บทที่ 262 – ไฮเดรนเยียสีน้ำเงินของฟาร์นาเซ (7)
ผู้คนต่างพูดคุยกันไม่พักทั้งตะโกนทั้งกระซิบกระซาบ
คำถามคือ พวกเขานั้นจะเลือกใครเป็นแพะรับบาปกันดี
ชนชั้นสูงก็หวาดกลัวชนชั้นล่างที่จะร่วมมือกันแล้วโยนความผิดให้
ชนชั้นล่างเองก็หวาดกลัวว่าชนชั้นสูงจะใส่ร้ายและหาทางกลั่นแกล้ง
ทุกคนต่างตระหนักว่า กำลังเผชิญกับปัญหาที่แก้ไขได้ยากยิ่ง
‘ไม่รู้แหละว่า จะเลือกใคร แต่ต้องไม่ใช่ข้า’
‘ใครๆมันก็พูดแบบนั้นวะ!’
‘ชู่ว ถ้าแกพูดดังขนาดนั้นเดี๋ยวก็โดนลากไปเป็นตัวแทนหรอก’
และจะเกิดอะไรขึ้นหากมีใครสักคนก้าวเท้าออกมา และพยายามผลักดันให้ใครสักคนเป็นแพะรับบาปแทนทุกคนล่ะ?
เพื่อที่พวกเขาจะได้หลีกให้พ้นอันตรายได้ในทันที
เพราะถึงอย่างไรเสียทุกคนก็กลับไปมีชีวิตตามปกติสุขตามวิถีตนหลังสงครามอยู่ดี
แต่พวกเขาได้คิดไปถึงขนาดนั้นไหม?
บุคคลที่หักหลังและไล่ต้อนคนในเมืองเดียวกัน
ฆาตกรผู้ฆ่าคนอื่นเพื่อรักษาชีวิตตนเอง……. คนผู้นั้นจะถูกแปะป้ายระบุบอกไปตลอดชั่วชีวิต
สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปในเมืองได้อยู่ดี
‘ทุกคน’
‘ข้าไม่สนแล้วว่าจะเป็นใคร แต่ใครก็ได้ช่วยก้าวออกไปข้างหน้าทีเถอะ!’
ณ ขณะนั้นเองแหละที่จะเกิดผู้ปลุกปั่นยุยงขึ้น
บุคคลผู้ตะโกนเสียงดังและลุกขึ้นมา
ตัวอย่างเช่น ใครบางคนที่อยู่ในแถว……
ทุกคน! ในปีที่ผ่านมา ใครมันทำให้พวกเราต้องลำบากขนาดนี้? ใช่พวกข้าทาสหรือเปล่า? คนธรรมสามัญอย่างนั้นหรือ? หรือเป็นพวกชนชั้นสูงที่ฟุ้งฝอยว่า อยากจะปกป้องเมืองนี้? ชนชั้นสูงสมควรที่จะรับผิดชอบ
หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็……
ทุกคน! พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเลือกที่จะเสียให้น้อยที่สุดในสถานการณ์ร้ายแรงเช่นนี้
พวกเราจะต้องเลือกบุคคลที่ทำประโยชน์ต่อเมืองนี้ให้น้อยที่สุด หายพวกเขาไม่อยู่แล้ว
ถูกแล้วล่ะ ข้าคิดว่า พวกเราควรเลือก ขอทาน 6 คน
ซึ่งตัวเลือกนั้นถือว่าดีสมควรเลยล่ะ ตราบใดที่ไม่ใช่พวกเขา
“…….”
