Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 153 ยุคแห่งเหล่าทรราช (3)
ม่านหมอกแห่งความนิ่งเงียบปกคลุมเหล่านายพล ทุกคนต่างเป็นชนชั้นสูงที่เปี่ยมด้วยความสามารถ
พูดอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขานั้นต่างเอาชีวิตรอดมาได้ด้วยการเหยียบย่ำคู่แข่ง แต่ก็ยากนักที่จะหาใครในหมู่พวกเขาที่ลอบฆ่าพี่น้องเพื่อรับตำแหน่งขุนนาง
แต่ถึงอย่างนั้นตำแหน่งที่ว่านั่นสำหรับอลิซาเบธ คือ การขึ้นเป็นจักรพรรดินี
เห็นได้ชัดแล้วว่า เธอพร้อมใจที่จะทำ หากมันเป็นไปเพื่อเสถียรภาพของจักรวรรดิ แม้จะต้องสละชีวิตน้องชายของเธอ มันเป็นความผิดฐานฆ่าน้องชายตน
ถึงอย่างนั้นเหล่าชนชั้นสูงไม่ได้กลัวการกระทำดังกล่าว หากแต่กลัวข้ออ้างในการกระทำนั่น
อย่ามัวแต่หาข้ออ้าง ให้เร่งไปสู่อำนาจ นั่นเป็นอุดมคติของชนชั้นสูง
หากคุณยังไม่อาจทนเสียงตำหนิหลังจากทำความผิดมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อไปสู่อำนาจได้ คุณก็มาได้แค่นั้นแหละ
หากเลี่ยงไม่ได้ก็ให้มันอยู่แค่ในใจ
อลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์กก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน
“ทำไมข้าถึงยอมรับความผิดที่ข้าฆ่าพี่น้อง? พวกเจ้าทุกคนคงคิดอย่างนั้น ข้าประกาศที่นี่ เดี๋ยวนี้ ก็เพื่อที่ข้าจะทำสิ่งที่ไร้ศีลธรรมต่อไปได้”
เธอมองด้วยแววตาที่มืดหม่นและสงบสิ่ง
“กองทหารหลวงของพวกเราจะทำลายเมืองหลวงจนราบ แต่ถึงอย่างนั้น ข้าไม่ได้เป็นผู้ออกคำสั่ง ผู้ที่ออกคำสั่งคือ องค์จักรพรรดิ”
“องค์จักรพรรดิ……? ฝ่าบาทตั้งใจจะแนะนำแผนนี้ให้องค์จักรพรรดิหรือ?”
บารอน วิทเท่นเมียร์ ขมวดคิ้ว
เจ้าหญิงส่ายหัว
“แน่นอนว่าไม่ ข้าจะทำมันด้วยตัวเอง ในค่ำคืนนี้ข้าจะทำทหารราชองค์รักษ์บุกเข้าไปในวังหลวง พ่อของข้าโดนกักบริเวณอยู่ ดังนั้นพวกเราจะเอาตัวเขามา จากนั้นทำการปลอมแปลงราชโองการ”
“ปลอมแปลง!?”
บารอน กลืนน้ำลายเอื้อ นายพลคนอื่นๆรอบเขาแสดงท่าทางอย่างเดียวกัน
“พวกเราจะคุ้มกัน เฟอร์ดินาน เจ้าชายลำดับสอง น้องชายของข้า จักรพรรดิจะออกคำสั่งให้เผาเมืองหลวง ส่วนเจ้าชายลำดับสองจะเป็นผู้ลงมือ
ซึ่งนั่นจะส่งผลต่อจิตใจของชาวเมือง ในตอนนั้นเองที่ข้าจะเป็นผู้เดียวที่ออกโรงคัดค้านว่า เราควรจะปกป้องเมืองหลวง
……แต่แน่ล่ะ ข้าที่เป็นลูกสาวนั้นไม่อาจต่อต้านบิดาของตนได้”
อบิซาเบธพ่นลมหึออกจมูก
(TTL : ผู้หญิงเหลียม ผู้หญิงเหลียม เต็มเรื่องไปหมด!)
“ข้าจะแย้งไปว่า พวกเราต้องปกป้องความภาคภูมิใจของจักรพรรดิและของผู้คนของเรา แต่มันจะเปล่าประโยชน์
อลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์กนั้นจะขัดขืนสุดแรงต่อต้านคำสั่งพ่อของนาง แต่ถึงอย่างนั้น การต่อต้านครั้งสุดท้ายนั่น ข้าจะขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง”
“……ฝ่าบาทตั้งใจจะให้ประชาชนมุ่งความโกรธแค้นไปที่ราชวงศ์อย่างนั้นหรือ?”
