* * *
นักผจญภัย
มันเป็นอาชีพที่ดูเหมือนจะเต็มเปี่ยมไหลเวียนไปด้วยชีวิตอันสุดแสนจะโรแมนติก แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นห่างไกลจากไอ้คำว่า โรแมนติกไปเยอะมาก
ก่อนอื่นเลย เจ้าพวกนั้นไม่ใช่ประชากรในเมือง หรือชาวบ้านในหมู่บ้าน
พวกเขานั้นไร้บ้าน โดยมากก็ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการรับคำขอที่มีบ้างเป็นบางครั้งจากชาวเมือง
คอยจัดการฝูงมอนสเตอร์ที่บ้างครั้งอยู่ๆก็แตกฮือออกมาจากรัง เอาส่วนผสมสำคัญบางอย่างที่หายากมาเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์เฉพาะในท้องที่
……. พูดง่ายๆ เจ้าพวกนี้ก็เหมือนผู้รับเหมารายย่อย ที่ไม่ต้องจ่ายภาษีเพราะไม่ใช่พลเมืองนั่นแหละ เจ้าพวกนี้ก็ถูกมองไม่ต่างจากปรสิตพเนจรอันเนื่องจากการเลี่ยงไม่ต้องจ่ายภาษี
โดยมากแล้วนักผจญภัยนั้นเป็นพวกไม่มีที่ไป กับพวกลูกกำพร้า
บ้างก็เป็นคนที่ไม่สามารถทนต่อลอร์ดผู้กดขี่ได้จึงต้องออกมาใช้ชีวิตในฐานะนักผจญภัย
……. มันไม่ใช่เรื่องใหม่หรือเรื่องแปลกแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นแก่นแท้เจ้าพวกนี้ก็เชื่อถือไม่ได้สุดๆ ไม่ควรค่าต่อการไว้ใจด้วยซ้ำ
“ข้ายอมฝากปลาย่างไว้กับแมวดีกว่าส่งคำขอให้พวกนักผจญภัย”
นั่นเป็นความคิดเห็นทั่วไปที่มีต่อนักผจญภัย พวกนั้นมันเชื่อถือไม่ได้จริงๆ
ผิดจากยุคสมัยใหม่ที่กฏหมายและคำสั่งจากส่วนกลางได้ต่อยอดพัฒนามาดีแล้ว ‘ความเชื่อใจ’เป็นอะไรที่สำคัญเป็นอันมากสำหรับยุคสมัยนี้
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนสงสัยในเหล่านักผจญภัยที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า
ให้เทียบก็เหมือนกับจ้างใครสักคนหนึ่งมาทำงานพาร์ทไทม์ในร้านสะดวกซื้อของคุณ แล้วจะทำยังไงล่ะ หากอยู่ๆพนักงานพาร์ทไทม์ขโมยเงินของคุณแล้วหนีไป?
