ผมมองควันที่ลอยอยู่
“นักปราชญ์ผู้หนึ่งกล่าวไว้……ครอบครัวผู้มีสุขนั้นสุขเหมือนเหมือนกัน แต่ครอบครัวผู้มีทุกข์ย่อมทุกข์ต่างไปตามวิถีตน*”
“หมายความว่ายังไง?”
ผมส่ายหัว
“ไม่มีอะไรหรอก แค่คำพูดนี้อยู่ๆมันก็แวบเข้ามาในหัวข้า ทั้งที่ข้าเคยอ่านมันครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ความทรงจำนี้ช่างลี้ลับเหลือเกิน”
ตอนนั้นมันเมื่อไหร่กันนะ?
เหมือนผมจะได้ยินคำพูดนั้นจากชั้นเรียนเมื่อสมัยอยู่ปีหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ผ่านมาไม่กี่ปี แต่กลับรู้สึกว่ามันเป็นอดีตอันแสนยาวไกลจากตอนนี้…….
แน่นอนว่า นั่นเป็นบรรทัดแรกของ <อันนา คาเรนินน่า> นิยายของตอลสตอย* ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากมายนักแล้วอ่านฟังไปผ่านๆ แต่มาตอนนี้ผมกลับจดจำบรรทัดนั้นได้ทั้งที่มันก็ไม่ได้ต่างจากตัวอักษรสีดำบนกระดาษขาวแท้ๆ
อาจเป็นเพราะผมห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่แตกสลาย
ลูกครึ่งปีศาจมนุษย์,ลาพิส
ลอร่า,เด็กสาวที่ถูกครอบครัวขายไปเป็นทาส
เจเรมิ,ผู้ถูกบังคับให้ใช้ชีวิตเป็นมือสังหารตั้งแต่ยังเด็ก
……. และตอนนี้ก็เป็นพาร์ซิที่สถานการณ์บังคับให้กลายเป็นหัวหน้าหมู่บ้านหลังการตายของพ่อ
ประโยคนั้นเข้ากันได้ดีกับผู้ที่เป็นข้ารับใช้ของผม
พาร์ซิเองไม่ได้อยากเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเพราะอยากที่จะเป็น
เจเรมิก็คงไม่คิดจะเป็นมือสังหาร
ลอร่าเองก็ไม่อยากตกเป็นทาสกาม
ส่วนลาพิสเองก็คงไม่ได้อยากเกิดมาเป็นลูกครึ่ง
พวกเขาเหล่านี้โชคไม่ดีที่สถานการณ์บังคับให้เป็นโดยที่ไม่ได้ทำอะไรผิด
นี่มันไม่ยุติธรรมไม่ใช่หรือยังไงกัน?
“…….”
คืนนั้นพวกเราพักกันที่บ้านพาร์ซิ ไม่มีปัญหาอะไรด้วยซ้ำหากผมจะไม่นอนติดต่อกันหลายวัน ผมจึงนั่งริมหน้าต่างแล้วครุ่นคิดอะไรไปขณะที่สูบไปป์
‘มันก็คงพอทนได้หรอกหากมันเป็นโชคร้ายที่เกิดขึ้นเพราะพวกเขานั้นทำอะไรผิดไป’
พวกเขาคงรู้สึกสำนึกเสียใจว่าได้ทำอะไรผิดพลาดลงไป และจะไม่ทำอย่างนั้นอีก หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะมีความสุข แต่ผู้คนที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยกลับต้องพบประสบเหตุการณ์เช่นนั้นจะทำอย่างไรกันเล่า?