วิทเท่นเมียร์ถาม โดยไม่อาจซ่อนน้ำเสียงที่สั่นไหวได้
ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสนใจ นายพลคนอื่นต่างรู้สึกอย่างเดียวกันรวมถึง เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์ด้วย
เจ้าหญิงจักรวรรดิพูดออกมา
“ปล้นชิงสามัญชนที่มั่งคั่ง กลุ่มพ่อค้า ขุดสุสานจักรพรรดิองค์ก่อนๆ……แล้วให้เหล่านายพลทั้งหลายแอบไปแจกจ่ายเงินทองนั้นกลับคืนให้กับประชาชนของเรา”
“……ในขณะที่ชนชั้นสูงและทหารได้ปล้นชิงประชาชน……พวกเราที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฝ่าบาทก็จะเพิ่มขวัญกำลังใจประชาชน…….”
“ถูกต้องแล้ว”
ความนิ่งสงบเข้าครอบงำเต๊นท์อีกครั้ง เป็นความเงียบเหมือนก่อนหน้าที่ไม่มีใครเปิดปากขึ้นพูด
แต่มันต่างออกไป ความเงียบดังกล่าวนี้ได้พัดผ่านพวกเขาทั้งหมดราวกับกำลังอยู่ในใจกลางของพายุ
“แต่ฝ่าบาท พวกเรากำลังจะใช้องค์จักรพรรดิ เจ้าชาย ไม่ต่างจากหมากใช้แล้วทิ้ง”
วิทเท่นเมียร์พูดอย่างระวัง
“ซึ่งสิ่งนี้จะทำลายเกียรติของราชวงศ์”
“ข้าพูดไปแล้วมิใช่หรือว่า ข้าจะทำในสิ่งที่ไร้ศีลธรรม?”
เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์นึกถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในบทสนทนาดังกล่าว การปลอมแปลงราชโองการเพื่อให้คำตำหนิทั้งหมดไปอยู่ที่เจ้าชายนั้นนับเป็นการกระทำไร้ศีลธรรมที่ยอดเยี่ยม
แต่ถึงอย่างนั้นการที่ตัวเจ้าหญิงเองประกาศว่า จะกระทำแบบนั้นต่อไปนั่น หมายความว่ามันยังมีอีก?
“หลังจากที่พวกเราละทิ้งเมืองหลวงแล้วหนีไปได้ ข้าจะฆ่าเจ้าชายในทันที”
“……!”
“ความเห็นของประชาชนนั้นเป็นมติเห็นชอบจากสวรรค์ การลงโทษนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อมีผู้ใดผู้หนึ่งฝืนมติสวรรค์
ตัวข้า อลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์ก จะลงโทษน้องชายคนที่สองของข้า ไม่สิ อาชญากร เฟอดินาน ฟอน ฮับบวร์ก”
เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์นั้นพบว่า ฝ่ามือตนเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาอยากจะตะโกนออกมาดังๆว่า เธอสติแตกไปแล้ว
เธอทุกข์ทรมานใจอย่างมากจากการฆ่าน้องชายตัวเองในอดีต ในฐานะที่เขาเป็นสายลับและผู้ช่วยคนสนิท เคิร์ทรู้ว่า เจ้าหญิงนั้นฝันร้ายอยู่ทุกคืน เขาได้ยินเสียงเธอครางจากนอกเต๊นท์
โรเบิร์ต พี่ขอโทษ โรเบิร์ต
…….เธอพูดคำพวกนั้นบ่อยครั้งตอนหลับ แม้กระนั้นเธอยังต้องการที่จะฆ่าพี่น้องอีกหรือ?
