วิทเทนเมียร์(Wittenmyer)เลิกงานก่อนเวลาเป็นครั้งแรก หลังจากที่ไม่ได้ทำแบบนั้นมานานมาก
คำว่าก่อนเวลาของเขานั้น ก็เกือบชั่วโมง ชายหนุ่มคนนี้จริงจังเหลือเกิน ความจริงจังของเขานั้นมีมากพอจะเกิดข่าวลือไปทั่วทั้งฝ่ายบริหาร
“เจ้าหน้าที่ผู้ไม่เคยหลับไม่เคยนอน”
ผู้คนต่างเรียกเขาด้วยความอึ้งทึ่ง
วิทเทนเมียร์ไม่เพียงแต่ไม่หลับ หากแต่เขายังมาทำงานก่อนและเลิกงานหลักทุกคน แม้แต่เจ้าหน้าที่กะดึกยังไม่เคยเห็นเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วไปทำงานเพื่อไปพักเลยสักครั้งตลอดทั้งวัน
วิทเทนเมียร์จากฝ่ายธุรกิารนั้นไม่เคยหลับ เขาเป็นดั่งนกฮูกของมินอร์วา สุนัขผู้ซื่อสัตย์ต่อคำสั่งของอลิซาเบธ เขาเป็นผู้คอยจับตาเฝ้าดูทุกสิ่งทุกอย่าง
……. ข่าวลือนั้นทำให้เขาเป็นเหมือนผีเร่ร่อนในแผนก
หาได้ยากที่คนๆนี้จะเลิกงานตามเวลาปกติ
เกิดความวุ่นวายขึ้นในแผนกธุรการ
“พวกเราต้องทำอะไรผิดไปแน่ๆ!”
“นั่นเขากำลังดูถูกพวกเราว่า พวกเรานั้นขี้เกียจตัวเป็นขน……!”
“ทุกคน วันนี้ไม่ต้องคิดจะกลับบ้านกันแล้ว พวกเราจะทำงานล่วงเวลากัน”
เจ้าหน้าที่คนอื่นต่างผงกหัวอย่างแน่วแน่
วิทเทนเมียร์ตั้งใจจะทำให้ผู้ร่วมงานทุกคนอยู่ต่อจนดึกหลังเลิกงาน โดยไม่สนใจเวลาทำงานปกติ นี่จะเป็นตำนานที่เกิดขึ้นในสาธารณรัฐฮับบวร์ก
ขณะที่เขามุ่งตรงไปที่บาร์เขาก็ยังสงสัยตัวเองว่า เขาประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นได้อย่างไร
“เฮ้ ท่านบารอน นายพลธุรการ! ทางนี้ทางนี้!”
ใครบางคนตะโกนขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งจองในมุมหนึ่งของบาร์
วิทเทนเมียร์ยืนยันตัวตนพวกเขาก่อนจะถอนใจหนักๆและเดินเข้าไปหา
“นายพลชไลเออร์มาเคอร์ ข้าบอกท่านกี่ครั้งแล้วเนี่ย? ว่าตัวข้าไม่ใช่บารอนอีกต่อไปแล้ว นานมากแล้วที่ข้าทิ้งยศฐาบรรดาศักดิ์ของพวกชนชั้นสูง”
“โอ้ ใช่เลย ท่านเคยบอกข้าแบบนั้น ข้าลืมไป ฮ่าฮ่า”
“ใส่ใจบ้างเถอะครับ”
เคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์ หัวเราะแบบคนหน้าด้าน
วิทเทนเมียร์นั้นถอนใจอีกระลอกเมื่อเห็นอย่างนั้น ชายที่ชื่อ เคิร์ซนั้น จริงอยู่ที่เป็นผู้มีความสามารถแต่เขาไม่อยากเข้าใกล้ด้วยเหตุผลบางประการ
ไม่ใช่แค่บุคลิกนิสัยไม่ตรงกัน วิทเทนเมียร์รู้สึกว่า เขากับอีกฝ่ายไปด้วยกันไม่ได้ตั้งแต่แก่นแท้ของนิสัยสันดานแล้ว
มันก็คงเป็นธรรมดาแหละที่จะรู้สึกแบบนั้น แต่……วิทเทนเมียร์นั่งพลางคิดพลาง ก่อนที่จะชนแก้วเบียร์
“นี่เป็นครั้งแรกใช่ไหม ที่พวกเราห้าคนมานัดเจอกัน นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศนี้ขึ้นมา?”