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรสำนึกเสียใจกับอะไร จึงไม่มีใครให้ร้องขอให้ยกโทษให้ จึงกลายเป็นว่า โลกนี้นี่แหละที่ผิด ไม่ใช่พวกเขา
ดังนั้นเอง พวกเขาจึงมีสิทธิ์ที่คิดจะแก้แค้นเอาคืนโลกใบนี้
ความโชคร้าย ความอยุติธรรมผลักดันพวกเขา ตอนนี้ถึงคราวของพวกเขาบ้างที่จะส่งความอยุติธรรมนั้นกลับคืนสู่โลก พวกเราเป็นตัวตนที่เนืองแน่นไปด้วยความมุ่งร้าย ความมุ่งร้ายที่ได้รับมาจากโลกใบนี้
ผมเป็นจอมมาร ราชาผู้แบกรับความปรารถนาทั้งหลาย ในฐานะจอมมารผมจะทำการแก้แค้นให้กับข้ารับใช้
การแก้แค้นโดยไม่แบ่งแยก
‘บาร์บาทอส, นี่แหละคือ หลักการเรื่องความจงรักภักดีของข้า’
มันอาจจะดูต่ำทราม เลวร้ายหากเทียบกับหลักการที่ทำไปเพื่อความฝันแห่งเหล่าพงศ์พันธุ์ปีศาจ
แต่นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่พวกเรามี ไม่รู้ว่าเธอจะเข้าใจมันไหมนะ,สาวน้อยผู้เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่เอ๋ย?
ราตรีนั้นผ่านไปอย่างเงียบเชียบ
* * *
“โอ้ เมื่อคืนหลับสบายไหม?”
รุ่งเช้าต่อมาผมเจอกับฟาเบียน ไม่ใช่แค่ฟาเบียนคนเดียวที่มาอยู่ที่หน้าปากทางเข้าหมู่บ้าน
กลุ่มนักผจญภัยเกือบ 20 กลุ่มที่แสนเอะอะตึงตังมารวมอยู่ด้วยกัน
พวกนี้เป็นปาร์ตี้ที่มาที่นี่จากเมืองเพื่อบุกเข้าไปยัง ปราสาทจอมมารดันทาเลี่ยน
“ข้าเหรอ คงเป็นโชคดีนั่นแหละที่สามารถหาที่หลับนอนได้ แล้วเจ้าล่ะ ฟาเบียน? หลับสบายดีไหม?”
“แม่งเอ้ย สุดท้ายข้าก็ต้องไปนอนในคอกม้าทั้งที่จ่ายเงินให้ไปเยอะแล้วแท้ๆ ชาวบ้านนี่เอาแต่กัดกรามตลอดเวลามองมาที่นักผจญภัย”
ฟาเบียนเกาหัวโล้นๆของเขา
“แต่อย่างน้อยพวกนั้นก็พอมีจิตสำนึกอยู่บ้างแหละ เลยเอาฟางใหม่ๆให้ข้าเป็นผ้าห่ม มันก็ไม่แย่นักหรอก ดีกว่าไม่มีหมอนเลยก็แล้วกัน?”
“แน่ล่ะ……. ดูเหมือนที่นี่จะมีคนอยู่เยอะเลยนี่ หรือนี่ได้เวลานัดหมายแล้ว?”
ผมมองไปรอบๆ ฟาเบียนตกใจกับท่าทีของผมแบบนั้นจึงพูดขึ้น
“หรือนายไม่เคยเข้าร่วมปาร์ตี้ใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย?”
