“ฝ่าบาท นั่นมัน…….”
อิวาร์ ล็อดบรอคถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่อาจพูดได้จบประโยคด้วยซ้ำ
ผมรู้ดีว่า คนๆนี้รังเกียจจอมมารมากเพียงใด ใน <Dungeon Attack> อิวาร์ ล็อดบรอคเข้าร่วมกับกองกำลังฝ่ายมนุษย์แม้เขานั้นจะเป็นหนึ่งในตัวแทนของโลกปีศาจ
มันมีวิธีการที่ปีศาจจะสามารถรอดพ้นจากอำนาจการควบคุมของจอมมารได้……
โดยสรุปง่ายๆก็คือ การฝังตราทาสใส่ตัวเองให้มีอำนาจรุนแรงยิ่งกว่าพลังควบคุมของผู้อื่น อิวาร์ ล็อดบรอคยอมเป็นทาสของฮีโร่ ซึ่งนั่นเป็นตอนที่ฮีโร่ได้กำจัดจอมมารลำดับ 20 ไปแล้ว
ไม่ใช่แค่เพียงอกาเรส แต่บาร์บาทอสก็ยังอยู่ดีมีสุขกันอยู่ ไม่มีใครเชื่อหรอกว่า มนุษย์นักดาบดาดๆผู้หนึ่งจะสามารถฆ่าล้าง จอมมารระดับสูงได้
“มนุษย์ผู้หนึ่งที่รู้จักการใช้ดาบนิดหน่อย” นั่นเป็นความประทับใจที่พวกเขามีกัน
แต่อย่างไรก็ดี อิวาร์ ล็อดบลอคยอมละทิ้งการงานอาชีพ,เส้นสาย,รวมถึงเงินทองทั้งหมดที่สร้างมานับกว่าพันปีในโลกปีศาจเพื่อที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มฮีโร่
นั่นเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่
แม้จะมีเป็นความไปได้อันน้อยนิดที่ความเกลียดชังนั้นจะสำเร็จ โอกาสที่จะฆ่าจอมมารทุกผู้ทุกนามสำหรับอิวาร์ ล็อดบรอค
ความรังเกียจนั้นมากเพียงพอที่จะทำให้เขายอมโยนการงานที่ทำมาตลอดชีวิตเข้ากองเพลิง
เขาก็คงไม่อยากที่จะแสดงร่างกายจริงของตัวเองซึ่งนั่นหมายถึงชีวิตให้กับใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจอมมารผู้น่าสงสารเช่นผม
ผมถามเขาคำถามหนึ่ง
“หัวหน้าแห่งบริษัทเคียนคุสก้าเอ๋ย อยากให้มันจบลงเช่นนี้จริงๆรึ?”
ผมไม่ได้ตำหนิเขา หากแต่พูดด้วยน้ำเสียงราวกับเจอปัญหา
“ระหว่างเรามีความสัมพันธต่อกันมากมายนัก
แม้อย่างนั้นข้าก็ไม่เคยที่จะวิจารณ์หรือหาทางทำร้ายเจ้า เรื่องนั้นเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ เส้นสายของข้าก็ใช่ว่าไม่มี
หากข้าต้องการ ข้าสามารถบอกให้ บาร์บาทอส,มาร์บาสและกามิกินหมดศรัทธาต่อเคียนคุสก้าได้”
“…….”
อิวาร์ ล็อดบรอคตั้งใจฟังคำพูดของผมเงียบๆ สีหน้าของเขานั้นซับซ้อน ใครจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
พ่อค้านั้นอยู่ได้ด้วยความเชื่อ ความเชื่อใจจากจอมมารเป็นดั่งใบเบิกทางของพ่อค้าในโลกปีศาจ
การที่จอมมารซื้อสินค้าจากบริษัทของคุณนั้นถือว่า เป็นเกียรติยิ่ง
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหาก จอมมารจำนวนมากต่างทอดทิ้งบริษัทไปล่ะ?
ไม่สำคัญแล้วว่าที่ผ่านมาบริษัทเคียนคุสก้าจะทำความดีความชอบเพียงใด พวกเขาก็ต้องบาดเจ็บหนักแน่ นั่นเป็นสิ่งที่อิวาร์ ล็อดบรอคนั้นไม่ต้องการ
“แต่ข้าก็ไม่เคยทำเช่นนั้น”
“…….”
“เจ้ารู้ไหมว่า ทำไมข้าถึงไม่ทำ?