“อื้มมม ก็คงใช่ ความจำของข้า เชื่อถือมันไม่ได้เท่าไหร่นัก”
“ท่านพูดถูกแล้ว ท่านเชื่อความจำฉันได้ ท่านหัวหน้าแห่งฝ่ายการต่างประเทศ”
“เรียกข้าว่า ไฮเดลเบิร์ก(Heidelberg)เถอะ ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ดีงามไปกว่าการที่ให้หญิงสวยเรียกชื่ออีกแล้ว”
เคิร์ซ,วูลแฟรม,ชาร์ล และจูเลีย ต่างนั่งประจำโต๊ะ นับรวมวิทเทนเมียร์ด้วย ก็กลายเป็น 5 คน ทั้งหมดเป็นกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิอลิซาเบธมากที่สุด คงมีมนุษย์สักร้อยคนบนโลกนี่แหละที่ต้องสั่นกลัวเมื่อรู้ว่า คนพวกนี้มารวมตัวอยู่ที่แห่งเดียวกัน แม้แต่ตอนนี้หากไม่นับเจ้าของบาร์ก็มีแต่พวกเขาอยู่ด้วยกัน
เคิร์ช ชไลเออร์มาเคอร์(Kurz Schleiermacher),ผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายองค์รักษ์
วูลแฟรม ไฮเดลเบิร์ก (Wolfram Heidelberg),หัวหน้าฝ่ายการต่างประเทศ
ชาร์ล ริชโทเฟน(Charles Richthofen),หัวหน้าฝ่ายองค์รักษ์
จูเลีย(Julia),เลขาธิการคนแรก และคนสุดท้าย
แม็กซิมิเลี่ยน วิทเทนเมียร์(Maximillian Wittenmyer) หัวหน้าฝ่ายธุรการ…….
สุดยอดสมาชิกแห่งสาธารณรัฐต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เรื่องแปลกหากพวกเขาคิดจะทำรัฐประหารขึ้นมา
หากคนพวกนี้คุยกันเรื่องฆ่าใครสักคนในวันนี้ ศพของคนผู้นั้นก็คงจะโดนพบในวันต่อมา
“ยากที่จะเชื่อว่า นี่ผ่านมาเดือนนึงแล้ว”
จูเลียพูดไปขณะดื่มไวน์ แม้เธอจะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่น้ำเสียงของเธอก็มีเสน่ห์ชวนให้ผู้ฟังทั้งหลายต้องหลงไหล
“แน่นอนว่ามันไม่เหมือนกับผ่านไปเดือนหนึ่งแล้ว เอาจริงๆ ทุกอย่างมันยังไม่เข้าที่เข้าทาง…….”
“อ้อ อย่างนั้นเองหรือ ท่านไฮเดลเบิร์ก? อิศวินของข้าก็ไม่ค่อยยุ่งสักเท่าไหร่แล้วนะ”
“ตั้งแต่เป็นทหารมาข้าไม่เคยอิจฉาใครเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ หัวหน้าชาร์ล
จนข้าอยากจะไปร่วมมือกับกองทัพจอมมาร ถ้าข้าจะกลับมาจับดาบแทนปากกาได้เนี่ย”
วูลแฟรม ไฮเดลเบิร์กยิ้มอย่างขมขื่น
“มันเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่พยายามจะสร้างความสัมพันธ์กับชาติไหนสักชาติ ตอนนี้ข้าต้องรับภาระในการชิงไหวชิงพริบ กับสิบสองชาติพร้อมๆกันผ่านทางการทูต
พวกเขาเอาแต่บ่นนั่นพูดนี่ และคิดแต่จะส่งการสนับสนุนและเงินทุนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหวังต่อชีวิตให้กับสาธารณรัฐอันน้อยนิดของพวกเรา!