“ใช่ อย่างมากสุดที่ข้าเคยเข้าร่วมก็ 5 – 10 คน ”
“อาฮ่า ข้าเข้าใจแล้ว นี่เป็นครั้งแรกของเจ้าสินะ”
ปาเบียนยิ้มชั่วร้าย
“เดี๋ยวนายก็เข้าใจอะไรๆมากขึ้นเองแหละ แล้วมาดูกันดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นหากนักผจญภัยนับร้อยมารวมตัวกัน”
ไม่นานหลังจากนั้นกลุ่มใหญ่ของนักผจญภัยก็เริ่มเคลื่อนกลุ่มไป พอกลุ่มหนึ่งเคลื่อนอีกกลุ่มก็เคลื่อนตามหลังไป
ผมกับเจเรมิก็เดินไปด้วยขณะที่คุยด้วยภาษาจักรวรรดิโบราณไปด้วย
ไม่ใช่แค่ที่เฉพาะหมู่บ้านเท่านั้นที่มีนักผจญภัย แต่ยิ่งพวกเราใกล้กับปราสาทจอมมารมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งเห็นกลุ่มนักผจญภัยใหญ่ขึ้นเท่านั้น
สุดท้ายพอทั้งหมดมารวมกลุ่มกันครบ จำนวนนักผจญภัยก็เพิ่มขึ้นจาก 20 กลายเป็น 100 คนในทันที
“โฮ่”
พอพวกเรามาถึงที่หน้าปากทางเข้าก็เหมือนกับมีการเข้าแถวจัดคิวของนักผจญภัยด้วย
กะด้วยสายตา มีราวๆ 15 คนได้ พอเห็นผมมองภาพอันน่าตื่นเต้นนั้นฟาเบียนที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้น
“พอนักผจญภัยจำนวนมากมารวมกลุ่มกันก็จะเข้าไปพร้อมๆกันนี่แหละ ทั้งที่ไม่ได้นัดหมายอะไรกันมาก่อน มันก็เป็นเหมือนสัญญาใจที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน”
“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?”
“นายจะมีโอกาสรอดสูงขึ้นน่ะ ถ้าเทียบกับการเข้าดันเจี้ยนไปตามลำพัง”
ฟาเบียนยักไหล่
“พวกเราไม่มีทางรู้หรอกว่า ในปราสาทจอมมารจะมีมอนสเตอร์แบบไหน และกับดักแบบใดแถมทุกคนยังแอบหวังด้วยว่า ปาร์ตี้อื่นจะลั่นไกทำงานกับดักให้พวกเขาก่อน ก็คล้ายๆโล่เนื้อน่ะนะ”
ผมเข้าใจแล้ว เรียบง่ายแต่ได้ผล
พวกเขาไม่ได้คาดหวังอะไรอย่างเช่นความสามัคคีหรือเป็นหนึ่งเดียวจากปาร์ตี้อื่น การใช้คนอื่นเป็นเหยื่อล่อนั้นก็ดีพอแล้วล่ะ
ผมไม่รู้ความจริงข้อนี้เพราะในเกมนั้นมีแต่ปาร์ตี้ขนาดเล็กเท่านั้น
“ถ้าเข้าไปก่อนก็ถือว่าเสียเปรียบมิใช่รึ? ข้ากลับรู้สึกว่าเหมือนทุกคนอยากเข้าทีหลังทั้งนั้น”
“คิคิ นายพูดถูก แต่เข้าหลังคู่แข่งก็เยอะขึ้นนะ”
เข้าก่อนนั้นอันตราย แต่รางวัลที่ได้ก็สูงไปด้วย นั่นคือ สิ่งที่เขาอยากจะบอก
“ปราสาทจอมมารน่ะเต็มเปี่ยมไปด้วยมานา ปีศาจก็อาศัยอยู่ด้วยการกลืนกินมานาพวกนั้น……เนื้อหนังมันเลยแน่นและแข็ง เอาเนื้อไปขายให้พ่อค้าเอากระดูกไปขายให้สมาคมนักเวทย์ก็ได้ มันเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น”
“หากอยากได้เงินมากๆก็เข้าปราสาทจอมมารก่อนใคร แต่หากอยากได้ความปลอดภัยก็ไม่ควรเข้าก่อน…….”
ฟาเบียนพยักหน้า
“สุดท้ายแล้ว คนที่เชื่อมั่นในฝีมือตัวเองก็จะไปก่อน ถือเป็นศักดิ์ศรีอย่างนึงนี่นะ ?