นั่นก็เพราะข้ายินดีใจตัวเจ้า การไล่ต้อนไพมอนให้จนมุมในช่วงพันธมิตรเสี้ยวจันทราเป็นอะไรที่เกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีเจ้า”
อิวาร์ ล็อดบรอคโค้งให้ด้วยความเคารพ
“เป็นเกียรติต่อข้ายิ่ง”
“เจ้ามันไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น…….”
ผมส่ายหัวราวกับเหนื่อยหน่าย ผมไม่ได้ยกคำขอบคุณขึ้นมาเพื่อกล่าวโทษ
“เจ้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่เช่นเคย? ข้ากำลังปฏิบัติต่อเจ้าดังเช่นบุคคลหนึ่งที่เสมอภาคกับข้า”
“……!”
อิวาร์ ล็อดบรอคถึงกับตกใจ
“ข้าไม่เคยลืมที่จะตอบแทนบุญคุณผู้อื่น ข้าสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วยการตระหนักว่า ผู้อื่นนั้นกระทำเช่นไรกับข้าในอดีต
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมข้าจึงปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างเท่าเทียมกันกับข้า
จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อื่นผู้นั้นจะไม่ปฏิบัติเช่นนั้นตอบกลับมา”
ผมพูดด้วยความขมขื่น
“ข้าพยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์เช่นนั้นกับเจ้ามานานเหลือเกิน แต่ดูเหมือนข้าในสายตาเจ้าจะไม่ต่างจากจอมมารตนอื่น…….”
อิวาร์ ล็อดบรอคเคยมาหาผมหลังจากพูดสุนทรพจน์จบ เขาคร่ำครวญร้องไห้ออกมาด้วยความทุกข์ใจ
เขาคร่ำครวญว่า เผ่าปีศาจนั้นไม่ได้ต่างอะไรจากสัตว์เลี้ยงสำหรับจอมมาร ที่ไม่มีวันได้อิสรภาพในท้ายที่สุดอยู่ดี…….
“ระหว่างเรา เป็นเจ้าเองมิใช่หรือที่ปฏิเสธที่จะตั้งใจมองดูอีกฝ่ายให้ดี?
เจ้าตัดสินข้าด้วยความคิดเห็นของตนเอง ซึ่งข้าไม่อาจทนได้”
“ฝ่าบาท”
“ช่างเถอะ ข้าจะมอบสิทธิ์ในการจัดการอาวุธเวทย์มนตร์ให้กับบริษัทเคียนคุสก้า”
ผมยืนขึ้นแล้วหันหลังให้กับอิวาร์ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกชัดแล้วว่า ผมกำลังจะไป
“ข้าหวังให้เจ้าจัดการธุรกิจนี้ให้ดีล่ะ หัวหน้าแห่งเคียนคุสก้า”
“…….”
อิวาร์ ล็อดบรอค ไม่พูดอะไรออกมา ผมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ยุ่งยากซับซ้อนจากด้านหลังผม
เขานั้นรู้สึกว้าวุ่นใจแต่ไม่รู้จะแสดงออกมายังไง อิวาร์ ล็อดบรอคออกจากห้องรับแขกเร็วราวกับอยากจะหนีไปให้ไกล
ห้องรับแขกเป็นห้องที่สร้างขึ้นในปราสาทจอมมารของผมนั้น ตกแต่งอย่างปราณีต
มีผลงานชิ้นดังๆจากโลกปีศาจและทวีปแขวนอยู่บนกำแพงเป็นวอลเปเปอร์
กำแพงด้านหนึ่งมีหัวของออเกอร์ที่ผมไม่ได้ล่ามันด้วยตัวเอง ถูกสตาฟไว้
ห้องนั้นดูหรูหราแต่ก็เงียบงัน
* * *
ข่าวเรื่อง ปราสาทจอมมารดันทาเลี่ยนแพร่ไปทั่วทั้งทวีป
ผู้อพยพแห่แหนกันเข้ามาออรวมกันราวกับมัดฟาง แต่ก็มีบุคคลที่หวังฆ่าจอมมารด้วยเช่นกัน
“ดันทาเลี่ยนใช่จอมมารคนที่เย้ยหยันและพูดชักจูงมนุษยชาติผู้นั้นเนี่ยนะ?
ฮ่าช์ นี่คนอื่นปล่อยให้จอมมารแบบนั้นมีชีวิตอยู่ต่อได้ยังไงกันเนี่ย? ข้าจะกำจัดจอมมารดันทาเลี่ยนเอง!”