มันไม่เป็นปัญหาเลยด้วยซ้ำในยุคใหม่ที่ความสงบเรียบร้อยของประชาชนได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง และฐานข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเอามาได้โดยง่าย
คุณก็แค่แจ้งตำรวจแล้วตำรวจก็จะไปไล่จับพวกนั้น แต่ถึออย่างนั้นยุคนี้ส่วนกลางนั้นแย่มากและฐานข้อมูลต่างๆก็หยาบจนเกินกว่าจะเอาไปใช้งานได้
หากมีพนักงานพาร์ทไทม์หนีออกจากเมือง ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปตามจับพวกนั้น
ดังนั้นแล้ว ผู้คนจึงเลือกที่จะใช้งานผู้คนที่พวกเขา ‘เชื่อใจ’
ตัวอย่างก็เช่น หากเป็นลูกชายลูกสาวของชาวเมืองที่ได้รับการยืนยันว่า เป็นประชาชนของที่นี่ พวกเขาก็มีโอกาสที่จะหลบหนีจากเมืองนี้น้อยลง
และถึงพวกเขาหนีไปจริงๆ คุณก็สามารถให้พ่อแม่ของพวกเขาจ่ายเงินแทนได้ นั่นเป็นหลักประกัน
หรืออีกตัวอย่างบุคคลที่ได้รับการรับรองจากนักบวชหรือพวกพนักงานของเมือง คนแบบนั้นน่ะ เชื่อใจได้
คนทั้งสองพวกนั้นเลือกและแนะนำบุคคลที่คัดเลือกคัดสรรมาด้วยมือตัวเองเพราะต้องรักษาชื่อเสียง
นั่นคือ สาเหตุที่ว่า หากคุณควรได้การรับรองจากนักบวชที่มีชื่อเสียง พนักงานภาครัฐหรืออย่างน้อยที่สุดก็พ่อค้าสักคนหนึ่งหากต้องการที่จะมีงานทำ
แต่นักผจญภัยไม่ใช่พวกที่ว่ามาเลย
“พวกเขาสามารถเข้าร่วมกับกองทหารรับจ้างได้หากเคยทำอะไรสำเร็จมากพอ”
“ชีวิตมันไม่ง่ายเลยนะ”
เจเรมิยิ้มอย่างขมขื่น
ตอนนี้ผมกับเธออยู่ในโถงฮอลล์ของกิลด์นักผจญภัย มันเป็นอาคารที่เก่า
พื้นก็ร้องเอี๊ยดอ๊าดทุกฝีเก้าที่เดิน และพวกนั้นก็ยังขายเบียร์ถูกที่ชาร์จเงินแพงเกินราคาอีกด้วย
ผมเฝ้ามองสิ่งต่างๆที่อยู่ในกิลด์ขณะที่ดื่มเบียร์ถูกๆจนหมดแก้ว
“รับนักผจญภัยไปปราสาทจอมมารดันทาเลี่ยน!”
“ข้าสัญญาว่าจะแบ่งให้ ถึง 15% ของเงินทั้งหมดสำหรับนักผจญภัยเหลือง และ 10% สำหรับนักผจญภัยเขียว!”
เสียงดังหนวกหูไม่ต่างจากตลาดนัด
ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาในตัวอาคารจนพื้นเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกแหง่
นักผจญภัยร้องตะโกนเพื่อจะสร้างปาร์ตี้ หรืออย่างน้อยๆก็พยายามหาพรรคพวกหรือใครสักคนมาร่วมทีมกัน
ที่นี่เป็นฐานทัพของเหล่านักผจญภัย กิลด์ฮอล
ในเมื่อผู้คนต่างไม่เชื่อถือนักผจญภัย สิ่งที่ใช้เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนั้นก็คือ กิลด์นี่แหละ ตามเมืองต่างๆก็มักมีกิลด์นักผจญภัยแบบนี้แหละ
งานของกิลด์นั้นคือ การสร้าง ‘ความเชื่อใจ’ ให้กับเหล่านักผจญภัย
โดยที่ชาวบ้านจะมามอบหมายภารกิจให้กับกิลด์แล้ว นักผจญภัยก็จะเลือกภารกิจจากกระดานภารกิจที่ตั้งไว้เป็นสาธารณะ
หากนักผจญภัยทำภารกิจสำเร็จ กิลด์ก็จะเขียนแยกลงในบัญชีว่า ‘คนๆนี้ทำภารกิจสำเร็จแล้ว’
และแน่นอน หากยกเลิกภารกิจ ก็จะเขียนลงไปว่า ‘คนๆนี้ปฏิเสธภารกิจ’
การเก็บสะสมข้อมูลนี้จะบอกได้เลยว่า นักผจญภัยคนนี้เชื่อใจได้มากน้อยแค่ไหน
นักผจญภัยที่มีค่าความเชื่อใจน้อยก็จะถูกเตะออกไป ไม่มีใครอยากที่จะมอบภารกิจให้กับคนแบบนั้น อาจฟังดูโหดร้ายนะ แต่หากต้องการให้อาชีพนักผจญภัยยังดำรงอยู่ได้ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง
และคนที่ไม่ซื่อสัตย์นั้นยังไงก็โดนกำจัดอยู่ดี ไม่ว่าจะอยู่ที่มุมไหนของโลกก็ตาม
ในหมู่นักผจญภัยเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น…….