ข่าวที่ว่ามีปาร์ตี้อื่นรุดเข้าไปก่อนก็จะส่งถึงปาร์ตี้กลุ่มอื่นๆด้วยซึ่งนั่นก็จะส่งผลต่อชื่อเสียงของปาร์ตี้แรก
ดูนั่นสิ”
ปาเบียนชี้ไปที่ทางเข้า มีนักผจญภัยกลุ่มหนึ่งยืนอยู่จนเห็นเด่นชัดท่ามกลางฝูงชนที่วุ่นวาย
บางคนในกลุ่มนั้นสวมใส่ชุดหนังชั้นดี ขณะที่บางคนก็สวมเกราะเหล็ก อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นนักผจญภัยแร๊งค์ D
พวกเขาดูหงุดหงิดขณะที่มองกันไปมองกันมา
“เดดาลัส เจ้าวายุ(Daedalus the Gust),เมอเรียล คนคลั่ง( Myriel the Crazy),ไดร์แทรด กาพิษ(Poison Crow Diethard)……. เหล่าคนมีชื่อเสียงทั้งหลายต่างมารวมกันที่นี่ หากไม่นับพวกที่ไปรบ พวกนี้ก็ถือว่า เก่งแนวหน้าเลยล่ะ
หืมม แต่ดูเหมือนพวกนั้นจะมีเรื่องในใจกันอยู่เยอะพอสมควร
การที่พวกนั้นไม่ชักดาบชี้หน้ากันออกมาก็ถือว่า เป็นเรื่องน่าประหลาดใจพอสมควรเลย”
ฟาเบียนพูดอย่างสบายๆ
“เอาล่ะ เดี๋ยวจะออกเดินกันแล้ว”
พอเขาพูดอย่างนั้น นักผจญภัยที่รูปร่างใหญ่โตเหมือนภูเขาก็ขยับก้าวแรกก่อน
กลุ่มนักผจญภัยก็ตามหลังเขาเข้าไปทีละคน ผ่านทางเข้า
พอพวกหนึ่งแยกกลุ่มเข้าไป นักผจญภัยที่จับตาดูอยู่ก็รีบหันกลับไปหาพรรคพวกแล้วตะโกน
“พวกเราก็จะเข้าไปเหมือนกัน”
“เกาะกลุ่มให้ดี!”
ทุกคนแต่แห่แหนกันเดินหน้าหลังจากมีใครคนหนึ่งขยับก้าวแรก
พวกหน่วยสังเกตการณ์หรือหน่วยสอดแนมอย่างสเก๊าท์(Scouts)นำหน้า
พวกนั้นโดยมากก็เป็นอาชีพนักล่า(Hunter) และ ผู้พิทักษ์ป่า(Forest ranger)ที่ต้องนำร่องไปก่อน
พวกเขาไม่ได้วางแผนอะไรไว้ล่วงหน้า แต่ก็ให้หน่วยสอดแนมคอยประสานานให้แล้วพวกเขาก็ขยับตามปาร์ตี้ของหน่วยสอดแนม
ฟาเบียนบีบจมูกตัวเองด้วยท่าทางไม่พอใจเท่าไหร่นัก
“ฮื่มม เจ้าเดดาลัสมันเครื่องติดละ ไอ้หมอนั่นมันต้องตายก่อนแน่”
“ไม่มีอะไรการันตีนี่ว่าเขาจะตาย”
“แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีว่า เขาจะรอดเหมือนกันใช่ไหม?”