‘จิตใจของท่านจะแตกสลาย นายท่าน’
มีโอกาสสูงมากที่เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นจะตายด้านทางอารมณ์
ร่างกายของเธอนั้นก็ไม่อาจทนได้เช่นเดียวกัน หากมิใช่เพราะเธอเป็นนักดาบระดับสามที่ใช้ออร่าได้ เธอคงตายจากการโหมทำงานหนักไปนานแล้ว
แม้เธอจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดในอายุเพียงเท่านี้ แต่เธอก็ยังมีอารมณ์ความรู้สึก ภายนอกอาจดูเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ภายในของเธอกำลังค่อยๆพังทลายลงอย่างช้าๆจนกระทั่ง เธอจะแตกสลายลงไม่ต่างจากวิหารที่ไม่อาจยืดหยัดทนต่อกาลเวลา แล้วสลายกลายเป็นฝุ่นผงไป
เจ้าหญิงจักรวรรดิยังพูดไม่จบ
“ต่อจากนั้นข้าจะขู่จักรพรรดิให้มอบราชบัลลังค์”
“โดยใช้กำลังทหารบีบให้สละราชบัลลังค์…….”
การกระทำอันไร้ศีลธรรม การกระทำแล้ว การกระทำเล่า
“ต่อจากนั้นข้าจะรวบรวมผู้อพยพของเมืองหลวงให้มาอยู่ที่เดียวกันแล้วประกาศให้รู้ทั่วกัน
จักรวรรดิฮับบวร์กที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 500 ปี ได้ล่มสลายลงแล้วในวันนี้ โดยมี สาธารณรัฐฮับบวร์กเข้ามาแทน”
สาธารณรัฐฮับบวร์ก
ใบหน้าของนายพลทั้งหลายนั้นบิดเบี้ยวเมื่อได้รู้ว่า คำพูดนั้นมันสร้างความเสียหายขนาดไหน
ถึงตอนนี้เหล่าทหารผู้บัญชาการแห่งจักรวรรดิไม่เพียงแต่ได้ยินเธอประกาศว่า นี่คือจุดจบของจักรวรรดิ หากแต่เธอยังประกาศสิ้นสุดสายเลือดที่รุ่งโรจน์และกล้าหาญ
‘แต่ทำไมถึงเป็นสาธารณรัฐล่ะ? จะได้อะไรจากการทำแบบนั้นกัน!?’
เคิร์ทถามตัวเองในใจ หากจะมีสิ่งที่ได้จากกลยุทธเผาที่ดิน ละทิ้งเมืองหลวง ฆ่าเจ้าชาย รับสืบบัลลังค์ มันเพียงพอแล้ว แล้วจะยกเลิกระบบการปกครองไปเพื่ออะไรกัน?
“ฝ่าบาท สิ่งนี้มันเสี่ยงเกินไป! สิ่งนี้จะสร้างภาระครั้งใหญ่ที่ไม่อาจประเมินได้”
“สาธารณรัฐ? ไม่มีเหตุผลที่เราจะหันหลังให้จักรวรรดิแล้วสร้างสาธารณรัฐ!”
“โปรดไตร่ตรองอีกครั้ง!”
ในเต๊นท์นั้นวุ่นวายราวกับผึ้งแตกรัง โปรดไตร่ตรองอีกครั้ง
ข้าไม่เข้าใจ มันดีกว่าไม่ใช่หรือที่จะรักษาความภาคภูมิใจของจักรวรรดิไว้แล้วตายอย่างกล้าหาญในการสู้รบ
นายพลทุกคนต่างคิดเช่นนั้น
เคิร์ทพยายามเค้นสมองท่ามกลางเสียงหนวกหู
นี่เป็นแผนของฝ่าบาท เจ้าหญิงจักรวรรดิ แม้มันจะดูเสี่ยงมาก แต่มันก็เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายอยู่ลึกๆ เขาอาจรู้เจตนาที่แท้จริงของแผน
‘การบริหารจัดการระบบและอำนาจทางเศรษฐกิจจะหยุดชะงักไปพักหนึ่งเมื่อเสียเมืองหลวงไป
แม้พวกเราจะสามารถกอบกู้กำลังใจของประชาชนกลับมาได้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์หากทั้งประเทศอยู่จุดต่ำสุดไปแล้ว’
ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทเองก็จะมีแผลเป็นที่ไม่อาจลบให้หายไปได้…….
เป็นไปได้หรือไม่ที่จะได้ประโยชน์บางอย่างจากการเผาเมืองหลวง……?
เหตุผลที่ต้องรับภาระมหาศาลเพื่อสร้างสาธารณรัฐ…….สิ่งนี้จะนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่เลวร้ายกับชาติอื่น…….
‘เดี๋ยวก่อนสิ―ชาติอื่น?’
ตอนนั้นเองที่ประกายไฟฟ้าวาบเข้าสมองของเคิร์ท
“มันมี……! มันมีสิ่งที่ได้รับจากการทิ้งเมืองหลวง และประกาศเป็นประเทศสาธารณรัฐ……. มันมีสิ่งที่ได้มาอย่างชั่วร้าย……!”
เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์นั้นไม่อาจควบคุมปากตัวเอง เขาเผลอพูดออกมาด้วยความตื่นตกใจ นายพลอื่นต่างหันกลับมามองเคิร์ท
หัวหน้าการแพทย์ผมสีบลอนด์นั้นไม่ได้สนใจการถูกมอง เขายังคงพูดต่อ
“อย่างแรกพวกเราจะได้ขวัญกำลังใจของประชาชนและทหารของเรากลับมา
……. ผู้คนที่กำลังกังวลกับกลยุทธเผาที่ดิน ทั้งยังถูกสั่งให้อพยพหนีไปจากเมืองหลวง ก็จะยิ่งกังวลมากขึ้น
ในขณะที่ความกังวลของทหารที่มาจากอุดมการณ์ที่แพร่ไปโดยฝีมือจอมมาร
การลงโทษเจ้าชายและสร้างสาธารณรัฐขึ้นมา
……จะทำให้ทั้งประชาชนและเหล่าทหารให้การสนับสนุนฝ่าบาทเต็มกำลัง”
“นายพลชไลเออมาเคอร์ กำลังใจของประชาชนไม่ใช่ปัญหา”
สีหน้าบารอน วิทเท่นเมียร์บิดเบี้ยว
“เจ้าหน้าที่บริหารและฝ่ายเศรษฐกิจของชาติเราจะล่มจมทันที”
“ฝ่ายบริหาร……ใช่ ฝ่ายบริหารของเราจะเจอปัญหา…….
แต่ถึงอย่างนั้น สถานการณ์อันเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นฝ่ายบริหารและฝ่ายเศรษฐกิจจะหายไปเหมือนได้รับการประทานพร!”
“หายไป เหมือนได้รับพร? ท่านหมายความว่าอย่างไร……?”
“ลองคิดดูให้ดีสิ บารอน วิทเท่นเมียร์ ”
เคิร์ทพูดด้วยความเร่าร้อน
“เหตุผลที่ว่า ทำไมกองทัพจอมมารถึงได้เปรียบพวกเราอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าพวกมันน่ะ มีข้ออ้างอันชอบธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าพวกเรา
พวกมันได้ทำลายความชอบธรรมของเราในการปกป้องมนุษยชาติและอ้างตัวว่า พวกมันเป็นผู้ปลดปล่อยมนุษยชาติ
แต่ถึงอย่างนั้น จะเกิดอะไรขึ้นล่ะหากฮับบวร์กประกาศว่า จะกลายเป็น ประเทศสาธารณรัฐ? การกระทำของจอมมารมันก็ไม่ต่างจากการรุนรานนั่นแหละ!
หากพวกมันทำอย่างนั้นก็เท่ากับบอกโลกทั้งใบว่า ที่ข้ออ้างอันชอบธรรมของพวกมันนั้นเป็นเรื่องโกหก”
“……หากคิดไม่ออกว่า พวกจอมมารใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้าง พวกเราก็ยังคงเสียเปรียบอยู่”
“กองทัพจอมมารเองก็มีปัญหาเสบียงไม่ต่างจากพวกเรา”
รอยยิ้มค่อยๆปรากฏขึ้นมาที่ริมฝีปากของเคิร์ท
“กองทัพจอมมารแบ่งออกเป็นหน่วยภาค เพราะไม่สามารถรวมกันเป็นกลุ่มเดียวได้
และตอนนี้พวกมันก็ยังเข้ามาใกล้เมืองหลวงพวกเรา
……. แล้วทำไมพวกมันถึงเร่งบุกเข้ามาล่ะ ทั้งที่มีปัญหาขาดเสบียง? เหตุผลเดียวเท่านั้นแหละ
พวกมันตั้งใจจะมาเติมเสบียงด้วยการยึดเมืองหลวง
แต่หากพวกเราทิ้งเมืองหลวงไป……พวกมันก็เติมเสบียงไม่ได้อีกแล้ว
……และพวกมันก็ต้องหยุดไล่ตามพวกเรา!”