นั่นแหละเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม เหล่านักผจญภัยถึงจะไม่รับภารกิจที่เกินความสามารถของตัวเองอย่างเด็ดขาด พวกที่เลือกงานเกินตัวน่ะมีแต่จะทำลายตัวเอง
ภารกิจนี้เกินความสามารถของฉันไหม? มีโอกาสที่ฉันจะทำงานพลาดหรือเปล่า? พวกเขาต้องรู้จักคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อน
ตัวอย่างเช่น หากมีภารกิจที่บอกว่า 「เงินรางวัล50,000 โกลด์สำหรับนักผจญภัยที่จับตัวจอมมารบาร์บาทอสได้!」
ถึงรางวัลจะเย้ายวนใจก็เถอะ แต่นี่มันบ้าไปแล้ว มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่จะรับภารกิจแบบนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่อาจระแวงระวังตัวมากจนเกินไป พวกเขายังต้องกินต้องใช้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องสมดุลให้ดีระหว่างความกล้าและระดับความอันตราย
ความระมัดระวังและความกล้านั้นจำต้องมีทั้งคู่ เฉพาะคนที่มีสองอย่างนั้นเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จในฐานะนักผจญภัย แล้วก็ต้องพึ่งดวงด้วยเพื่อให้รอดไปในท้ายที่สุด…….
ผมกระดกเบียร์อีกแก้ว
“แต่ชื่อเสียงปราสาทจอมมารของข้านี่มันห่วยจริงๆ”
“ท่านพูดถูกค่ะ มันแย่จนเหมือนกับนักผจญภัยมาอยู่ที่นี่กันจนหมดเมือง”
แต่ถึงอย่างนั้น ดันเจี้ยนของผมก็ยังไม่มีชื่อ
อย่างของบาร์บาทอสก็ 「วังของเหล่าผู้วายชนม์」หรือของไพมอนก็ 「ป่าที่หลับไหล」
ดันเจี้ยนของผมไม่มีชื่อเท่ห์ๆที่จะดึงดูดผู้คนแบบที่จอมมารชื่อดังคนอื่นๆเขามีกันเลย
มันเป็นชื่อง่ายๆแค่ ปราสาทจอมมารดันทาเลี่ยน
การรู้เรื่องนั้นมันทำให้ผมเจ็บปวดใจในฐานะเจ้าของดันเจี้ยนเก่าๆโทรมๆจริงๆนะ…….
(TTL : เอาชื่อ โรงพยาบาลจิตเวชดันทาเลี่ยน ไหม อย่างเท่ห์!!! )
เอาล่ะๆ แต่ถึงอย่างนั้น
เงิน 4,000 โกลด์ที่เป็นรางวัลสำหรับการเข้าไปบุกดันเจี้ยนโทรมๆพังๆนั่น เงินล่าค่าหัวที่จะส่งมอบให้เจ้าเมืองเพิ่มอีก 1,000 รวมกันก็เป็นก้อนใหญ่ทั้งหมด 5,000 โกลด์
นี่ถือว่า เป็นลาภก้อนใหญ่สำหรับเหล่านักผจญภัย
ต่อให้ตั้งปาร์ตี้ 1 คน แต่ละคนก็ได้ไปถึง 500 โกลด์ มันไม่มีทางหรอกที่จะพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้ไปได้ นั่นเป็นสิ่งที่เหล่านักผจญภัยคิดกัน
“นั่นแหละคือ สิ่งที่ข้าตั้งใจไว้”
“ฟุฟุ พวกเขาคงตกใจกันหมดแน่ที่ได้รู้ว่า ณ ตอนนี้จอมมารผู้นั้นมาอยู่ในมุมหนึ่งของกิลด์ฮอล”
เจเรมิหัวเราะก๊าก
ก็นั่นแหละนะ
คุณก็คงรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเราในตอนนี้ว่า ภารกิจนี้น่ะมันเป็นกับดัก
นักผจญภัยที่ได้ข้อมูลผิดๆเกี่ยวกับข้อมูลของปราสาทจอมมารดันทาเลี่ยนที่เคยบันทึกไว้ก่อนหน้า
