ตอนนั้นเองที่หน้าต่างแจ้งเตือนมากมายเด้งขึ้นมา
「จอมมารกามิกินถูก ‘ครอบงำ’ โดยคุณ!」
「เงื่อนไขสเตตัสนั้นจะถูกต้านทานไว้หรือไม่ขึ้นอยู่กับค่าสติปัญญาและค่าเสน่ห์ของกามิกิน」
「ลูกเต๋าแห่งโชคได้ถูกทอดออกมาเป็นแต้ม 6 โดยปาฏิหารย์!
คุณสำเร็จใน ‘การครอบ’ ถึงแม้ว่า คุณจะมีค่าสเตตัสที่ต่างกันมากมายก็ตาม!」
เสียงซาวน์เอ็ฟเฟ็คอันแสนหนวกหู
「คุณได้เคลียร์ภารกิจที่สุดยอด」
「หนึ่งในสกิลที่คุณมีจะได้รับการยกระดับเป็นรางวัล」
「ขอแสดงความยินดีด้วย! สกิล <การแสดงของคุณ> ได้อัพเกรดกลายเป็น <จุมพิตของจูดาส*>!」
<Kiss of Judas>
มันออกจะเป็นอะไรที่ชวนตกใจ ผมไม่ได้รับสกิลมานานมากแล้ว
หากผมจำไม่ผิด สกิล จุมพิตของจูดาสนั้นจะให้โบนัสเมื่อมีการเจรจาต่อรองหรือการวางแผนเกิดขึ้นในเกม
ต่างจากสกิลขยะแบบ <การแสดง> ที่ไม่รู้ว่า ควรจะเอาไปใช้ตรงไหนดี จุมพิตของจูดาสนั้นมีประโยชน์กว่าเห็นๆ
โอ้ พระเจ้า พอมาคิดๆดูนี่ ผมต้องใช้เวลาถึง 3 ปี กว่าจะได้สกิลที่พอใช้ได้
จะยากนรกก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยสิวะ
ถ้าเป็นเกมจริงๆนี่เหล่าผู้เล่นได้รวมตัวกันเผาบ้านผู้พัฒนาเกมไปแล้ว
“ดันทาเลี่ยน…….”
ริมฝีปากบางของกามิกินอ้าขึ้นหลังจากหุบมาสักพัก
เธอมองมายังผมก่อนจะกลับไปหันมองตัวเอง
“ดันทาเลี่ยน นายบ้าไปแล้วใช่ไหม?”
“โอ้ ได้โปรดเถอะ กรุณาบอกมาตรฐานความบ้าให้ข้ารู้ก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นว่าทุกคนที่ผิดไปจากมาตรฐานนั่นก็ถือว่าบ้ากันหมด ไม่ใช่หรือ?”
“……นายน่ะมันบ้าเกินไปแล้ว นานๆทีจะมีจอมมารแบบนายเกิดขึ้นมา”
กามิกินปล่อยมือผม
“นายรู้บ้างไหม? มันมีคนอยู่สองประเภทที่เพลิดเพลินกับการดูสิ่งพวกนั้น
นักผจญภัยผู้ที่ชื่นชอบเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงตาย หรือไม่ก็ นักพนันที่พยายามฆ่าตัวตายอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน
แต่จะไม่ว่าพวกไหน ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนคลั่งสติแตกที่อยากจะได้ใครสักคนมาฆ่าตัวเอง”
“แล้วมันยังไงกันล่ะ?”
ผมเอียงคอสงสัย
“แน่อยู่แล้วนี่ บอกกันตรงๆไปเลยก็ได้ว่า ข้าน่ะบ้า ก็น่าจะรู้ก็น่าจะเห็นกันอยู่แล้วนี่? แล้วเธอไม่บ้าอย่างนั้นเหรอ ที่คิดว่า สิ่งอื่นๆบนโลกนี้นอกจากการเอาชีวิตรอดน่ะ มันไร้ค่า?
