“นายนี่มันชั่วร้ายเสียเหลือเกิน, ดันทาเลี่ยน”
ไพมอนจิบชา แม้เธอจะพูดอย่างนั้นแต่กลับดูไม่รำคาญใจแต่อย่างใด
ตอนนี้พวกเรานั่งเรือเล็กกันอยู่ เรือข้ามฟากน้อยๆราวกับอยู่ในภาพวาดสีน้ำ
เรือของพวกเรานั้นแล่นเอื่อยๆข้ามแม่น้ำไป การที่มันแล่นได้สะดวกสบายราบรื่นอย่างนี้ก็ด้วยพลังแห่งภูตน้ำที่คอยผลักดันเรือของพวกเราจากข้างใต้
ช่างเป็นช่วงกลางวันอันแสนสงบสุข ได้เพลิดเพลินไปกับการนั่งเรือโดยมีภูตวิญญาณเป็นดั่งคนแจวเรือ นี่มันสุดแสนจะหรูหรายิ่งกว่าจอมมารตนใด
“นายนี่ไม่คิดถึงหัวอกผู้หญิงบ้างเลยนะ?”
“คิดถึงหัวอกผู้หญิงรึ? ไม่มีชายคนใดคิดถึงหัวอกผู้หญิงมากไปกว่าข้าอีกแล้ว”
“เฮ่ออ ข้าว่าคนอย่างเจ้าไม่สมควรพูดคำนั้นออกมานะ ,สิตริ เธอคิดว่ายังไงล่ะ?”
“หมมม?”
สิตริ,ผู้ไม่สนใจแม้แต่จะแตะต้องชาด้วยซ้ำ เอาแต่เคี้ยวบิสกิตกรุบกรับอยู่ตลอดเวลา ส่ายหัว
เธอมองไปมองมาระหว่างใบหน้าของผมกับไพมอน ก่อนจะแสดงความขอโทษออกมา
“อ้าาา นั่นสินะพี่สาวไพมอนพูดถูก แต่จริงๆข้าควรบอกว่า ดันทาเลี่ยนน่ะใจดีมากเลยนะ……เอ้ะ หรือว่าจะเข้าใจหัวอกดีล่ะ……? อืมม โทษทีนะพี่”
“นี่แหละนะ ทำไมความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงถึงผู้หญิง ถึงได้เปราะบางนัก”
ไพมอนส่ายหัว
“สิตริผู้น่ารักในวันนั้น ที่คอยแต่เรียกหาข้าตลอดเวลา คอยตามข้ามาต้อยๆสุดท้ายก็มาตกหลุมรักชายคนหนึ่งเข้า
แล้วเธอยังพูดอีกว่า ชายคนนั้นสำคัญยิ่งกว่าข้า
ความสัมพันธ์ฉันพี่สาวน้องสาวที่เรามีต่อกันมานับพันปีมีเพียงเท่านี้เองรึ?
ข้าผิดหวังจริงๆ,สิตริ”
“อ-อ๊าาาา!”
สิตริถึงกับโยนบิสกิตทิ้งไปด้วยความตื่นตกใจ บิตกินทั้งหลายร่วงลงน้ำดังจ๋อม
“ไม่ใช่เลย! ดันทาเลี่ยนนอกจากไม่นึกถึงหัวอกผู้หญิงแล้ว ยังเป็นผู้ชายที่เลวร้าย เลวร้ายมากๆ! อย่างที่พี่สาวบอกอะแหละ เขานั้นชั่วร้ายมากๆ แค่กลิ่นเส้นผมเขาอย่างเดียวก็ทำให้ผู้หญิงหวาดกลัวแล้ว!