ฟาเบียนหัวเราะ
พวกเรากำลังจะกวาดล้างนักผจญภัยทั้งหมดในตอนที่พวกเราเข้าไปในปราสาทจอมมารแล้ว
ผิดกับแสงแดดที่อยู่ด้านนอก ด้านในดันเจี้ยนนั้นเต็มไปด้วยแสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากหินมานา
มันเลยดูเก้อเขินไปสักหน่อยสำหรับนักผจญที่ควักคบเพลิงออกมาเผื่อกรณีที่ดันเจี้ยนนั้นมืด
ปาเบียนเองก็เป็นคนประเภทที่เอาคบเพลิงมาด้วยจึงบ่นด้วยความแปลกใจ
“ที่นี่นั้นเต็มไปด้วยมานายิ่งกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก อย่างนั้นพวกเราก็ไม่ต้องกลับไปเพราะคบเพลิงหมดแล้วล่ะ”
“นั่นเป็นเรื่องดีรึ?”
“ก็ทั้งดีและแย่ เรื่องดีคือ เราไม่ต้องวุ่นกับไอ้คบเพลิงบ้านั่น
…….เฮ่ย ไอ้ห่าเอ๊ย ! รักษาระยะไปอยู่ห่างๆหน่อยสิวะ!”
ปาเบียนหยุดการอธิบายแล้วตะโกนใส่บุคคลข้างหลังพวกเรา
มีนักผจญภัยด้านหลังเดินเข้ามาชนเขา
ฟาเบียนก็เลยสบถด่ากลับไปสักพักก่อนที่พวกนั้นจะถอยไปห่างๆ
“เฮ่อออ ถ้ามาออกันแน่นขนาดนั้นก็ไม่มีพื้นที่ให้เหวี่ยงดาบสิวะ
เดี๋ยวก็ได้ตายพร้อมกันหรอก เอาจริงๆนะ ไอ้เจ้าหนูพวกนี้แม่งไม่รู้จักอดจักทนเสียบ้างเลยจริงๆ
…….อืมม ว่าแต่ข้าอธิบายถึงไหนแล้วนะ?”
“สิ่งที่แย่เกี่ยวกับปราสาทจอมมารที่มีมานามากเกินไป”
“เอาล่ะ สิ่งที่แย่น่ะรึ ง่ายๆเลย”
ฟาเบียนยักไหล่
“ก็ถ้ามีมานามาก มอนสเตอร์ก็มากตามไปด้วยเช่นกัน ก็แน่อยู่แล้วว่า นายก็ตีความได้เลยว่า มีมอนสเตอร์ให้ล่าเอาเงินได้เยอะด้วยเช่นกัน”
“―และก็หมายความว่า พวกเราอาจจบลงด้วยการเป็นเหยื่อเสียเอง”
“ถูกต้อง”
ฟาเบียนแสยะยิ้ม
ตอนนั้นเองที่พวกเราได้ยินเสียงตะโกนมาจากข้างหน้าของพวกเรา
เสียงโลหะกระทบและเสียงตะโกนดังก้องไปทั่วกำแพงถ้ำ
ใครบางคนตะโกนขึ้นมาว่า “ก็อบลิน!” ดูเหมือนจะเป็นพวกแรกที่เข้าไปนั้นจะเจอมอนสเตอร์เข้า
เสียงเอะอะนั่นก็หยุดเพียงเวลาไม่นาน นักผจญภัยจัดการก็อบลินได้ง่ายๆ
“มันไม่ใช่มอนสเตอร์ที่จะตกใจอะไรขนาดนั้น ไม่มีใครหนีไปเพราะเรื่องนั้นหรอก เอาล่ะก็ไม่น่าแปลกใจพวกเราพึ่งเข้าปากทางเองนี่นะ นับว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกัน”
พวกเราจึงเดินต่อไปเรื่อยๆเกือบ 10 นาที ด้วยบรรยากาศแบบนั้น
ยิ่งเวลาผ่านไป ปาร์ตี้นักผจญภัยก็ค่อยๆลดลง มันไม่ใช่เพราะโดนมอนสเตอร์กำจัดหรอก
มันมีทางแยกมากมายอยู่ในดันเจี้ยน อุโมงที่แบ่งออกเป็นสามทาง แต่ละปาร์ตี้ก็เลือกไปตามทางของตัวเอง
“……หืมมมม”
ปาเบียนหยุดอยู่ตรงหน้าทางแยก หรือเขารู้กันแล้วนะว่าคิดไปก็ไม่มีประโยชน์?ฟาเบียนเลือกเส้นทางขวา ที่กลุ่มใหญ่ต่างเลือกที่จะไป
ต่อจากนั้นสักพักเราก็เจอเข้ากับทางแยกอีก คราวนี้แยกออกเป็นสองทาง นักผจญภัยกลุ่มอื่นหยุดคิดชั่วครู่ก่อนจะเลือกทางแยกที่สอง
พวกเขาเริ่มกังวลกับจำนวนพวกตัวเองที่ลดลงไป แต่เส้นทางนั้นก็แคบเกินกว่าที่จะให้คน50คนอัดลงไปได้
“…….”