แล้วบาร์บาทอสจัดว่าบ้าไหม ตอนที่ฆ่าล้างมนุษย์นับแสนคนเพียงเพื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจ
พวกเราน่ะแม่งก็บ้ากันทั้งนั้นนั่นแหละ”
ผมมองไปรอบๆ
จอมมารบางคนก็แอบมองเราคุยกันด้วยความกังวล
ขณะที่ส่วนมากแล้วก็วุ่นยุ่งอยู่กับการเจ๊าะแจ๊ะกับพรรคพวกฝ่ายเดียวกัน เสียงถูกปิดกั้นโดยสิ้นเชิง ผมจึงไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไร
ผมพูดด้วยความรู้สึกเหมือนกับตัวเองนั้นโดดเดี่ยวโดยสมบูรณ์
“มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่สามารถเป็นจอมมารได้
หากจะมีเหตุผลใดที่กลายเป็นจอมมารก็คงเพราะความบ้านี่แหละ,กามิกิน
เธอพยายามชี้ให้เห็นว่า การช่วยเหลือบาร์บาทอสนั้นมันช่างไร้ค่าเปล่าประโยชน์ แต่มันกลับกันต่างหาก ข้ามีความสุขที่ได้เฝ้าดูบาร์บาทอสอยู่ข้างๆ”
“…….”
“อ้า ใช่นะ ข้าเองก็ชอบท่านเหมือนกันนะ คุณกามิกิน
ผมนี่ถึงกับอึ้งไปเลยล่ะ ว่า เธอใช้ชีวิตโดยแบ่งแยกเป็นภายในกับภายนอกได้อย่างสมบูรณ์แยกขาดจากกันได้ยังไง
ข้าได้แต่หวังว่า จะมีโอกาสได้คุยเรื่องนี้กับเธอสักวันหนึ่ง”
กามิกินกรีดตามองผมอย่างเย็นชา
“……หากมีโอกาส”
กามิกินยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้เสมอจนกระทั่งหันหน้าออก
เธอเดินกลับไปยังจุดที่เธอมา
ที่นี่ไม่มีจอมมารคนไหนเป็นมิตรกับผมอยู่แล้ว ผมเลยต้องอยู่คนเดียว
สิตริมองผมด้วยสีหน้าหดหู่ใจ แต่เธอก็มาหาผมไม่ได้เพราะรอบตัวเธอนั้นห้อมล้อมไปด้วยจอมมารจากฝ่ายภูเขา
เธอคงจะโดนเพื่อนร่วมฝ่ายบ่นเอาเรื่องที่มาสนิทกับผม
– ช่วยข้าด้วย ดันทาเลี่ยน!
สิตริอ้อนวอนผมด้วยสายตา ผมตอบกลับไปด้วยการยักไหล่
เธอสมควรโดนดุบ้างแล้วแหละ ตอนนี้เธอเป็นตัวแทนของฝ่ายภูเขา ไม่ใช่ไพมอน ดังนั้นจะเป็นปัญหามากหากเธอยังคงปล่อยตัวตามสบายไม่รู้จักควบคุมตัวเองบ้าง
– ยอมแต่โดยดีซะเถอะ ไม่ว่ายังไงเธอน่ะต้องโดนบ่นอยู่ดีนั่นแหละ
– คนทรยศ! เจ้าคนโกหก! ข้าเกลียดเจ้าาา!