เทพีต้องเลิกเฝ้ามองโลกใบนี้เพราะดันทาเลี่ยนอยู่ที่นี่แน่ๆ”
สิตริพูดอย่างพออกพอใจขณะที่พยักหน้าอย่างแข็งขัน
ตอนนั้นเอง ผมกับไพมอนมองหน้ากัน พวกเราไม่พูดอะไรแต่ก็แทบจะสื่อสารได้ทุกอย่างแล้ว
“ช่ายเลย ดันทาเลี่ยนนะแย่มากเลย พี่สาวพูดถูกกก”
“……ได้ยินแบบนั้น ทำเอาข้าหดหู่ไปเลยนะ, สิตริ”
ผมพยายามทำสีหน้าเศร้าระทมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะคร่ำครวญออกมา
“แค่คิดว่า ใจจริงแล้วสิตริคิดกับข้าเช่นนั้น…….เจ็บปวด มันทำให้ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน”
“เอ๋? เหหหหหหห?”
“ข้าเชื่อว่าต่อให้ทั้งโลกใบนี้ชี้นิ้วประณามหยามด่าออกนามข้า สิตริ ใช่ อย่างน้อยก็มีเธอคนหนึ่ง
ข้าเชื่อ เสมอว่า สิตริจะยังคงศรัทธาและเป็นกำลังใจให้ข้า แต่พอมาตอนนี้ที่สิตริปฏิบัติกับข้าราวกับไอ้ระยำต่ำชาติแบบนี้เข้า…….”
สิตริถึงกับอึ้งตะลึงงัน
“มะ-มะไม่ใช่แบบนั้นนนน! นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าหมายความว่าอย่างนั้นเลยนะ! ดันทาเลี่ยน นี่เป็นเพราะพี่สาวต่างหาก!”
“เพราะไพมอนอย่างนั้นรึ? นี่เจ้ากำลังจะบอกว่า ถ้อยคำอันไม่จริงใจนั้นออกมาเพราะไพมอนอย่างนั้นหรือ?”
“ชะ……ช่าย”
ผมมองไปที่สิตริ
“หากมีใครบอกให้เจ้าด่าทอข้า เจ้าก็จะทำอย่างนั้นหรือ?
คุณค่าที่ข้ามีในสายเจ้า มันเป็นแค่นั้นหรือ อ่าาา ข้าเข้าใจแล้ว
โอ่ องค์เทพี ข้าเคยคิดมาตลอดเสมอเลยว่า สิตรินั้นเป็นดั่งเพื่อนแท้ของข้า……!”
“อุอ๋าาาา? เอ๋?”
สิตรินิ่งอยู่เฉยต่อไปไม่ไหวจึงจับมือผมไว้
“ขะ-ขอโทษนะ ดันทาเลี่ยน ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะทำร้ายความรู้สึกเจ้าขนาดนี้น่ะ
…….ข้ากลัวพี่สาวโกรธเลยแบบ……ขอโทษ ข้าไม่ได้พูดไปจริงจังขนาดนั้น! ข้าจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว ดังนั้นนะ—”
“เดี๋ยวก่อนนะ ,สิตริ เธอหมายความว่ายังไงกัน?”
ไพมอนแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ สิตริหันไปหาเธอด้วยความลนลาน
“ที่พูดนั่นแสดงว่า ที่ผ่านมาเธอไม่เคยจริงจังใจข้าเลยอย่างนั้นหรือ?”
“พะ-พี่สาว? มันไม่ช่าย”
“ข้าผิดหวังมาก ผิดหวังจริงๆ
อ๊าาา ข้าไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่า วันที่สิตริโกหกได้ช่ำชองราวกับหายใจจะมาถึง”
ไพมอนป้องปากด้วยพัดขณะที่ถอนใจเฮือกใหญ่
เพิ่มเติมให้ละกัน หากจะมีสิ่งที่ผมเพิ่งรู้หลังจากมาอยู่โลกใบนี้ ก็คือ เรื่องที่ว่า ผู้หญิงชั้นสูงมักจะแบกพัดไปไหนมาไหนด้วยเพื่อจะได้ถอนใจแบบนี้นี่แหละ
มันโคตรของโคตรจะน่ารำคาญเลย กับการที่ใครสักคนหนึ่งป้องปากตัวเองด้วยพัดในมือแล้วถอนใจ ดังนั้นจึงไม่มีวิธีการกวนประสาทใครได้ดีกว่าการทำแบบนั้นอีกแล้ว
“ข้าคงไม่อาจเชื่อใจสิตริได้อีกต่อไปแล้ว มิตรภาพระหว่างนี่ช่างเก่าจนสนิมกิน”
“อุ……อ๊ากกกก!”