ตอนนั้นเองที่ชายแก่คนหนึ่งลุกขึ้นมา
ชายแก่ผู้สวมชุดทำจากผ้าไหม เขามีข้ารับใช้สองคนคอยติดสอยห้อยตาม แต่ชายแก่คนนั้นกลับโบกมือไล่ให้สองคนนั้นถอยไปก่อนจะเดินออกมาข้างหน้าเอง
ทูตรีบพบชายแก่ผู้นั้นขึ้นมาบนเวที
“……ผู้คนแห่งเมืองนี้เอ๋ย”
เสียงอันแผ่วเบาของชายแก่นั้นดังไปทั่วศูนย์กลางเมืองได้ก็ด้วยพลังของอาติแฟ่ค
ชายแก่ผู้นี้เป็นท่านเค้าท์ เขาสูญเสียสิทธิฐานันดรไปทั้งหมดหลังจากการปฏิวัติ
ถึงจะไม่มีฐานะแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังคงถูกเรียกว่าเป็นท่านเค้าท์คนหนึ่ง และตอนนี้เขาก็เป็นดั่งรีลิคศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ซึ่งพลัง ที่จู่ๆก็ออกมาแสดงตัวในสถานการณ์ที่ชี้เป็นชี้ตายในชีวิต
ถึงอย่างไรเสีย ท่านเค้าท์ก็ยังคงเป็นท่านเค้าท์อยู่ดี
ชายแก่ผู้นี้รู้ดีถึงผลกระทบการตายของนายกเทศมนตรี
เขาจะมีชีวิตต่อไปอีกไม่นานแล้ว ดังนั้นจึงมองว่าไม่เป็นไรหรอก หากจะแบกรับความรับผิดชอบนั้นไว้แล้วเลือกที่จะเสียสละตนเอง
หากไม่เริ่มตอนนี้ ชาวบ้านก็จะระบุชื่อเอ่ยนามคนอื่น ดังนั้นชายแก่จึงอ้าปากแสดงความเห็นออกมา…….
“ข้าจะขอตายเป็นคนแรก”
* * *
“ท่านกำลังจะบอกว่า พวกเราสมควรเลือก 6 คนเพื่อที่จะรับผิดชอบเรื่องนี้หรือขอรับ?”
“ถูกต้องแล้ว”
ผมตอบพวกเหล่าทูตกลับไป
“ความผิดในฐานะที่คิดต่อต้านและพยายามลอบสังหาร
ข้าไม่คิดว่า พวกเจ้าจะใจกล้าพอที่จะขอให้ยกโทษให้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
แม้ข้าจะเชื่อว่า การลอบสังหารครั้งนี้จะเป็นความตั้งใจของเจ้านายกเทศมนตรีเพียงลำพังก็ตาม”
“ถะ-ถ้าอย่างนั้น……?”
“ข้าเชื่อว่า เราไม่จำเป็นที่ต้องฆ่า 6 คนนั่นจริงๆ”
ผมวางมือบนบ่าของทูตคนหนึ่งอย่างเข้าอกเข้าใจ
“แต่ถึงกระนั้นพวกเรามีเกียรติมีศักดิ์ศรี
เพื่อรักษาเกียรตินั้นไว้ต่อหน้าลูกน้องจึงจำต้องมีการลงโทษต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ ถูกไหมล่ะ?”
ผมจึงแถมท้ายให้อีกสักหน่อย
“และหากมีผู้เสียสละจริง ก็จงเลือกแต่ผู้ที่สมัครใจเสียสละเท่านั้น
ในโมงยามสุดท้ายที่จะทำการประหาร พวกข้าจะอภัยโทษให้
เอาล่ะ ก็ย่อมต้องมีการเตรียมการอะไรสักเล็กน้อย”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
เหล่าทูตทั้งหลายต่างคุกเข่าลงเมื่อรู้ว่า ได้รับการไว้ชีวิต
ผมเหลือบมองลงไปยังพวกเขา
“ด้วยเงื่อนไขดังกล่าวนี้ ผู้เสียสละตัวเองก็ต้องเป็นชนชั้นสูง
มันจะขายหน้าเอาถูกไหม หากเจ้าส่งใครที่ไหนก็ไม่รู้ขึ้นมา
หวังว่า คงเข้าใจเรื่องนี้ดีนะ?”
“คะ-ครับ! ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”
เหล่าทูตต่างยืนยันหนักแน่นว่า จะลงมือทันทีเมื่อกลับไปถึงเมือง
* * *
ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจ
อีตาเค้าท์แก่ๆนี่พูดอะไรออกมากันนะ?
สายเลือดชนชั้นสูงในไฮเดลเบิร์กพูดแบบนั้นออกมาได้อย่างไร?