กลยุทธในการเผาที่ดินที่ใช้มาหลายต่อหลายเดือนนั้นพิสูจน์แล้วว่า มีประโยชน์
“กองทัพจอมมารไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากถอยหนี ถ้าพวกเราตัดสินใจสู้และตายอย่างกล้าหาญ มันก็ไม่ต่างจากการที่เอื้อประโยชน์ให้กับพวกมันด้วยการถวายร่างกายเป็นอาหารให้
พวกเราต้องละทิ้งเมืองหลวง”
“นายพล ชไลเออมาเคอร์ ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย ท่านตั้งใจจะทำอย่างไรกับเรื่อง ฝ่ายบริหารและฝ่ายเศรษฐกิจ?”
เคิร์ทยิ้ม ปรากฏร่องรอยบ้าคลั่งที่ใบหน้า
“ท่านไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ บารอน?
พอกลายเป็นสาธารณรัฐแล้ว ฮับบวร์กก็จะสามารถหยุดกองกำลังจอมมารได้ ต่อจากนั้น สาธารณรัฐฮับบวร์กใหม่ของพวกเราก็จะกลายเป็นดั่งกำแพงที่ไว้เผชิญหน้ากับพวกปีศาจ”
“……!”
“ในตอนนี้ ราชอาณาจักรอื่นก็จะสั่นกลัวเพราะไม่อาจหยุดกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราได้
หากพวกเราเลือกรับมือกองทัพจอมมารด้วยการกลายเป็นสาธารณรัฐแล้ว
……พวกมันก็บุกต่อไม่ได้
……. ชาติอื่นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นประจักษ์พยานถึงความสำคัญของสาธารณรัฐฮับบวร์กของพวกเรา”
บารอน วิทเท่นเมียร์ดวงตาเบิกกว้างและลุกยืนขึ้น
“เข้าใจแล้ว! พวกเราจะได้รับความช่วยเหลือจากชาติอื่นๆ!”
เคิร์ทผงกหัว
“ถูกแล้ว ฮับบวร์กนั้นตั้งอยู่ตรงกลางของทวีป หากพวกเราล่มสลาย ชาติอื่นก็ล่มตามด้วยเช่นกัน
หากพวกเราไม่อยากเผชิญหน้ากับกองทัพจอมมารและอยากปกป้องดินแดน และครอบครัวตัวเอง พวกเขาก็ต้องยอมรับความเป็นประเทศสาธารณรัฐ และช่วยส่งกำลังสนับสนุน”
“ภัยคุกคามที่ก่อประโยชน์……พวกเราจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้…….”
บารอน วิทเท่นเมีย ตะโกนออกมา ตอนนี้นายพลอื่นสามารถจับภาพใหญ่ของแผนได้แล้ว พวกเขาตื่นเต้นขึ้นมาทันที มันเป็นอย่างที่เจ้าหญิงได้พูดไว้จริงๆ
บารอน วิทเท่นเมียร์ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาทั้ง 3 ข้อ ทั้งปัญหากำลังใจของประชาชน การพังทลายลงของการบริหารและเศรษฐกิจ และสุดท้าย การเสียความชอบธรรมของฝ่ายมนุษย์
แต่หากพวกเขาดำเนินแผนของเจ้าหญิง พวกเราก็จะได้ประโยชน์กลับคืนมาเหนือยิ่งกว่าปัญหาเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
มิใช่แต่เพียงได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชน หากแต่กองทัพด้วยก็เช่นกัน
ฝ่ายบริหารและฝ่ายเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นผ่านการให้การสนับสนุนจากชาติอื่น
และสุดท้าย สาธารณรัฐฮับบวร์กนั้นจะมีไว้เพื่อปกป้องและกลายเป็นโล่ที่ให้กับมนุษยชาติ
คำว่าเป็นโล่ให้กับมนุษยชาตินั้น เป็นทั้งความหมายตรงตามตัวอักษร และความหมายโดยนัย
โดยปกติแล้ว ชาติอื่นไม่มีทางยอมรับการที่จักรวรรดิเปลี่ยนไปเป็นสาธารณรัฐ แต่ตอนนี้มันเป็นไปได้แล้ว และนั่นก็เป็นสิ่งที่ชาติอื่นกำลังต้องการอยู่ด้วย
พวกเขาต้องการให้ราชวงศ์ของชาติอื่นเสียสละตัวเองเพื่อหยุดการรุกคืบของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา
ทั้งฝ่ายประชาชน ชนชั้นสูงและราชวงศ์
พูดอ้อมๆคือ มนุษยชาติทั้งโลกต่างสรรเสริญให้กับการกำเนิดใหม่ของสาธารณรัฐฮับบวร์ก
เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์ รวมถึง นายพลคนอื่นๆต่างหัวหน้าไปมองเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิด้วยแววตาที่สั่นไหว
‘ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?’