สุดท้ายแล้วสิตริตะโกนขึ้นมา
“ข้าขอโทษทั้งพี่สาวและดันทาเลี่ยน! เพื่อเป็นการไถ่โทษข้าจะลงไปผลักเรือเอง ดังนั้นอภัยให้ข้าด้วยยยย!”
ว่าแล้วเธอก็ยืนขึ้น เรือลำน้อยไหวโคลงเพราะอยู่ๆที่เธอพลันขยับ
สิตริมุดลงแม่น้ำก่อนที่พวกเราจะได้ทันพูดอะไร
“อ๊ายย”
ไพมอนร้องออกมาเบาๆขณะที่น้ำกระแทกตูมใหญ่ นั่นก็การแสดงเหมือนกัน
สิตริคงไม่เห็นหรอก แต่ผมน่ะเห็นชัดเจนเลยถึงรอยยิ้มสุดบันเทิงเบื้องหลังพัดของนาง
“ไพมอน, เก็บสีหน้าหน่อยสิ”
“แต่เจ้าเองก็กำลังยิ้มอยู่นะ ,ดันทาเลี่ยน”
“อุ่บ”
ให้ตายเถอะ ผมเผลอลดการ์ดลงเพราะความน่ารักของสิตริอย่างนั้นรึ
พวกเรายิ้มสดใสให้กันขณะที่เฝ้ามองดูสิตริ ส่วนสิตริเองก็กำลังแหวกว่ายและดันเรือพวกเราจากด้านหลัง
เรือนั้นแล่นไปเร็วกว่า เมื่อเทียบกับตอนที่ภูตน้ำดันให้
(TTL : ใครไม่ดันเรือ ดันXไพ สิตริจะเป็นคนดันเอง!!! 55555 )
สิตริตะโกนทุกครั้งที่แหวกว่าย
“ขอโทษ! พี่สาว ขอโทษด้วย! ดันทาเลี่ยน, ขอโทษษษ!”
ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะไม่หัวเราะกับภาพที่เห็นนี่ พวกเราต่างระเบิดหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะดังก้องท้องฟ้า ผืนน้ำ สะท้อนไปกับแสงตะวัน
“อืมม ไม่ว่าจะเมื่อไหร่การแล่นเรือก็เป็นสิ่งที่สร้างความเพลิดเพลินได้ดี”
“ถึงพวกเราจะเสียชากับบิสกินไปแล้วก็เถอะ นานเหมือนกันนะ นับตั้งแต่ที่เราสามคนจะมีเวลาสบายๆด้วยกันแบบนี้”
“พวกเราต่างยุ่งวุ่นวายในหนทางของตัวเองนั่นแหละ”
ไพมอนยิ้มอ่อน
“ต้องขอบคุณเจ้านะ ที่ทำให้พวกเราได้ปลดปล่อย 33 เมืองเป็นอิสระ”
กองทัพปลดแอกนั้นอาจพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในสงครามกลางเมืองของฟรานเคียแต่ทว่าฮีโร่ผู้ไร้เทียมทานอย่างเฮนริเอตต้าใช่ว่ามีอยู่ทุกที่เสียที่ไหน
ไม่ว่าจะ เครือจักรภพ โพลิช-ลิทัวเนีย,ทิวทัน และซาร์ดิเนีย
……ผู้คนในดดินแดนเหล่านั้นต่างประสบความสำเร็จในการลุกขึ้นก่อการปฏิวัติแทบทั้งสิ้น
มีหลายแห่งที่การปฏิวัติสำเร็จได้โดยมีแต่ชาวนาชาวไร่เท่านั้น และยังมีจำนวนมากที่สำเร็จได้ด้วยหัวหน้าสมาคมกิลด์และเหล่าชนชั้นสูง
ดังนั้นแล้ว เมืองที่ได้รับการปลดปล่อยก็ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด
สีหน้าของไพมอนกลับหม่นหมอง
“แม้สุดท้ายแล้ว พวกเราไม่อาจจะก่อตั้งชาติสาธารณรัฐใหม่ก็ตามที…….”