สิตริมองผมด้วยใบหน้าที่สุดสิ้นหวัง แต่ผมไม่ใจอ่อนหรอก ชีวิตน่ะมันต้องผ่านความยากลำบากบ้างถึงจะเติบโต
จอมมารบางคนแอบลอบมองผม แต่ไม่มีสักคนที่พยายามจะมาอยู่ใกล้ๆผม
จุดยืนของจอมมารดันทาเลี่ยนตอนนี้ค่อนข้างซับซ้อน ทุกคนนั้นต่างรู้ดีถึงความสำเร็จของผมในกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา
ซึ่งนั่นทำให้มีจอมมารกลุ่มหนึ่งอยากจะสนิทกับผม แต่ถึงอย่างนั้นปัญหาก็คือ หากเข้ามาสนิทกับผมโดยไม่ระวังก็อาจเจอความเสี่ยงในเรื่องต่างๆ
ผมเป็นสมาชิกหลักของฝ่ายที่ราบ และเป็นที่รู้กันว่า ผมเป็นคนรักของบาร์บาทอส ผู้คนอาจคิดไปว่า บุคคลที่ใกล้ชิดสนิทกับผมนั้นกลายเป็นฝ่ายของที่ราบไปด้วย
ฝ่ายที่ราบน่ะขึ้นชื่อเรื่อง หัวรุนแรงเกินเหตุ แม้แต่ในโลกปีศาจ ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่ไม่น่าดูเลย
แถมผมเองยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไพมอนนั้นพ่ายแพ้ยับเยินอีกต่างหาก
พูดง่ายๆผมนั้นเป็นเหมือนหนามแทงใจสำหรับฝ่ายภูเขา
ดังนั้นยากที่ใครจะกล้ามาตีสนิทกับผมหากไม่เตรียมใจพอที่จะเป็นศัตรูกับฝ่ายภูเขา
‘เอาล่ะ ก็ถือว่าแต่ละคนก็มีวิธีผ่อนคลายกับงานเลี้ยงต่างกันออกไปก็แล้วกัน’
ผมเดินไปที่มุมหนึ่งในงานเลี้ยงอย่างสบายๆ
มันมีเครื่องดื่มสุดหรูหรา หาได้ยากมากมองกองกันราวกับเป็นภูเขา สินค้าเหล่านี้ถ้าให้หามาเองก็เหนื่อยยากลำบากมาก
สุดยอดไปเลยจริงๆ
ผมรับแก้วไวน์มาจากบริกร ก่อนจะเช็คหน้าต่างสเตตัส
อย่างที่คิดไว้จริงๆ <การแสดง> นั้นหายไป แล้วถูกแทนที่ด้วย <จุมพิตของจูดาส> แทน
ผมตรวจสอบรายละเอียดของสกิลเกือบลืมหายใจ
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
[สกิล]
แร๊ง A
สกิลสั่งใช้
หากเป้าหมายมีค่าความชอบน้อยกว่า 20 : ค่าไหวพริบของผู้เล่น +10%, ค่าเสน่ห์ +10%
หากเป้าหมายมีค่าความชอบมากกว่า 20 และคุณโจมตีเป้ามาย : ค่าความเป็นผู้นำเป้าหมาย -20%, ค่าอำนาจ -10%, ค่าสติปัญญา -20%, ค่าไหวพริบ -20%.
(※ สกิลนี้เป็นเวอชั่นอัพเกรดของ <การแสดง> เมื่อเปิดการใช้งาน จะส่งผลสกิล <การแสดง> ด้วย)
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
“อื้มม ถือว่าดีเลยนี่”
ผมจิบไวน์ขณะพยักหน้า
มันอาจจะดูอ่อนไปหน่อยสำหรับสกิลแร๊ง A แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย
สกิลการแสดงนั้นบรรยายแค่บรรทัดเดียวว่า : ‘เพิ่มโอกาสการโน้มน้าวเป้าหมาย’
ผ่านมานานเหลือเกินกว่าที่ผมจะได้รับค่าสแตทดีๆ และการที่สกิลนี้ส่งผลให้ค่าไหวพริบและค่าเสน่ห์ของผมเพิ่ม 10% มันดีจนผมอยากจะขอบคุณโลกใบนี้
เอาล่ะๆ การรู้จักซาบซึ้งเป็นเรื่องสำคัญ คนเราก็ต้องรู้จักการถ่อมตนไว้บ้าง
เสียงดนตรีดังก้องไปทั่วทั้งฮอล
วงออเคสตร้าที่เต็มไปด้วยดาร์คเอลฟ์เล่นเครื่องดนตรีอย่างช่ำชอง เพิ่มเติมให้ว่า ดาร์คเอลฟ์น่ะเป็นเผ่าพันธุ์ที่รักการดนตรีมากที่สุดในโลกของเอลฟ์ เพราะพวกสายเลือดแท้น่ะดูถูกว่า ดนตรีนั้นเป็น ‘งานศิลป์ห่วยๆ’
“เฮ้ย ทำไมแกมาซุกในมุมเหมือนไอ้ขี้แพ้ล่ะ?”