“กลุ่มนักผจญภัยระดับต่ำทั้งหลายก็จะมารวมกัน เฮ่อ ช่างน่าสงสาร ที่พวกเขากำลังไปตาย”
มันเป็นอย่างที่เจเรมิพูดนั่นแหละ จริงอยู่ที่ดันเจี้ยนของผมไม่ได้โหดเถื่อนเหมือนของบาร์บาทอส แต่ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเขาคิด
ถึงจะเป็นแค่ชั้นแรก แต่มันก็สร้างขึ้นด้วยสุดยอดนักก่อสร้างมือฉมังแห่งโลกปีศาจ ผมเทเงินไปไม่อั้นเพื่อการก่อสร้างครั้งนี้
ติดตั้งกับดักและเขาวงกตมากมายในดันเจี้ยน
มากจนอยู่ในระดับที่นักผจญภัยที่เข้าไปลึกถึงในดันเจี้ยนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฝ่าบาท มันไม่เป็นการอันตรายเกินไปหน่อยหรือหากมีบุคคลที่มีความสามารถเข้ามา?”
“พวกคนเก่งๆตอนนี้ไปเข้าร่วมเป็นทหารรับจ้างในสงครามลิลลี่กันแล้ว”
ผมส่ายหัว สงครามลิลลี่ที่ว่านั้นหมายถึง สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในฟรานเคีย
ลิลลี่สีดำนั้นหมายถึง บริททานี่ในขณะที่ลิลลี่สีขาวนั้นหมายถึง ฟรานเคีย นั่นแหละเหตุที่ว่าทำไมถึงเรียกกันว่า สงครามลิลลี่
สงครามนั้นเป็นดั่งโอกาสทางธุรกิจสำหรับนักผจญภัยผู้มีความสามารถ
พวกปาร์ตี้นักผจญภัยจะผันตัวกลายเป็นทหารรับร้างแล้วสู้รบให้กับฝ่ายที่ยอมจ่ายให้
การต่อที่ที่มีมาเนืองๆต่อกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราในฮับบวร์กรวมถึงสงครามกลางเมืองในฟรานเคีย อาจเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายสำหรับคนส่วนมากในทวีป หากแต่สำหรับนักผจญภัยผู้หิวโหยภารกิจ ที่คือ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเอาชีวิตรอด
ผมจึงพูดขึ้น
“นักผจญภัยทุกคนที่ยังอยู่ในเมืองนี้แล้วเที่ยวคุยโต พวกนั้นน่ะโดยมากก็ระดับต่ำๆทั้งนั้น ว่าง่ายๆมันคือ พวกที่ไม่สามารถเอาไปใช้งานในระดับทหารรับจ้างได้
เอาล่ะ ถ้าให้ข้าพูดล่ะก็ พวกเหนือกว่าค่าเฉลี่ยน่ะออกจากเมืองนี้ไปหมดแล้ว”
นั่นแหละเป็นสาเหตุที่ผมถึงกล้าเขียนคำร้องภารกิจแบบนั้น
『เงินรางวัล 4,000 โกลด์ สำหรับผู้ที่สามารถเอาตัวจอมมารดันทาเลี่ยนได้』
『นี่เป็นคำขอฉุกเฉินเร่งด่วน สิ้นสุดคำขอภายในเดือนนี้เท่านั้น』
『จับเป็นหรือตายก็ได้』
Ο
“ส่วนสำคัญที่สุดคือ ‘คำขอฉุกเฉินเร่งด่วน’ ผมให้เวลาพวกเขาแค่เพียงครึ่งเดือน ต่อให้มีนักผจญภัยระดับในสนามรบได้ยินข่าวนี้เข้า ก็ไม่มีทางที่จะเข้าร่วมได้ทัน”
“ฮ่าาา ด้วยจุดประสงค์นี้นี่เอง”
ดวงตาของเจเรมิเบิกกว้างเล็กน้อย
“อย่างที่ฉันคิดจริงๆ ฝ่าบาทน่ะชำนาญเรื่องกลอุบายจำพวกนี้ ท่านทำให้ผู้น้อยนี้ประหลาดใจได้ไม่พักเลยจริงๆ”
“……นี่ชมกันสินะ?”