“ไม่มีอะไรสมบูรณ์มาตั้งแต่ต้นนะ ไพมอน
มันอาจเป็นก้าวเล็กๆของเรา
หากแต่ประวัติศาสตร์จะบันทึกว่าเป็นการก้าวที่ยิ่งใหญ่”
“…….”
ไพมอนจ้องหน้าผม
“……บางทีเจ้าก็พูดอะไรยอดเยี่ยมออกมาอย่างน่าประหลาดเชียวนะ, ดันทาเลี่ยน
ถึงแม้เจ้าจะไม่มีหัวศิลป์เอาเสียเลย ช่างเป็นเรื่องลี้ลับเหลือคนา”
“นี่ไม่รู้เลยเหรอ? เทพีทั้งหลายเนี่ยมอบความรักชอบให้กับบุคคลที่รู้จักเอาใจคนอื่นนะ”
ผมยื่นมือตัวเองไปสัมผัสกับมือซ้ายของไพมอน
ไพมอนร้องออกมาว่า ‘โอ้ แหม’ ขณะที่ป้องปากด้วยพัด ซึ่งไม่ได้แปลว่า เธอไม่ชอบมันเสียเมื่อไหร่
“เอาจริงๆนะ เมื่อวานนายไปเที่ยวโปรยเสน่ห์ใส่ใครมาหรือเปล่า?”
“ข้าน่ะไม่เก่งในเรื่องแบบนั้นเลย แถมยังไม่มีดวงอีกด้วย ข้าก็เลยโดนคู่ขาปล่อยให้ข้าอยู่เดียวดายทั้งคืน
นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ว่า ในวันนี้ข้าจะไม่พลาดโอกาสนั้นอีก”
“แหม ที่รัก”
ไพมอนหัวเราะคิกอย่างรื่นเริง
(TTL : + คนอ่าน ‘อ๋อเหรออออออออออออออออออออ…’ )
ขณะที่พูดอย่างนั้น ผมก็ค่อยๆเลื่อนมือสูงขึ้น และสูงขึ้น ผมโอบไปที่สะโพกของเธอและเลื่อนแขนเธอเข้ามาหา
ไพมอนเอนตัวหาผมราวกับแมวน้อยเป็นสัญญาณว่า เธออนุญาตให้แตะต้องเธอได้
ผมสีแดงของไพมอนสอดเข้ามาระหว่างนิ้วมือของผม
“ว่ากันตามตรงแล้ว ข้าปรารถนาให้พวกเราเป็นเช่นนี้ต่อไป”
“แน่นอน เลดี้ผู้นี้ไม่เคยทำกันในเรือเล็กมาก่อน และกำลังหาโอกาสทำด้วย”
“ดูเหมือนพวกเราจะมาถึงที่หมายแล้ว”
พวกเราหันไปมองริมชายฝั่ง
มีเมืองที่โดนเผาตั้งอยู่ที่ตรงนั้น
หากจะพูดว่า กำลังโดนเผาก็คงจะพูดเกินจริงไปสักหน่อย ล่ะมั้ง?