เธอเริ่มวางแผนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
‘ตั้งแต่มกุฏราชกุมาร รูดอล์ฟโดยจับตัวไว้ที่ออสเตอร์ลิทช์? หรือตั้งแต่ที่พ่ายแพ้ในการพูดสุนทรพจน์ ณ ที่ราบบรูโน่?
หรืออาจเป็นตอนที่ราชินีบริททานี่พบกับเธอ? เมื่อไหร่กัน……ที่เธอวางแผนจะทิ้งเมืองหลวงแล้วสร้างชาติขึ้นมาใหม่?’
ดวงตาสีแซฟไฟร์ของเจ้าหญิงนั้นเปล่งประกาย
“โง่เหลือเกิน ! นี่เจ้าคิดว่ามันมีเพียงเท่านี้หรือ!?”
เธอตะโกนใส่พวกเขา นายพลทั้งหมดต่างนิ่งอึ้งต่อหน้าเด็กสาวอายุ 17 ปี
“ต่อจากนี้ไปจะไม่มีแล้ว นายพลแห่งฮับบวร์ก พวกท่านทั้งหมดจะกลายเป็นนักรบที่ปกป้องมนุษยชาติในแนวหน้า
หากพวกเราล่มจม ทุกชาติก็ล่มจมไปด้วย ความพ่ายแพ้ของพวกเรา คือ ความพ่ายแพ้ของมนุษยชาติ―นี่ พวกเจ้ายังไม่ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่หนักอึ้งนั่นอีกหรือ?”
เจ้าหญิงจักรวรรดิก้าวออกมาข้างหน้า
“พวกเราจะไม่มีการแบ่งแยกอีกต่อไป ตั้งแต่สามัญชนไปจนถึงราชวงศ์ กองทหารไปจนถึงพ่อค้าและชาวไร่ มนุษย์ทุกผู้ทุกนามจะรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อสร้างชาติเดียวขึ้นมา
นั่นคือ สิ่งที่สาธารณรัฐฮับบวร์กำลังจะเป็น
นั่นคือ แก่นแท้ของชาติที่พวกเรากำลังจะเป็น!”
เธอชักดาบออกมาจากฝัก เผยให้เห็นใบดายที่เปล่งประกายเช่นเดียวกับผมสีเงินของเธอ
“พวกเราจะลงโทษ ข้ารับใช้ที่ทำลายจักรวรรดิของพวกเราเมื่อร้อยปีก่อน เช่นเดียวกับที่พวกเราลงโทษเจ้าชายเฟอร์ดินาน
โดยไม่มีข้อยกเว้น พวกเราจะเคร่งครัดในการกวาดล้างทุจริต คอรัปชั่น แสดงให้ผู้คนได้เห็นว่า ชาติของเรานั้นมีค่าให้พวกเขาอุทิศชีวิตให้”
ตาทุกคู่ของนายพลนั้นต่างจับจ้องไปยังเจ้าหญิงจักรวรรดิ
“หากมีสมาชิกฝ่ายมกุฏราชกุมารและเจ้าชายลำดับ 2 อยากเข้าร่วมด้วย ก็ให้มอบตำแหน่งที่ยังว่างอยู่ นับแต่นี้ พวกเจ้าทุกคนเป็นส่วนสำคัญ เป็นผู้นำสมาชิกของชาติ พวกท่านน่ะมีความสามารถที่จะทำเช่นนั้น
ดังนั้นผู้คนจะสนับสนุนความสามารถของพวกท่าน
ต่อจากนี้พวกเราจะเฝ้าดูเมืองหลวงถูกปล้น แล้วพวกเราค่อยปล้นชิงกลับคืนมาให้กับประชาชน”
การบงการทุกอย่างจากเบื้องหลังนั้นโดยกระทำตัวให้ดูสูงส่งกว่าใครๆจากเบื้องหน้า ช่วยมนุษยชาติผ่านคำโกหก
ปีศาจที่เป็นต้นเหตุให้เกิดหายนะนี้ กลับกลายเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองจากสรวงสวรรค์
―เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์ตัวสั่นเทาพอคิดถึงความย้อนแย้งนั้น
เจ้าหญิงจักรวรรดิได้ประกาศชัด
“วันนี้ ณ เวลานี้ พวกเราจะหลอกลวงมนุษย์ชาติ!”