ไอ้พวกห่าขั้วนั่น เผลอๆไปเจรจากับพวกปีศาจยังง่ายกว่าด้วยซ้ำมั้ง”
เขาส่ายหัวอย่างขบขัน คนอื่นๆก็หัวเราะก๊ากด้วยเช่นกัน
“อย่าคิดว่า พวกเราจะเป็นเหมือนหัวหน้าชาร์ลเพียงเพราะพวกเราเป็นทหารเหมือนกันสิครับ”
เคิร์ซ ชไลเออร์มาเคอร์ยักไหล่
“ที่นี่สุดจะน่าสังเวชเหลือหลาย นายพลมากมายตายไปเป็นเบือในช่วงที่ฆ่าล้างชนชั้นสูง
พวกเราต่างพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเฟ้นหาคนมีความสามารถและมอบตำแหน่งสูงๆให้ แต่ข้าต้องสารภาพนะ มันเปล่าประโยชน์ชะมัด มันก็แค่เคลือบฉาบไว้ด้วยพลังทางการทหารเท่านั้นแหละ”
“อ้าวมันเป็นอย่างนั้นรึ? ข้าได้ยินว่า ท่านได้รับทหารอาสามาเยอะแยะเลยนี่”
ชไลเออร์มาเคอร์ถอนใจยาวๆ
“เรื่องนั้นก็ใช่แหละ แต่ถ้าหากส่งพวกนั้นไปรบตอนนี้ มันก็เหมือนกับส่งไอ้พวกหัวขโมยขโจรจำนวนมากขนาด 10,000 คนไปรวมตัวกันนั่นแหละ เจ้าพวกนั้นทั้งฉาบฉวย ไร้ความจริงจัง เราจะให้ปล่อยให้คนไม่น่าไว้ใจ ไม่เคยผ่านการฝึกทหารมาเลยไปออกรบได้อย่างไรกันล่ะ?”
“ท่านก็ฝึกพวกเขาสิ”
“พวกเขาขาดคน โดยเฉพาะบุคคลที่จะรับหน้าที่การฝึกทหารน่ะสิ เฮ่ออออ”
วิทเทนเมียร์พยักหน้าขณะที่ฟัง
ชไลเออมาเคอร์นั้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทหารจักรวรรดิ และวิทเทนเมียร์เองก็เป็นหัวหน้าฝ่ายธุรการ
ทั้งสองเป็นทหาร ชาร์ล ริชโทเฟ่นเองก็เป็นทหารเช่นกันแต่อัศวินองค์รักษ์นั้นเป็นกรณีพิเศษ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะเห็นใจเคิร์ซ ยิ่งกว่า……
ไฮเดลเบิร์กบ่นครางขณะที่ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับกองทัพ
“อย่างที่คิดไว้จริงๆ ความพ่ายแพ้ที่ออสเตอร์ลิชนั้นสร้างผลกระทบใหญ่…….”
“แต่ก็ยังพอมีนายพล ผู้บัญชาการจากฝ่ายมกุฏราชกุมารอยู่ไม่ใช่เหรอ วิทเทนเมียร์?”
วิทเทนเมียร์ขมวดคิ้ว แต่เดิมเขาเองก็เป็นฝ่ายมกุฏราชกุมารด้วยเหมือนกัน ชไลเออมาเคอร์พยายามจะสื่ออ้อมๆแบบนั้น
“แน่นอน ทั้ง นายพลโคลอฟเรท,นายพลคุตูซอฟ,นายพลเคียร์มาเออร์ และนายพลแลงกีรอน ……พวกเขานั้นต่างเป็นผู้มีพรสวรรค์ความสามารถยิ่ง ต้องขออภัยในความหยาบคายด้วยนะ
หากมกุฏราชกุมารไม่ยกทัพไปรบแบบโง่ๆ พวกเขาก็ไม่ตายอย่างสูญเปล่าหรอก”
“แต่ถึงพวกเขาจะเสียชีวิตไป แต่ก็เหลือหัวหน้าฝ่ายธุรการรอดอยู่นี่”
คิ้วของวิทเท่นเมียร์ขมวดตึงยิ่งขึ้น
‘หมอนี่มันตั้งใจยั่วโมโหข้า ดูท่าเขาต้องแก้นิสัยนี้บ้างแล้ว’
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเข้าไม่ได้กับชไลเออมาเคอร์
ชไลเออมาเคอร์จะยั่วยุยั่วโมโหผู้คนทุกครั้งที่มีโอกาส นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงไม่ค่อยรู้สึกเห็นใจอีกฝ่าย
“ข้าไม่คิดว่า ที่ข้ารอดมาได้เพราะข้ามีความสามารถเหนือพวกเขา เทพีเพียงแค่ชอบข้าก็แค่นั้น”
“ก็นั่นแหละ หากมันเป็นสิ่งที่ชะตาลิขิตมาน่ะ…….”
เคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์หัวเราะ
“ทุกคน ข้ามีข่าวอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับจอมมารดันทาเลี่ยน”
“ดันทาเลี่ยน? นี่ท่านกำลังพูดถึงบุคคลที่กล่าวปราศรัยสุนทรพจน์ ณ ที่ราบบรูโน่รึ?”
ไฮเดลเบิร์กเอียงคอ เขาเป็นข้าราชการจึงไม่ได้เข้าร่วมกับสงครามในช่วงกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราแต่เขาก็ทราบดีถึงความหนักหนาของนามที่ชื่อดันทาเลี่ยน
ไม่ใช่เพียงแค่ไฮเดลเบิร์กเท่านั้น แต่ยังกับข้าราชการทุกคน
บาร์บาทอสที่ได้เป็นผู้สำเร็จราชการเหนือดินแดนฮับบวร์ก ยังจะมีความสำคัญกว่าจอมมารลำดับ 71 ที่ครั้งหนึ่งเคยพูดสุนทรพจน์อย่างน่าประทับใจเสียอีก
แต่ในแง่ทางการทหารนั้นมันกลับตรงข้ามกัน
บาร์บาทอสอาจดูน่าหวาดกลัว แต่พวกเขายังหาทางสู้ตอบโต้ได้ คอนซูล*อลิซาเบธ ผู้ที่เวลานั้นเป็นเจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิรบกับกองกำลังของบาร์บาทอสหลายต่อหลายครั้งในสงคราม เจ้าหญิงจักรวรรดิก็เอาชนะมาได้ทุกครั้ง
ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง ดันทาเลี่ยน ……กลับเป็นผู้เดียวที่ทำให้เจ้าหญิงจักรวรรดิพ่ายแพ้ได้
“ข่าวใหม่อย่างนั้นหรือ? มันเป็นข่าวอะไรกัน นายพลชไลเออมาเคอร์?”
ดวงตาวิทเทนเมียร์เปล่งประกาย แม้ปกติจะดูเหนื่อยล้าอยู่ตลอดก็ยังเปล่งประกายอยู่ ณ ตอนนี้
“อื้มมม มันคือเรื่องการสู้รบที่ภูเขาดำ”
ชไลเออร์มาเคอร์ดื่มเบียร์ของตัวเองด้วยรอยยิ้ม
“อย่างที่พวกท่านรู้นั่นแหละ แนวป้องกันที่ภูเขาดำแตกพ่ายภายใน 4 วันเท่านั้น แล้วพวกท่านทราบไหมว่า ใครเป็นผู้นำแนวหน้าของกองทัพจอมมารในเวลานั้น?”
“จากรายงาน ข้ารู้มาว่าเป็น จอมมารลำดับ 16 เซปาร์”
“ถูกต้อง หัวหน้าวิทเทนเมียร์ แต่ถึงอย่างนั้น ข้าขอบอกให้ท่านรู้ด้วยว่า จอมมารที่วางแผนน่ะเป็นจอมมารคนอื่น”
สีหน้าของวินเท่นเมียร์กลับตึงเคร่ง
“……อย่าบอกนะว่า ”
“ถูกต้อง ผู้นั้นคือ ดันทาเลี่ยน เขาคือ ผู้ที่ทะลวงผ่านป้อมปราการภูเขาดำด้วยความเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ”
เคิร์ซ ชไลเออมาเคอร์ยังคงพูดต่อ เขาพูดราวกับกำลังสนุกอยู่ด้วยซ้ำ
“ทหารสอดแนมหลังจากลาดตระเวณทางเหนือเมื่อหลายวันก่อนก็กลับมาบอกว่า เจออะไรน่าสนใจในรายงานด้วย เป็นสิ่งที่ไม่อาจบอกกับ ฝ่าบาทคอนซูลได้
พวกเขาบอกว่า ผู้คนแห่งดินแดนบรันเดนเบิร์กนั้นมีชีวิตอย่างสงบสุขแบบไม่น่าเชื่อ”
“นั่นมันเป็นไปไม่ได้!”