เอาเป็นว่า มีควันสีดำพวยพุ่งในตัวเมือง ห้าถึงหกจุด มอนสเตอร์นับพันถือหอกและล้อมเมืองอยู่
“หลังจากผ่านไปปีกว่า ในที่สุดพวกเราก็บุกยึดไฮเดลเบิร์กได้(Heidelberg)”
“จุดนี้เป็นเมืองป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุด ณ ศูนย์กลางทวีป
มันใช้เวลาแค่ปีเดียวเอง พูดแบบนี้ดีกว่านะ”
ไฮเดลเบิร์กนั้นเป็นป้อมปราการที่ตั้งอยู่บนยอดสุดของเนินสูง
เมืองแห่งนี้ สร้างขึ้นโดยมีแม่น้ำเน็คต้า(Neckar)ห้อมล้อม และอยู่ใต้การดูแลของสาธารณรัฐฮับบวร์ก
……ท่านผู้นำของชาติ อลิซาเบธ ได้สร้างไว้เพื่อที่จะหยุดกองกำลังทัพจอมมารที่จะรุกรานเข้าในสู่ในตัวทวีป
่ว่ากันตรงๆ ไฮเดลเบิร์กก็ไม่ต่างป้อมปราการที่เจาะไม่เข้านั่นแหละ
แต่เดิมเชิงเทินเนินกำแพงก็ทั้งหนาและสูง ไม่เพียงแต่เป็นสุดยอดป้อมปราการที่ห้อมล้อมด้วยคูน้ำ หากแต่ยังมีหอคอยอยู่มากมายด้วย
แถมยังเป็นเมืองขนาดใหญ่อีกต่างหาก
น่าจะมีประชากรอาศัยมากกว่า 10,000 คน ซึ่งก็นับว่า หนาแน่นมากสำหรับป้อมปราการแห่งหนึ่ง
จะไปหาคน 10,000 คนพักอยู่ในป้อมปราการแห่งเดียวได้จากที่ไหนกัน?
ประชากรทั้งหมดต่างเป็นทหารที่ชำนาญในการต่อสู้กับมอนสเตอร์และยังมีหน่วยอัศวินประมาณ 900 นาย
มันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรนักหรอก ถ้าให้กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราบุกน่ะ แต่ตอนนี้กองทัพพันธมิตรล่มไปแล้วนี่น่ะสิ
ไพมินและสิตริจึงต้องพยายามยึดด้วยกองกำลังของฝ่ายภูเขาอย่างเดียวเท่านั้น
ก็เป็นที่รู้กันทั่วแล้วว่า ฝ่ายภูเขาเสียทหารไปเป็นจำนวนมากในฐานะทหารแนวหน้าในช่วงสงครามใหญ่
แถมด้วยยังต้องสูญเสียทหารไปในสงครามกลางเมือง เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีกำลังมากพอจะทะลวงป้อมปราการเช่นนี้ได้
“ท่านก็ล้อมป้อมปราการนั้นไว้”
นี่แหละเป็นเวลาที่ลอร่าจะมาพร้อมกับแผนการ
ไพมอนน่ะมาปรึกษาผมว่า จะเจาะป้อมปราการที่แน่นหนาอย่างนั้นได้อย่างไร และผมก็รีบไปปรึกษาลอร่าในทันที ลอร่าเอียงคอขณะฟังสถานการณ์ทั้งหมด
“ลอร่า, ข้าก็บอกเจ้าแล้วว่า ป้อมปราการนี้นี่มีแม่น้ำเน็คคาอยู่ข้างๆ
ดังนั้นต่อให้เราล้อมเมืองไป ศัตรูก็ขนส่งเสบียงทางน้ำอยู่ดี”
“อย่างที่ข้าบอกไปแล้ว ,นายท่าน ท่านตรึงปิดช่องทางแม่น้ำสิ?”
“หืมมม?”
แม่น้ำเน็คตาร์นั้นกว้าง 500 ถึง 600 เมตรเชียว แล้วพวกเราจะเอาอะไรไปขวางแม่น้ำที่กว้างขนาดนั้นล่ะ?