สักพักจอมมารก็เริ่มทยอยกันมาและบาร์บาทอสเองก็หนึ่งในพวกนั้น เธอเที่ยวกวาดตามองจอมมารตนอื่นก่อนจะเดินเข้ามาหาผมในงานโดยไม่รอช้า
ผมตอบรับเธออย่างเย็นชา
“ก็อย่างที่เธอเห็น ข้ากำลังเอนจอยกับงานเลี้ยงนี้อยู่”
“พูดมั่วซั่ว ชายที่ควรเป็นแขกผู้ทรงเกียรติในคืนนี้กลับมาอยู่ในมุมอย่างกับพวกสังคมทอดทิ้งเนี่ยนะ ยอดไปเลย”
บาร์บาทอสท้าวสะเอว
“ข้าบอกแกไปแล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าแกยังมาทำตัวห่วยๆป่วยๆอยู่ มันส่งผลต่อภาพลักษณ์ของข้าด้วยน่ะ?”
“ฟุฟุ เธอเข้าใจผิดแล้วนา บาร์บาทอส ข้ากำลังนิ่งสงบอยู่ในความโดดเดี่ยว หากแต่ความโดดเดี่ยวที่ว่านั่นหาใช่ กะลาสีผู้หลงไปในทะเลไม่ ข้าน่ะเป็นกัปตันผู้เดียวดายที่กำลังสำรวจผืนทะเลด้วยเรือของ…….”
“หุบปาก ไม่งั้นข้าตัดลิ้นเจ้าทิ้งแน่”
ผมจึงเงียบทันที
บาร์บาทอสหยิบคุกกี้มากิน จนได้ผมยินเสียงเธอเคี้ยวคุกกี้ดังกรุบกรับ ผมเพิ่งโดนเธอบอกให้รู้จักรักษาภาพลักษณ์ของเธอ อยากจะพูดสวนอะไรไปสักคำ แต่ก็ต้องยอมเงียบไว้เพราะไม่อยากลิ้นขาด
ต่างจากชุดปกติประจำวันของเธอ มาวันนี้เธอสวมชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์
หากนึกถึงบาร์บาทอส ไม่ว่าใครก็คงนึกถึงชุดสีดำแดงก่อนเป็นอย่างแรก
เธอน่ะขึ้นชื่อมาเรื่องการแต่งกายเฉพาะชุดโทนสีดำแดง ไม่ว่าจะในสนามรบหรือในงานเลี้ยง แต่วันนี้มาแปลกที่เธอเลือกแต่งชุดขาวสนิททั้งตัวแบบนี้
เอาจริงๆมันก็เหมาะกับเธอดีอยู่หรอก ราวกับกำลังจ้องมองไข่มุกเม็ดงามประกายที่มีเคลือบด้วยหิมะ
ผมคงจะให้คะแนนเต็มเลยล่ะ หากนิสัยข้างในมันเป็นไปตามรูปลักษณ์ภายนอก
“ทำไมเธอไม่ใส่ชุดปกติเหมือนทุกที?”