มันย่อมต้องมีคนหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมในสายเลือดเช่นนั้น
จำนวนอัศวินผู้แสดงเจตจำนงจะกำจัดจอมมารมีอยู่เช่นเดียวกัน
โดยมากก็มักเป็นเด็กหนุ่มอายุ 15 ถึง 18 ปี ที่เข้าอคาเดมี่เพราะมีพรสวรรค์ตั้งแต่เล็กแต่ต่อมาพบว่า พวกเขานั้น ‘มีตำหนิ’
ค่าใช้จ่ายการศึกษาในอคาเดมี่นั้นเป็นสิ่งที่คนธรรมดาสามัญรับไม่ไหว
พวกเขาจะต้องทำงานเป็นข้ารับใช้ลอร์ดนับเป็นสิบปีเพื่อที่จะเพียงพอใช้หนี้ตนได้
ปัญหาจริงๆก็คือ แม้แต่ลอร์ดเองก็ยังรู้สึกแย่ที่จะใช้บุคคลที่มีตำหนินั้นในฐานะข้ารับใช้
พวกนี้อาจจะมีประโยชน์ว่าพลทหารเดินเท้า เนื่องจากได้รับการฝึกฝนเพาะบ่มมาให้เป็นอัศวินหลายต่อหลายปี
แต่ถึงอย่างไรก็ดี ศักดิ์ศรีของพวกเขานั้นสูงลิบ
“พวกเจ้าทุกคนจะเติบโตขึ้นเป็นอัศวินที่วันหนึ่งจะปกป้องดินแดนของลอร์ดและราชา จงภาคภูมิใจในฐานะอัศวินและทรงเกียรติไว้ในฐานะนักรบไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด”
เหล่าอัศวินต่างป้อนถ้อยคำพวกนั้นเข้าไปในหัวสมองก่อนเจ้าพวกนั้นจะเติบใหญ่
การศึกษานั้นหมายถึง การสลักคุณค่าและความหมายฝังลึกเข้าไปในกระดูก
หากคุณรับพวกนี้เข้าไปในกองทัพปกติ เจ้าพวกนี้ก็จะเชิดหน้าเย่อหยิ่งจนแทบมองไม่เห็นจมูก
หากมีโชคอยู่บ้าง บางคนในหมู่พวกนั้นก็อาจแสดงความสามารถให้ผู้ดูแลเห็นได้ว่า ตนมีประโยชน์
มีเพียงแต่คนแบบนั้นเท่านั้นที่มีประโยชน์พอที่จะเป็นลอร์ดของระดับล่างๆ
แต่โดยมากแล้ว เจ้าพวกนั้นมักปฏิเสธที่จะลดเกียรติตนไม่ว่าเวลาใดก็ตาม
เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ไม่ต่างกัน เขาโมโหมากเหลือเกิน ทั้งยังสิ้นหวังที่ผู้ดูแลไม่ตระหนักถึงความสามารถของเขาและเขายังอิจฉาเพื่อนร่วมชั้นที่ประสบความสำเร็จทั้งที่พวกนั้นไม่คู่ควร
“เดี๋ยวพวกแกคอยดูเถอะ แล้วข้าจะเป็นฮีโร่ ชื่อของข้าจะเป็นที่รู้จักกันกว้างขวาง ข้าจะไม่ยอมแม้จะไปเป็นอัศวินต่อให้พวกเขามาขอร้องให้ข้าเป็นก็ตาม!”
แน่นอนล่ะ เด็กหนุ่มนั้นไม่มีอะไรเลยเพราะเป็นคนธรรมดา เขามีแค่เพียงใบประกาศใบหนึ่งในมือ
พูดอีกอย่างก็คือ เอกสารที่แสดงว่า เขาเป็นหนี้กว่าสิบปี ใบประกาศที่ว่านั่นเป็นวัตถุเดียวที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับเด็กหนุ่ม
“ข้าคือ ผู้สำเร็จการศึกษาจาก เฟรเดอริค อคาเดมี่”
แม้ไม่ได้ยิ่งใหญ่นัก แต่สำหรับเขามันก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกว่ามันมีคุณค่าเป็นอย่างมาก
มีหนทางมากมายที่ชายหนุ่มสามารถเลือกเดินได้ หากเขายอมหันมองดูสักเล็กน้อย แต่เขาไม่ปรารถนาที่จะมองมัน เขาเลือกมองไปยังหนทางที่ทำให้อัตตาของตัวเองพึงพอใจและยังเป็นทางสร้างความสำเร็จ…….