ไฮเดลเบิร์กตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“บรันเดนเบิร์กน่ะเป็นดินแดนแรกที่โดนยึดตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามไม่ใช่รึไงกัน? แล้วทำไมถึงไม่ได้รับความเสียหายใดเลยจากกองทัพจอมมารกันล่ะ?”
“ต่อจากนี้จะยิ่งน่าสนใจ พวกเขาออกกฏหมายใหม่ ห้ามปล้นฆ่าชาวบ้านอย่างเด็ดขาด”
“พวกเขาสั่งห้ามปล้นฆ่าชาวบ้านอย่างนั้นรึ?”
คราวนี้เป็นจูเลียที่พูดขึ้นมา เธอถึงกับพูดเสียงดัง
“กองทัพจอมมารที่ไม่ปล้นฆ่ามนุษย์? ทำแบบนั้นไปทำไมกันล่ะ?”
“นั่นก็เพื่อเพิ่มช่วงห่างช่องว่างระหว่างสามัญชนกับชนชั้นสูง ลองคิดดูสิ ตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามแล้ว มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กทำได้แค่หนีไปเรื่อยๆโดยไม่สามารถรบอะไรได้เลยแม้สักครั้ง ทำไมเขาถึงทำแบบนั้นล่ะ?”
“……เพราะทหารเกณฑ์ที่ถอนตัวออกไปมากมาย”
วิทเทนเมียร์เป็นผู้ตอบ
“ข้าได้ยินมาว่า ทหารเกณฑ์นับหมื่นนายกลับหนีทัพ ข้าคิดว่า มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กผู้นั้นคงมีทหารเหลือไม่เกิน 10,000…….”
“นั่นคือ สิ่งที่ดันทาเลี่ยนสอดมือเข้ามายุ่ง”
ชไลเออมาเคอร์ยิ้ม
“เขาออกประกาศห้ามปล้นฆ่า ทั้งยังแบ่งปันสมุนไพรดำฟรีๆ แถมยังไปช่วยปราบปรามมอนสเตอร์รอบข้างให้ด้วย
…….ไม่แปลกหรอกที่ ชาวบ้านเอนเอียงจากฝ่ายมาร์คกราฟไปยังฝ่ายกองทัพจอมมารแทน ฮ่าฮ่า
และสุดท้าย ดันทาเลี่ยนนี่แหละที่เป็นสาเหตุว่าทำไมพวกเราต้องถอนตัวจากออสเตอร์ลิช”
ทุกคนต่างเงียบงัน มีเพียงหัวหน้าชาร์ลเท่านั้นที่ยังคงดื่มเบียร์ต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย จูเลียกระทุ้งเขาด้วยข้อศอก
“หืม? อะไรเหรอ? เหล้าหมดแล้วหรือไง?”
ชาร์ลมองไปรอบข้างด้วยความงงงวย จูเลียถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ชาร์ลไม่รับรู้ถึงบรรยากาศที่หนักหน่วงเลยขณะที่ลดแก้วลง ท่าทางของเขาดูเหมือนกระรอกน้อยที่กำลังปลิดขั้วลูกโอ๊ก
วิทเท่นเมียร์ค่อยๆพูดขึ้น
“……การพูด ณ ที่ราบบรูโน่นั้นสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับพวกเรา มันเป็นแผนการชั่วร้ายที่คิดแบ่งแยกทหารสามัญชนออกจากทหารของพวกชนชั้นสูง
หากดันทาเลี่ยนวางแผนนี้ไว้ตั้งแต่แรก ถ้าอย่างนั้นการที่เขาแสดงความเอื้อเฟื้อต่อผู้คนในดินแดนของมาร์คกราฟนั้นก็เป็นของเขาด้วยอย่างนั้นหรือ?”