“ข้าเลือกชุดที่เข้าคู่กับเจ้าไง เจ้าสมองน้อย”
บาร์บาทอสแย่งแก้วไวน์ไปจากมือผม แล้วกระดกไวน์อย่างรวดเร็ว
“เฮอะ แกน่ะมันเอาแต่ใส่ชุดสีดำ ดูมืดมนโทรมๆตลอด ข้าคิดไว้แล้วว่า วันนี้แกก็คงทำอย่างนั้นเหมือนกัน ข้าเลยตัดสินใจสวมชุดอะไรที่มันขาวๆให้มันเข้าคู่กับแก
ว่าไงคำอธิบายนี้ดีพอสำหรับแกไหม?”
“โอ้ แหม แหม ตัวข้านี่ ช่างได้รับเกียรติเป็นอย่างยิ่ง”
ผมยื่นมือไปจับมือของเธอ
“โอ้ แฟรี่หิมะผู้งดงาม ได้โปรดประทานโอกาสให้เราได้เต้นรำด้วยกันสักเพลงจะได้ไหม?”
“นั่นคือ สาเหตุที่ข้ามาที่นี่แหละ เจ้าสุภาพบุรุษสุดงั่ง”
บาร์บาทอสหัวเราะออกมาก่อนจะวางมือซ้อนบนมือของผม มือของเธอนั้นเล็กกว่า
ผมค่อยๆแตะสัมผัสอย่างนุ่มนวลราวกับประคองแก้วชิ้นงาม
พวกเราไปที่กลางห้องจัดงานเลี้ยงและเริ่มเต้นรำ
“แกเต้นเก่งขึ้นนี่”
บาร์บาทอสหัวเราะหึ
“แกได้ไปฝึกซ้อมกับสาวที่ไหนมาก่อนสินะ?”
“มีเลดี้ผู้หนึ่งชอบหยอกเย้าข้าเรื่องที่เต้นไม่เป็น ข้าจึงพยายามฝึกเพื่อที่จะได้ไม่เหยียบเท้าใคร”
ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล บาร์บาทอสเองนี่แหละที่แซวผม
“หึ แกที่มันดีแต่เห่าไม่รู้จักกัดจริงๆ”
“ก่อนหน้านี้กามิกินเข้าหาข้า นางพยายามจะโน้มน้าวด้วยการถามว่าข้าต้องการอะไร”
บาร์บาทอสทำตาวิบวับอย่างสนอกสนใจ
“แล้วแกตอบมันไปว่ายังไง?”
“ข้าก็ตอบไปด้วยความสัตย์จริงว่า ข้าชอบเด็กสาวตัวเล็กๆ ดังนั้นคนอย่างนางที่ชอบใช้ไขมันส่วนเกินดึงดูดผู้อื่นจึงไม่ใช่รสนิยมของข้า”
“เคะเคะเคะ”
บาร์บาทอสหัวเราะร่วน ผมก็ตอแหลเห็นๆอยู่แล้วแหละ
ร่างกายทรงแบบกามิกินนี่แหละที่ใกล้เคียงกับรสนิยมที่ผมชอบ
ถึงอย่างไรเสียผมก็อยากให้บาร์บาทอสรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“แกนี่มันงั่งจริงๆเล้ย รู้ตัวใช่มะ?”
“แล้วเพิ่งมาพูดอะไรตอนนี้ล่ะครับ?”
เราก็หยอกล้อกันเล่นขณะที่เต้นรำกันไปด้วย
* * *
“แหม ดูนั่นสิ นั่นคุณบาร์บาทอสกับดันทาเลี่ยนนี่”
“ได้ยินข่าวเล่าว่า พวกนั้นไม่ได้คบหากันแบบปกติสักเท่าไหร่ แต่เหมือนข่าวนั่นจะไม่จริงสินะ!”
จอมมารหญิงต่างกระซิบกระซาบกัน
ผู้หญิงรอบตัวกามิกินนั้นต่างไม่มีฝึกฝ่ายใด พวกนั้นเน้นการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในฐานะจอมมาร มากกว่าที่จะมากังวลเรื่องศัตรูทางการเมือง
ไม่มีอะไรทำให้พวกเธอตื่นเต้นได้มากเท่ากับการเม้ามอยเรื่องความรัก
“นั่นดูราวกับแฟรี่ตัวน้อยเต้นรำกับเอลฟ์เลย!”
