
นักโทษนับร้อยคนโดนประหารโดยประชาชนพวกนั้น
ทหารอาสาต่างดีใจกับความเมตตาที่องค์จักรพรรดิอนุญาตให้ตัดสินชะตากรรมของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริททานี่รวมถึงตัวนักบุญหญิงเองด้วย
นี่เธอคิดว่า เมืองหลวงจะทนได้อย่างน้อยสี่วันจริงๆหรือ เฮนริเอตต้า?
โทษทีนะ ปารีสน่ะล่มสลายในวันเดียว ด้วยความแตกแยกภายนั่นที่ว่านั่นเอง…….
ผมพยายามที่จะบอกเธอแล้วนะว่าให้เลือกมาสักอย่างหนึ่ง อะไรก็ได้มาสักอย่าง แต่สุดท้ายเธอก็พยายามจะรักษาไว้ทั้งกองทัพและเกียรติภูมิ ซึ่งนั่นเป็นความผิดพลาดของเธอ
เธอยังล้าหลังอลิซาเบธอยู่ในเรื่องนี้นะ
หากอลิซาเบธเผชิญหน้ากับการกวาดล้างแบบนี้เข้า เธอทิ้งเมืองหลวงอย่างวินโดโบน่า อย่างไม่ลังเลเลยล่ะ
ซึ่งผลที่ได้ก็คือ กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราเกิดการแตกแยกภายใน
สละเลือดเนื้อเพื่อเถือกระดูกศัตรู หากอยากจะเป็นผู้ปกครองต้องมีความสามารถในการตัดสินใจได้ในระดับนี้ อลิซาเบธตัดสินใจได้ดี ฮับบวร์กจึงฟื้นขึ้นมาใหม่ได้ ในขณะที่ เฮนริเอตต้าไม่ยอมทิ้งอะไรไปเลย…….
จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่อลิซาเบธได้กลายเป็นสุดยอดนักปกครองใน <Dungeon Attack>
โทษใครไม่ได้นะ หากอยากจะโทษ จงโทษความอ่อนด้อยของตัวเองเสียเถอะ,เฮนริเอตต้าเอ๋ย
MANGA DISCUSSION