ชไลเออมาเคอร์นั้นพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
วิทเทนเมียร์กลืนน้ำลาย
“ถ้าเช่นนั้น……ตั้งแต่การบุกทะลวงภูเขาดำ,ยึดดินแดนมาร์คกราฟโดยไม่เสียเลือดเสียเนื้อ,การรบที่ออสเตอร์ลิทซ์ ,การรบที่ที่ราบบรูโน่ และเหตุการณ์การขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ……ก็หมายความว่า ทั้งหมดเป็นแผนการที่วางไว้โดยจอมมารเพียงคนเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น หากดูทุกแผนให้ชัดๆ นี่หมายความว่า จอมมารเพียงตนเดียวชักเชิดทั้งทวีปอยู่ไม่ใช่รึไง ไอ้เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ยังไงกัน?”
ม่านแห่งความเงียบปกคลุมในบาร์อีกครั้ง มันไม่ใช่ชะตาฟ้าลิขิตให้จักรวรรดิต้องถึงแก่ความตาย กลับเผยความจริงออกมาว่า มันเป็นเจตนาของจอมมารผู้หนึ่งต่างหาก
ไฮเดลเบิร์กกระดกลงไปอึกใหญ่ก่อนจะพูด
“พอได้รู้ข้อมูลจากท่านแล้ว ดูเหมือนฝ่าบาทคอนซูลนั้นจะต้องอดทนต่อเจ้าคนเจ้าเล่ห์นั้นมานาน…….
พวกเราควรจะหาทางตอบโต้เจ้าจอมมารดันทาเลี่ยนนั่นบ้างไม่ใช่รึไง?”
คนอื่นๆต่างพยักหน้า
แต่ความตั้งใจที่พวกเขาอยากจะโต้ตอบกลับไปก็อยู่ได้ไม่เกินเย็นวันนั้น
วิทเทนเมียร์ได้แต่ยอมรับว่า ใครกันแน่ที่เป็นศัตรูตัวจริงของสาธารณรัฐ…….
—-
*คอนซูล
ผู้นำในระบบการปกครองแบบสาธารณรัฐของโรมัน ( 508 – 27 ปีก่อนคริสตกาล) โดยถูกเลือกมาโดยสภาโรมัน จะเลือกคอนซูลมา 2 คน เป็นผู้ปกครอง คอนซูลมีอำนาจสั่งการข้าราชการทั้งหลายในมือ แต่ในยามศึกสงครามหรือยามคับขัน คอนซูลจะสามารถเลือกตั้ง ผู้นำทางการทหาร(Dictator)ขึ้นมาได้
ในสมัยของไกอุส จูลิอุส ซีซาร์(Gaius Julius Caesar) ที่เรียกกันว่า จูเลียส ซีซาร์ ก็มีคอนซูลถึง 3 คน
อีกสองคนคือ ยาอุส ปอมเปอุส มานยุส เรียกกันว่า ปอมเป,ปอมเปอี (Gnaeus Pompeius Magnus)
และ มาคุส ลิชินิอุส ครัซซุส (Marcus Licinius Crassus)
แต่ในเรื่องนี้ดูเหมือนจะมีคอนซูลเพียงแค่คนเดียว สรุปก็คือ แค่เปลี่ยนชื่อ กับมีสภาและหากไม่มีคอนซูลคนที่ 2 ก็ไม่ต่างจากระบบจักรวรรดิเดิมที่ อลิซาเบธปกครอง เพิ่มเติมก็คือ ตอนนี้ถืออำนาจขุนนาง ข้าราชการไปด้วย แถมยังได้ชื่อใหม่ว่าเป็น ‘สาธารณรัฐ’ เพื่อเอาตัวรอดจากการก่อกบฏความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองทางอุดมการณ์แล้ว
MANGA DISCUSSION