“เอาล่ะ การวางเรือลาดตระเวณน่ะอาจได้ผลดีนะ แต่……กองกำลังของสาธารณรัฐฮับบวร์กก็ไม่ใช่กระจอก
พวกนั้นสามารถส่งเสบียงตอนกลางคืนได้ซึ่งนั่นทำให้ยากที่จะสังเกตเห็น
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะบล็อคทุกอย่างโดยสมบูรณ์”
“เอาจริงๆนะคะ นายท่านเนี่ยพอเป็นเรื่องกลการศึกก็หัวทึบขึ้นมาทันที”
ลอร่าพูดด้วยน้ำเสียงสุดรำคาญ
“ตัวฉันไม่ได้พูดถึง การวางเรือลาดตระเวณ ฉันน่ะพูดถึงการวางสะพานกั้นทั้งแม่น้ำต่างหาก สิ่งนี้จะปิดกั้นการส่งเสบียงของอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์”
“หาาา?”
สร้างสะพาน กั้นแม่น้ำ?
“……แม่น้ำสายนี้มันกว้างมากนะ แล้วการสร้างสะพานเนี่ยต้องการกำลังคนและเงินมหาศาล”
“ไม่ต้องทำเป็นสะพานจริงๆก็ได้ค่ะ แค่เป็นอะไรที่เหมือนอู่ และสถานที่ที่เรือรบมาเรียงเป็นแนวกัน
เพียงเท่านั้นก็ได้แล้วค่ะ,นายท่าน
สะพานที่แสนจะสวยงาม”
“…….”
ผมครุ่นคิดอยู่สักพัก
พูดง่ายๆ มันก็เหมือนตอนที่กลศึกที่โจโฉใช้ในช่วงศึกเซ็กเพ็ก(ผาแดง) ที่เอาเรือรบมาลากพ่วงต่อกันสินะ
การใช้เรือเล็กมาเชื่อมโยงกันเป็นสะพานก็ถือว่า เรื่องปกติ แต่การทำแบบเดียวกันแต่เป็นเรือรบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ช่างเป็นคำแนะนำที่ประหลาดสุดกู่จริงๆ แต่ทว่านะ…….
“……มันก็เป็นไปได้อยู่ ไม่สิๆ มันสำเร็จแน่ๆ
สาธารณรัฐบัทตาเวียอยู่ข้างเรา หากพวกเราแอบใช้แม่น้ำของฝั่งทางนั้นแล้วเอาเรือรบเข้ามาล่ะก็…….”
“ถูกต้องแล้วค่ะ การปิดล้อมก็จะสมบูรณ์แบบ”
ลอร่ายิ้มสดใส
“ไฮเดลเบิร์กอาจเป็นสุดยอดป้อมปราการในศูนย์กลางของทวีป แต่พวกเขาจะทนไปได้นานแค่ไหน หากถูกปิดล้อมโดยสมบูรณ์แบบนั้นเข้า? ให้อย่างมากก็ทนได้หนึ่งปี”
“ระหว่างที่ยึดป้อมปราการ แล้วปล่อยให้คาราคาซังแบบนี้ ดีกว่าถ้าเราจะรอสบายๆไปหนึ่งปี…….”
“เป็นไอเดียที่ดี”
ผมยืนยันแผนการของลอร่าให้กับไพมอนในทันที
ทีแรกไพมอนกับสิตริถึงกับมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
แต่สีหน้าก็เปลี่ยนไปยามที่ผมอธิบายรายละเอียด
“……อืมม ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะกลยุทธนี้มันแปลกประหลาดมาก แต่—”
“มันก็ฟังดูเป็นไปได้อยู่ ถ้าอย่างนั้น ดันทาเลี่ยน พวกเรารีบดำเนินการตามแผนเลยดีกว่า”
แผนการปิดล้อมที่ไม่เกิดขึ้นมาก่อนก็ได้เริ่มต้นขึ้น
MANGA DISCUSSION