“เหล่าประชาชนผู้น่าภาคภูมิใจแห่งไฮเดลเบิร์กทั้งหลาย พวกเรารบกันด้วยความสิ้นหวังนานนับปี”
เสียงของชายแก่นั้นที่เคยอ่อนโยนกลับแข็งกร้าวขึ้นมา
“พวกเราต่างร่วมมือกันเผชิญหน้าคมหอกคมดาบอันน่าหวาดหวั่น โดยต้องดิ้นรนเอาชีวิตให้รอดท่ามกลางขนมปังที่ได้รับแจกเพียงแถวเดียว
พวกเราต่างยินดีที่จะแบ่งปันอาหารให้กับเพื่อนบ้านที่หิวยิ่งกว่าตัวเรา
ทุกผู้ทุกนามต่างเท่าเทียมกันยามเมื่อเผชิญกับความตาย”
ชายแก่กล่าวคำคมอันเป็นที่นิยมขึ้นมาก่อนจะพูดต่อ
“ตอนนี้หนทางการไถ่บาปปรากฏต่อหน้าพวกเราแล้ว
พวกเรายังจะมาแตกแยกกันอีก เพื่อหาทางรอดทั้งที่ก่อนหน้าจะต้องตายกันหมดแท้ๆ
ไม่มีอะไรน่าหัวร่อมากไปกว่านี้อีกแล้ว เหล่าชาวเมืองไฮเดลเบิร์กเอ๋ย!
ศัตรูนั้นเชื่อว่า พวกเราน่ะต่างเป็นมนุษย์เห็นแก่ตัวที่สนใจแต่ชีวิตตัวเองทั้งนั้น
แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ?”
ดวงตาของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยความหวังตรงข้ามกับรอยย่นบนใบหน้าของชายแก่คนนั้น
“อันที่จริงแล้ว มนุษย์ มนุษย์อย่างพวกเราจะไม่สามารถอุทิศตนเพื่อผู้อื่นได้อย่างนั้นหรือ?”
ความรู้สึกของฝูงชนกลับสั่นไหวขึ้นมา
ชายแก่จึงตะโกนลั่น
“ความเที่ยงธรรมนั้นเป็นดั่งดอกไม้ที่ผลิบานขึ้นอย่างทรหด! เหล่าผู้สำนึกเอ๋ย! จงยืนหยัดขึ้นเพื่อไฮเดลเบิร์ก!”
มีอีกสองคนที่ลุกขึ้นพร้อมเพรียงกันขณะที่ชายแก่กล่าวคำนั้น
“พวกเราจะไม่ยอมจำนนต่อแผนการชั่วร้ายของไอ้ปีศาจพวกนั้น เราจะแสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิใจในฐานะมนุษย์”
“นี่จะเป็นจุดจบชีวิตห่วยๆที่ดีเวทีหนึ่ง”
บารอนผู้อยู่ในคณะทูตกล่าวขึ้น
ไว้ส์เค้าท์ผู้หนึ่งที่เป็นพ่อค้า และเป็นคนคุมการค้าในเมือง
พวกเขาต่างขึ้นมาบนแท่นเวที และกวาดสายตามองไปทั่วศูนย์กลางเมือง แล้วก็มีคนลุกขึ้นมาอีกสามคนเช่นกัน
ทุกคนต่างประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามีคนยอมลุกขึ้น
มาดามคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในแวดวงไฮโซของไฮเดลเบิร์ก ,ผู้ตัดสินคดีคความของเมือง และยังหัวหน้านักบวชจากโบสถ์…….
คนทั้ง 6 คน ปรารถนาที่จะเผชิญหน้ากับความตายในฐานะชนชั้นสูง ผู้มีศักดิ์
เสียงหึ่งหั่งดังระงมทั่วศูนย์กลางเมือง
ทำไมชนชั้นสูงพวกนั้นถึง ได้พูดว่าจะเสียสละตนเองล่ะ?
ไม่ใช่ว่าเจ้าพวกนี้เป็นคนละโมบโลภมากกว่าใครๆไม่ใช่เหรอ?