“ข้าจะกำจัดจอมมาร”
ดังนั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงแพ็คข้าวของแล้วออกเดินทางไปพร้อมกับอุปกรณ์มุ่งหน้าสู่ปราสาทจอมมาร
จอมมารดันทาเลี่ยนที่กลายเป็นจอมมารลำดับต่ำสุดนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่สำคัญ เด็กหนุ่มอาจโดนหลอก แต่ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้เรื่องจอมมารลำดับสูง
แต่อย่างน้อยๆเขาก็น่าจะกำจัดจอมมารลำดับ 71 ได้นี่นา?
หรือต่อให้เขาทำด้วยตัวเองไม่ได้ เขาก็น่าจะรวมกลุ่มกับสหายไปกำจัดด้วยกันได้นี่?
ด้วยความฝันอันไร้สาระที่มี ปลายดาบก็ได้พุ่งชี้ไปที่ปราสาทจอมมารดันทาเลี่ยน
“……ข้าคิดว่า มันจะต้องเป็นสถานที่ที่โดดเดี่ยวจากที่อื่น แต่มันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย”
เด็กหนุ่มถึงกับประหลาดใจยามที่ได้เห็นเมืองปกติตั้งอยู่ใกล้ๆกับปราสาทจอมมาร
ภูเขาดำนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่มนุษย์ว่า เป็นสถานที่ที่มีมอนสเตอร์ดาษดาราวกับก้อนกรวด ความจริงที่ปรากฏให้เห็นว่ามีเมืองอยู่ใต้ภูเขาดำนั้นมันช่างน่าตกใจ
เด็กหนุ่มผู้นี้ถังแตก
จำนวนเงินที่เหลือน้อยนิด ที่เขาหามาได้นั้นใช้ไปกับการเดินทางไปยังปราสาทจอมมาร เด็กหนุ่มรีบมุ่งหน้าไปยังกิลด์นักผจญภัยในเมือง
กิลด์นักผจญภัยนั้นเป็นอาคารธรรมดาๆ ไม่ได้เก่าแก่จนดูเหมือนจะพังลงมาโดยง่ายแต่อย่างใด
กิลด์ฮอลนั้นสร้างขึ้นด้วยอิฐอย่างดี
“อืมม”
เด็กหนุ่มพยักหน้าพออกพอใจกับตัวเอง นี่เป็นรุ่นเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมที่เขาจะออกเดินทางในฐานฮีโร่
เด็กหนุ่มเข้าไปในกิลด์อย่างมีหวัง ในกิลด์นั้นมีเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ
“มีใครอยากกำจัดก็อบลินไหม? 2 เหรียญเงินต่อตัว”
“ไม่โว้ย แล้ว คนละ1โกลด์ มันจะไปใช้ได้ยังไงกันวะ!? แค่นี้ก็ยากที่อยู่ได้แล้ว!”
“ขอบอกเจ้าอย่างนึงนะ หอคอยนักเวทย์เฮเลน่าน่ะเสนอให้มากกว่าหอคอยนักเวทย์อื่น ที่ผ่านมานี่ข้าใช้ชีวิตไปสูญเปล่าจริงๆ แม่ง”
นักผจญภัยที่ดูเหี้ยมหาญพยายามที่รับสมาชิกใหม่เข้าปาร์ตี้ตัวเอง
ใช้เงินว่าจ้างผู้คน หรือไม่ก็แบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อกัน ในหมู่พวกเขานั้นอย่างน้อยที่สุดก็แก่กว่าเด็กหนุ่ม 4 ปี
เด็กหนุ่มประหม่าอยู่เล็กน้อย แต่เขาเชื่อว่า เขาจำต้องแสดงความเชื่อมั่นออกมา
หลังจากลงทะเบียนนักผจญภัยที่โต๊ะรับแขกแล้ว เขาก็ยังไม่มีเงินจ่ายค่าลงทะเบียน เขาก็ยิ่งเป็นหนี้มากขึ้น เด็กหนุ่มเดินไปใจกลางอาคารด้วยฝีเท้าที่ห้าวหาญ
‘แกทำได้น่า สกิลเลอร์ (Schiller) แกมีความสามารถน่า’
เด็กหนุ่มหายใจเข้าลึกสุดปอด
‘ข้าไม่เหมือนไอ้พวกขยะนั่น ข้าถือดาบมาตั้งแต่เล็ก ไม่มีทางหรอกที่ข้าจะกลัวจอมมาร ข้าจะประสบความสำเร็จที่นี่แล้วกลับบ้านอย่างทรงเกียรติ
ดังนั้นตอนนี้ มาลุยกันเถอะ ไปลุยกัน’
เด็กหนุ่มตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันก้องกังวาน
“นักผจญภัยทั้งหลาย! ผู้ที่ใกล้เคียงกับนักรบผู้กล้ามากที่สุด!”