“แน่นอนว่า ท่านย่อมเป็นผู้ชาญฉลาดที่สุดบนโลกใบนี้แต่ทว่าฝ่าบาทเองก็ไม่อาจเอาชนะทหารจำนวน 20,000 นายได้ด้วยทหารจำนวน 60,000 นายได้อยู่ดี”
ผมเตะเข้าที่หน้าแข้งของเจเรมิใต้โต๊ะ เจเรมิร้องเอ๊าออกมาและทำสีหน้าเจ็บปวด
“นั่นมันเพราะ เฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่ มันทรงพลังเกินไปต่างหาก……!
ให้ข้าลงไปรบในรูปแบบกับหน่วยพวกทหารม้าอัศวินพวกนั้น นี่มันนรกชัดๆ ไม่ว่ายังไงก็ไม่เอาแล้ว!”
“อูววว ฝ่าบาทช่างป่าเถื่อนเหลือเกินที่มาเตะเลดี้เนี่ย”
“เจ็บสินะ? มันเจ็บมากใช่ไหม? ข้าก็เจ็บขนาดนั้นเหมือนกัน”
ผมพ่นลมเฮอะออกจมูก
ผมก็ไม่รู้มันออกมาทรงนี้ได้ยังไง แต่ไม่ยักกะมีข้ารับใช้คนไหนสักคนที่นับถือผม
ลาพิสก็แทบจะค้ำหัวผม ลอร่าก็ตามผมต้อยๆก็จริงบางทีนางก็มีอะไรบ้าๆบอๆในหัว ส่วนเจเรมิก็หยาบคาย
(TTL : ก็ดูพรี่ทำตัวเข้าสิครับ 555 )
“ชิ เจ้าพวกนี้นี่แย่เสียจริง ไม่มีใครสักคนยกย่องข้าที่ไต่มาจากจอมมารยากไร้มาได้จนถึงจุดนี้…….”
“มันจะเป็นปัญหาเอา หากท่านเข้าใจฉันผิดไปนะ ฝ่าบาท ฉันน่ะจริงๆนับถือและเทิดทูนอย่างยิ่ง”
เจเรมิยิ้มอย่างสดใส
“แต่ไม่รู้ว่า ฉันควรพูดออกไปหมด? แต่ฉันรู้สึกสบายใจเวลาอยู่กับฝ่าบาท”
“สบายใจอย่างนั้นรึ?”
“อืมมม จริงๆผู้น้อยนี้ก็ยังเคารพนับถือฝ่าบาทไพมอน แต่ดูเธอไม่เคยเปิดช่องเลย
ข้าได้แต่คิดว่า พระนางน่ะเป็นดั่งฮีโร่ผู้กล้าที่เกิดมาพร้อมความสูงศักดิ์ เวลาข้าอยู่กับฝ่าบาทไพมอนจึงต้องจริงจังและเคร่งขรึมอยู่เสมอ”
แต่ช้าก่อน เจเรมิยังพูดต่อ
“กลับกันตัวฝ่าบาทเองกลับให้ความประทับเหมือนว่า ท่านน่ะ เหมือนคนเพี้ยนที่น็อตในหัวหลวม”
“…….”