กลุ่มนักผจญภัยจึงแยกกันอีกครั้ง พวกเราไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง ปาร์ตี้ของพวกเราแยกจากกลุ่มอื่นช้ากว่าเพื่อน แล้วปาร์ตี้กลุ่มอื่นก็หายลับไป
พวกเราเดินต่อไปอีก 10 นาที ทั้งๆอย่างนั้น
กระแสเวลาของเหล่านักผจญภัยกลับหยุดลงโดยสมบูรณ์ จากหมู่ใหญ่ที่เริ่ม 15 คน กลับหดลดลงเหลือ 20 คน พวกนั้นต่างรวมกลุ่มและมองกันไปกันมาด้วยความวิตก
ฟาเบียนบ่นกับตัวเอง
“……ออกจะน่ากังวลอยู่หน่อยละ”
เบื้องหน้าพวกเขาเป็นทางแยกอีกทางแยกหนึ่งและเส้นทางก็แคบกว่าก่อนหน้า
หากนักผจญภัยจะต้องแยกกลุ่มกันอีกครั้ง กลุ่มจาก 20 ก็จะเหลือ 10 คน ว่าง่ายๆมันก็แทบจะเป็นจำนวนเท่ากันปาร์ตี้ปกติที่มีขนาดเล็ก
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักผจญภัยบางคนที่อุ่นใจเพราะจำนวนกลับคัดค้านการแยกกลุ่มขึ้นมาตอนนี้
ปาเบียนพูดกับนักผจญภัยที่ลังเลอยู่ว่า
“เฮ้ แล้วถ้าต่อจากนี้เราจะไปด้วยกันต่อล่ะ? มันอาจจะหนาแน่นไปหน่อย แต่ข้าว่ามันดีกว่านะถ้าลงไปอุโมงนั่นพร้อมๆกัน”
พวกนักผจญภัยคนอื่นๆที่กังวลกับการต้องแยกกลุ่มนั้นต่างเห็นด้วยกับฟาเบียน
ทุกคนที่ลงไปยังอุโมงทีละคนต่างพยายามรักษาระยะห่างระหว่างกันไว้
พวกเราไม่รู้เลยว่า อุโมงนั้นจะนำทางไปสู่ที่ไหน
คนพวกนี้ไม่รู้เลยว่า ทั้งหมดนี่เป็น ‘เบต้าเทส’ สำหรับปราสาทจอมมารหลังใหม่ของผม
—
*
‘ครอบครัวผู้มีสุขนั้นสุขเหมือนเหมือนกัน แต่ครอบครัวผู้มีทุกข์ย่อมทุกข์ต่างไปตามวิถีตน’
‘All happy families are alike; each unhappy family is unhappy in its own way’
เป็นประโยคแรกของนิยายคลาสสิค เรื่อง อันนา คาเรนิน่า(Anna Karennina) ผลงานของ เลียฟ นิโคไววิช ตอลสตอย (Lev Nikolayevich Tolstoy) หรือที่รู้จักทั่วกันในชื่อว่า ลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy)
MANGA DISCUSSION