ชายแก่พยักหน้ายอมรับความจริง ที่ถูกทุกคนมองด้วยความสับสนและประหลาดใจ
“ชนชั้นสูงนั้นเป็นบุคคลที่จะต้องแบกรับภาระหน้าที่ยิ่งกว่าใครๆ”
ชาวเมืองต่างถึงกับอึ้งในทัศนคติของเหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายที่แสดงออกมา พวกเขาต่างอวยพรต่อทวยเทพที่ตนนับถือ ด้วยหวังว่า ผู้ทรงคุณงามความดีทั้ง 6 จะได้รับพร
เช้าในวันต่อมา คนทั้ง 6 คน ต่างเดินออกไปที่ประตูเมืองโดยมีความตายเป็นดั่งเสื้อผ้า
ชาวบ้านชาวเมืองต่างออกมาที่ท้องถนนเพื่อมาส่งพวกเขาแม้จะเป็นตอนเช้าตรู่ก็ตามที
เสียงสวดภาวดังต่อเนื่องไม่หยุดตลอดเส้นทางที่พวกเขาเดินไป
* * *
“มีสองเหตุผลที่ทำให้สาธารณรัฐฮับบวร์กยังดำรงอยู่ได้”
ผมอธิบายขยายความแผนดังกล่าวให้ไพมอนฟัง
“อย่างแรกก็อย่างที่คุยกันไปก่อนหน้าแล้ว ความจงเกลียดจงชังที่มีต่อกองทัพจอมมาร
แต่ถึงอย่างนั้น เหตุผลข้อที่สองกลับสำคัญยิ่งกว่าข้อแรก นั่นคือ ความจงเกลียดจงชังที่มีต่อชนชั้นสูง”
“ภัยคุกคามภายนอกและภัยคุกคามภายในสินะ ข้าเข้าใจแล้ว”
ผมพยักหน้า
ในฐานะผู้ปกครองเผด็จการ อลิซาเบธได้ออกกฏอัยการศึก แต่หากมันมีประสิทธิภาพมากจนเกินไป ผู้คนก็จะร่วมมือกันเพื่อสู้กับภัยอันตรายภายนอก
ชาติที่ทุกคนต่างร่วมมือเป็นหนึ่งเดียว จะทำให้ผู้คนมีอำนาจเหนือผู้ปกครองเผด็จการ
เผด็จการที่ดีจะต้องรู้จักการสร้างความแตกแยกสร้างภัยก่อกวนภายในด้วย
จากตำแหน่งของผู้ปกครองเผด็จการแล้ว มันง่ายกว่าที่จะชี้นำประเทศที่มีประชาชนแบ่งออกเป็นสองฝ่ายแม้จะเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว
ด้วยการทำเช่นนั้น ชาติก็จะธำรงความเป็นหนึ่งเดียวได้ แม้จะมีการแบ่งแยกกันบ้าง
เห็นได้ชัดเลยว่า เป้าหมายครั้งนี้คือ การหวังผลทางการเมือง
ไม่ใช่หวังจะให้ชาติร่วมใจเป็นหนึ่ง แต่มันเป็นไปเพื่อการสนับสนุนอำนาจของเผด็จการ
ในกรณีของอลิซาเบธ เธอเปลี่ยนเหล่าชนชั้นสูงนั้นให้เป็นศัตรูร่วมกัน
“ด้วยการเซ่นสังเวยไฮเดลเบิร์กทั้งเมือง ผู้นำฮับบวร์กย่อมหวังขยายผลให้กองกำลังฝ่ายจอมมารนั้นเป็นภัยคุกคามภายนอก”
ผมแสยะยิ้ม
“คราวนี้ก็ได้จังหวะโต้กลับของพวกเราแล้ว พวกเราก็แค่ลดสเกลการเสียสละจากทั้งเมืองลดลงให้เหลือเพียงชนชั้นสูง”
แล้วคราวนี้จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ?
นายกเทศมนตรีก็ไม่ใช่ผู้ที่ทำให้ไฮเดลเบิร์กรอดพ้นวิกฤต กองทหารก็ด้วยเช่นกัน หากแต่เป็นชนชั้นสูงต่างหากล่ะ ผู้ที่โดนริดรอนอำนาจไปโดยรัฐบาลกลางของสาธารณรัฐ ผู้ที่เป็นผู้เดียวผู้ช่วยเหลือเมืองทั้งเมืองด้วยการสละชีวิตของตน…….