“ข้าไม่รู้สิ คุณบาร์บาทอสน่ะงดงามอยู่แล้ว แต่คู่เต้นของเธอนี่…….”
“เหรอ ๆ แต่ข้าออกจะชอบคนแบบคู่ขาของนางนะ”
กามิกินเฝ้าดูบาร์บาทอสกับดันทาเลี่ยนเงียบๆ ทั้งคู่ต่างยกให้แก่กันและกัน
มันเป็นบรรยากาศที่ยากจะเข้าไปใกล้ทั้งคู่ ราวกับมีกำแพงกั้นกางขวางผู้อื่นไว้
มันอาจเป็นความเชื่อใจ ที่ทั้งสองต่างเชื่อใจกันและกัน
‘คู่ควรต่อการให้เชื่อใจ’
กามิกินดื่มไวน์แก้วนั้นที่หวานฉ่ำ
จอมมารหญิงชวนกามิกินคุย
“แล้วเธอล่ะ คุณกามิกิน? เมื่อครู่ข้าเห็นเธอไปคุยกับดันทาเลี่ยนด้วย”
“อืมมม”
กามิกินยิ้มสดใสเหมือนอย่างเคย เธอกำลังใช้ความคิดอยู่ว่า สมควรตอบกลับไปอย่างไรจึงจะดี?
สมควรไหมที่เธอจะสื่อเป็นนัยว่า เธอมีความสัมพันธ์สนิทแนบชิดกับดันทาเลี่ยน? ใช่แล้วล่ะ มันเข้าท่าดี
จอมมารหญิงนั้นเป็นศูนย์กลางของแวดวงสังคมชั้นสูงและแหล่งข่าวลือมากมาย
หากข่าวโคมลอยบอกว่า กามิกินกับดันทาเลี่ยนแอบมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน ข่าวนั้นคงสร้างความปั่นป่วนให้กับฝ่ายที่ราบเป็นแน่
“ก็ช่ายแหละน้า ออกจะน่าอายไปสักหน่อย แต่ข้าก็แอบสนใจเขาอยู่แหละ~?”
“แหม แหม จริงหรือคะ!?”
“นี่เธอกำลังจะบอกว่า เธอรู้สึกดีๆกับเขาเหรอ?”
จอมมารผู้หญิงต่างมาห้อมล้อมกามิกินราวกับไฮยีน่า
กามิกินนั้นพูดด้วยการคิดคำนวนถึงผลประโยชน์ทางการเมืองไว้ก่อนแล้ว
เธอไม่ลืมที่จะทำเป็นหน้าแดง เพื่อให้แน่ใจว่าได้แกล้งยิ้มเขินๆออกไป
เธอแอบเปรยตามองบาร์บาทอสและดันทาเลี่ยนอยู่ห่างๆ
—
*Kiss of Judas
เป็นชื่อภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาจิตรกรรมฝาผนังของโบสถ์ Scrovegni ในเมืองปาดัว ของอิตาลี ซึ่งแสดงถึงเหตุการณ์การทรยศต่อพระคริสต์ของจูดาส 1 ใน 12 อัครสาวกของพระเยซู
โดยศิลปินอย่างจ็อตโต้ (Giotto) สถาปนิกและจิตรกรชาวอิตาลี ได้จำลองเหตุการณ์ที่จูดาสพาทหารไปที่สวนเกทเสมานี และชี้ตัวพระองค์ด้วยการเข้าไปจูบพระพักตร์ อันนำไปสู่การตรึงกางเขนและสิ้นพระชนม์ของพระเยซู
จูบของจูดาสจึงเป็นจูบที่แสดงถึงความทรยศ และทำให้ภายหลังจูดาสเกิดความรู้สึกผิด จนตัดสินใจแขวนคอกับต้นไม้
MANGA DISCUSSION