ผมแอบเตะหน้าแข้งเธออีกที แต่คราวนี้เจเรมิคาดเดาความเคลื่อนไหวของผมได้ จึงหลบตีนผมอย่างพริ้วไหว
(TTL : MISS! )
แม่งเอ๊ย
“ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้นเพื่อดูถูกหรือยั่วโมโหฝ่าบาทนะ
หากเปรียบฝ่าบาทไพมอน ก็คงเป็นอูฐที่ยังคงเดินมุ่งหน้าไปสู้อุดมการณ์โดยไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้สักฝีก้าว
……อืมมม ในขณะที่ฝ่าบาทนั้นเหมือนคนที่ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามกาลเวลามากกว่า”
“นี่เจ้ากำลังจะบอกว่า ข้านั้นดูไม่น่าเชื่อถือสินะ?”
“อาา แน่นอนอยู่แล้ว ฝ่าบาทน่ะดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด”
เจเรมิหัวเราะ
“แต่ฝ่าบาท คนที่เอาแต่ใช้ชีวิตไปเพื่อวิ่งตามอุดมคติตัวเองมีแต่ทำให้ผู้คนรอบๆนั้นเหนื่อยล้า
คนๆนั้นจะเป็นดั่งเพลิงที่คอยให้พลังงานแก่คนรอบตัวอยู่ตลอดเวลา
แต่ในขณะเดียวกัน คนรอบตัวก็ค่อยๆถูกแผดเผากลายเป็นเถ้า
……. ฝ่าบาทน่ะห่างไกลจากไฟประเภทนั้นเยอะ”
“หืมม”
ผมดื่มเบียร์อย่างไม่ใส่ใจ
ผมไม่เข้าใจนักหรอกว่า เธอพยายามจะบอกอะไรอยู่ แต่ผมจะแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจนักเพราะเธอยืนกรานว่าไม่ได้ยั่วล้อผมเล่น
“ตัวตนที่แวดล้อมฝ่าบาทโดยมากก็เป็นคนที่หาที่พักที่กำบัง อันเนื่องมาจากบุคลิกที่เกียจคร้านของฝ่าบาท
โลกใบนี้น่ะมันเต็มไปด้วยขวากหนาม บุคคลที่เป็นดั่งที่พักที่กำบังนับเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับคนเหล่านั้น”
บทสนทนาเงียบลงหลังจากนั้น เจเรมิยังคงยิ้มแฉ่งให้ผม แม้ผมจะรู้สึกอึดอัดอยู่ก็ตาม ผมดื่มเบียร์อย่างเงียบๆ
“เฮ้นี่ ข้าขอร่วมกับพวกนายด้วยได้ไหม?”
อยู่ๆก็มีนักผจญภัยเข้ามาหาพวกเรา
เขาเป็นชายที่สวมชุดเกราะหนังหรูหราทั้งยังสร้างความประทับใจกับพวกเราเป็นอย่างมาก รอยยิ้มสบายๆราวกับจะขอร่วมวงด้วย
“หืม? เจ้ามีธุระอะไรกับพวกเรา?”
ผมตอบกลับไปด้วยยิ้มธุรกิจ
เอาตรงๆนะ ผมใช้เวลาเพียง0.5วินาทีในการปรับเปลี่ยนสีหน้าได้ทุกเวลาทุกสถานที่
“ตอนนี้พวกเรากำลังจะสร้างปาร์ตี้”
นักผจญภัยผู้นั้นนั่งลงข้างพวกเรา
“พวกนายก็ดูเก่งดี แล้วคิดว่ายังไงล่ะ? สนใจจะสร้างปาร์ตี้กับข้าไหม?”
(TTL : สิ่งที่แย่ที่สุดเท่าที่นักผจญภัยคนนึงจะทำได้
ชวนจอมมารและลูกน้องที่ให้ภารกิจลงดันตายชัวร์100%เข้าปาร์ตี้!)
MANGA DISCUSSION