ผู้คนย่อมต้องสะเทือนใจในความเสียสละของเหล่าชนชั้นสูงที่แสดงออกมาอย่างแน่นอน
ใช้ชีวิตคนแค่หยิบมือแต่ก็สามารถปลุกเร้าจิตใจของมวลชนได้มาย
ภาพลักษณ์ของชนชั้นสูงต่อสาธารณะย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก
“นายกเทศมนตรีที่ถูกเลือกมาจากรัฐบาลกลางกลับพยายามทำการลอบสังหาร แล้วทำให้เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในอันตราย
กองทหารของท่านผู้นำฮับบวร์กที่สุดจะขี้โอ่ก็แสดงออกมาให้เห็นแต่ความไร้น้ำยา
ชนชั้นสูงต่างหากที่เสียสละชีวิตในสถานการณ์เช่นนี้”
นอกจากกองทัพและฝ่ายบริหารจะต้องเผชิญกับความสูงเสีย ในขณะเดียวกันนั้นฝ่ายชนชั้นสูงกลับมีสิทธิ์มีเสียงขึ้นมา
พูดง่ายๆก็คือ ลูกน้องคนสนิทของอลิซาเบธน่ะอ่อนแอลง ในขณะที่ศัตรูของเธอนั้นเข้มแข็งขึ้น
“……ท่านผู้นำของพวกนั้นทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ
แม้จะมีเจตนาอย่างไรก็ตาม ชนชั้นสูงก็จะกลายเป็นฮีโร่ผู้กอบกู้เมืองนี้ไว้
เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยกย่องสรรเสริญพวกเขา”
ไพมอนถึงกับบ่นออกมาด้วยท่าทางรำคาญใจ
“นายนี่พอเป็นเรื่องแผนร้ายก็น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ
ข้าดีใจเหลือที่ไม่ได้เป็นศัตรูกับนาย, ดันทาเลี่ยน…….”
“ฮ่าฮ่า ข้ายินดีรับคำชมนั้นไว้นะ”
“แล้วนายตั้งใจที่จะประหาร ทั้ง 6 คนนั้นไหม?”
ผมส่ายหัว
“ทำแบบนั้นมีแต่จะทำลายภาพลักษณ์ของพวกเรา
เราจะไว้ชีวิตพวกเขา พวกเขาเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่ยินยอมพร้อมตายฃ
หากเราไว้ชีวิตพวกเราแล้ว ภาพลักษณ์ของจอมมารจะดีขึ้นอีก
ลองคิดดูสิ…….แบบนี้มันจะไม่ยิ่งเป็นเรื่องราวที่ชวนจับใจยิ่งขึ้นอีกอย่างนั้นหรือ?”
ชนชั้นสูงผู้เสียสละและจอมมารผู้เปี่ยมด้วยเมตตา
อืมหืมมม ช่างเป็นละครที่มีนักแสดงนำและจุดจบที่งดงามเสียนี่กระไร วัตถุดิบดีย่อมรังสรรค์เรื่องราวอันยอดเยี่ยม
เอาล่ะ ปีนี้พวกนักกวีนักดนตรีพเนจรคงไม่ต้องอดตายแล้วล่ะ
แม้จะไม่แน่ใจนัก แต่เอาเข้าจริง พวกนั้นก็สมควรจะขอบใจผมเหมือนกันที่ทำประโยชน์ให้พวกเขาขนาดนี้
“ยิ่งไปกว่านั้นฮีโร่ที่ยังมีชีวิตอยู่น่ะ มีปัญหามากกว่าฮีโร่ที่ตายไปแล้วเยอะนัก
ให้ทั้ง 6 คนนั่นมีชีวิตต่อไป แล้วกลายเป็นเสี้ยนหนามของผู้นำฮับบวร์กดีกว่า”
“ฮีโร่ที่มีชีวิต เป็นปัญหามากกว่าฮีโร่ที่ตายแล้วอย่างนั้นหรือ……?
คำพูดนี้สมกับเป็นดันทาเลี่ยนจริงๆ”
ไพมอนถึงกับหัวเราะคิกราวกับมันเป็นเรื่องตลก
“เลดี้ผู้นี้ได้บอกกับนายไว้ก่อนแล้วใช่ไหม? ว่านายน่ะออกจะเป็นคนที่ชั่วร้ายเสียเหลือเกิน”
“ข้าไม่ค่อยแน่ใจ นี่อาจเป็นครั้งแรกก็ได้ที่ข้าโดนบอกแบบนี้”
ไพมอนระเบิดหัวเราะออกมาขณะที่ผมยักไหล่ให้เธอ เธอเก็บพัดลงแล้วหัวเราะต่อไปอีกสักพัก
เช้าวันต่อมา ฉากลานประหารดำเนินไปตามแผนที่พวกเราวางไว้ตั้งแต่ต้น
ไพมอนร้องห่มร้องไห้ออกมา และพูดถึงคุณงามความดีของบุคคลทั้ง 6 ที่จะต้องถูกประหารด้วยการแขวนคอ
“อาา เหตุใดกัน จึงต้องเป็นบุคคลที่ทรงคุณงามความดีที่สุดในเมืองด้วย?