เสียงของเขานั้นดังพอจะดึงนักผจญภัยที่พูดคุยกันเสียงดังให้หันกลับมามองเขา
เด็กหนุ่มเกือบจะงอตัวด้วยความกลัวผู้คนที่หน้าตาเหมือนนักเลงที่หันมามองเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน เขาจึงพูดต่อ
“แกทุกคนต่างมีความปรารถนาที่จะกำจัดจอมมารได้ทั้งนั้น แต่ตอนนี้พวกแกทำอะไรกันอยู่ล่ะ?
แกพอใจแล้วกับการดำรงชีวิตด้วยการกำจัดก็อบลินไม่กี่ตัวอย่างนั้นรึ ไม่อายต่อวิถีชีวิตเช่นนี้หรือยังไงกัน!?”
“…….”
“อย่างที่ทุกคนก็รู้ดี จอมมารดันทาเลี่ยนนั้นเป็นอาชญากรที่กระทำสิ่งชั่วร้ายต่อพวกเราเหล่ามนุษย์ องค์เทพีจะไม่ให้อภัยพวกเราแน่ หากพวกเราไม่ฆ่าเขาเสีย!”
สีหน้าของนักผจญภัยทั้งหลายไม่เปลี่ยนไปเลยน พวกนั้นก็ยังคงมองเด็กหนุ่มอย่างเงียบๆ
เด็กหนุ่มตะโกนออกมาอย่างดีอกดีใจอยู่ข้างใน นักผจญภัยพวกนี้ตั้งใจฟังเขา อย่างที่คิดเลยจริงๆ นักผจญภัยก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน
จนถึงตอนนี้เป็นไปได้ที่พวกเขาอาจมีแรงใจในการกำจัดจอมมารเหมือนกัน
เขาจึงพูดต่ออย่างมีกำลังใจ
“นามของข้า คือ สกิลเลอร์ ข้าเป็นอัศวินที่จบการศึกษามาจาก เฟรเดอริค อคาเดมี่ ข้ามาที่นี่เพื่อปราบจอมมารดันทาเลี่ยน
หากใครในหมู่พวกแกอยากที่จะสร้างชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ ก็อย่าได้อายไป ก้าวออกมาข้างหน้า! แล้วมาปราบจอมมารดันทาเลี่ยนด้วยกัน!”
ความเงียบเชียบดำเนินต่อไปสักพักหนึ่ง
เด็กหนุ่มเชื่อว่าตัวเองพูดได้ดีมากแล้ว น้ำเสียงของเขานั้นไม่ดังหรือไม่ค่อยเกินไป
เขาไม่ดูถูกหรือยกย่องพวกนั้นมากจนเกินไป ชายหนุ่มเชื่อว่า เขามีพื้นฐานการพูดในที่สาธารณที่ดี
แต่ถึงอย่างนั้น นักผจญภัยก็มิได้ตอบรับในวิถีทางที่เขาคิดไว้
“ ”ฟุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ””
เสียงหัวเราะ เขาได้รับเสียงหัวเราะอย่างล้นหลาม
นักผจญภัยห้าสิบกว่าคนกลับหัวเราะดังลั่น แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่หลังโต๊ะลงทะเบียนก็ยังแอบหัวเราะคิก
พวกเขาหัวเราะลั่นไม่หยุดนานกว่า 5 วินาที ก่อนจะกลับไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นักผจญภัยกลับสู่บทสนทนาเดิมของตน
“ข้าให้ได้แค่ เหรียญเงิน 2 เหรีญ ต่อก็อบลินหนึ่งตัว-”
“ยังไงก็ต้อง 5 ต่ำสุดแล้วที่ข้ารับได้ ไหวไห? ถ้าแกมีสำนึกอยู่บ้าง ถ้าอย่างนั้น…….”
“โอเค หอคอยนักเวทย์ของปีศาจน่ะ มันคุ้มค่ากว่าอยู่ดีแหละ ทีแรกข้าก็ลังเลเลนะ แต่พอคุ้นเคยกับพวกนั้นแล้ว มันก็ดีเลยล่ะ”
ชั่วระยะเวลาสั้นๆ กิลด์นักผจญภัยต่างก็กลับสู่สภาพวุ่นวายเหมือนเคย
“…….”
เด็กหนุ่มกลับเป็นผู้เดียวที่ไม่เข้าใจเลยว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงได้มีท่าทีตอบรับอย่างนั้น?
MANGA DISCUSSION