โลกใบนี้จะต้องเสียคนดีๆเช่นนี้ไป หากดำเนินการประหาร
แล้วพวกเราสมควรจะประหารพวกเขาจริงๆอย่างนั้นหรือ?”
“แต่ไพมอน”
ผมแสร้งทำเป็นโกรธพลางตะโกน
“ไฮเดลเบิร์กน่ะทำผิดอย่างร้ายแรง เจ้าพวกนั้นต้องถูกลงโทษให้สาสมกับความผิด!”
“เลดี้ผู้นี้ปรารถนาอยากจะขอถาม เหล่าชนผู้ทรงคุณธรรมที่กำลังจะถูกฆ่า
ถึงแม้จะมีการแบ่งแยกระหว่างมนุษย์และปีศาจ แต่ก็ไม่ควรที่จะแบ่งแยกผู้ทรงคุณธรรมออกจากทั้งมนุษยชาติและเผ่าพันธุ์ปีศาจมิใช่หรือ?”
ดวงหน้าของไพมอนนั้นเปี่ยมไปด้วยน้ำตา
“เลดี้ผู้นี้จะขออภัยโทษให้พวกเขาเหล่านี้ เหล่าชนผู้ทรงคุณธรรม!
พวกท่านได้ปกป้องเมืองนี้และแสดงให้โลกใบนี้ได้เห็นว่า ความดีงามยังมีอยู่
ตัวข้า,ไพมอน,ขอคำนับพวกเจ้าด้วยความนับถือ
เจ้าทุกคนจะถูกจดจำในฐานะชนชั้นสูงผู้ศักดิ์ ผู้เสียสละอุทิศตน จารึกชื่อเสียงเรียงนามลงในประวัติศาสตร์”
คนทั้ง 6 ได้รับการปล่อยตัว
จริงๆพวกเขาก็รู้อยู่แล้วล่ะว่า จะได้รับการอภัยโทษนั่นเลยเป็นสาเหตุที่พวกเขายอมลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นผู้เสียสละ
ไม่ว่าจะทางฝั่งนี้หรือฝั่งโน้น(ชนชั้นสูงไฮเดลเบิร์ก)ก็ตาม พวกเราเป็นพวกเดียวกันตั้งแต่ต้นแล้ว
พวกเขาต่างแสดงความขอบคุณซาบซึ้งต่อไพมอนครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่ก็พูดไปด้วยว่า ไพมอนจะเป็นอีกผู้หนึ่งในบันทึกหน้าประวัติศาสตร์
ผู้สูงศักดิ์พึงทำตนสูงส่ง ที่ไพมอนพูดถึงนั้น ได้รับการกล่าวขานต่อไปด้วยฝีปากของนักดนตรีพเนจรต่อจากนี้
ประวัติศาสตร์มันก็ดำเนินไปเช่นนี้แหละ
โชคไม่ดีเลยน้า อลิซาเบธน้า
หากผมไม่อยู่ที่นี่ ทุกอย่างก็คงจะราบรื่นไปแล้วแท้ๆ
แต่ใช่ว่า ชีวิตจะเป็นไปอย่างที่เธอคาดหวังเสียเมื่อไหร่กันล่ะ?
จำเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียนชีวิตก็แล้วกัน
ไม่ว่าใครก็ควรรู้จักถ่อมตนด้วยกันทั้งนั้นนั่นแหละ
(TTL : เจอ ‘ดันทาเลี่ยนxไพมอน การละคร’ เข้าไป!
ถ้าอลิซาเบธรู้ในสิ่งที่อยู่ในหัวพรี่ดัน คงกำหมัดจัดๆเลยล่ะ!)
MANGA DISCUSSION