Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 151 ยุคแห่งเหล่าทรราช (1)
“ตอนนี้พวกเราเสียเปรียบอย่างมาก”
อลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์ก เจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิเอ่ยขึ้น
นายพลทั้งหลายของจักรวรรดิตอนนี้ต่างนั่งประจำตำแหน่งอยู่ในเต้นท์ โดยมากเป็นหนุ่ม นายพลสูงอายุทั้งหลายก่อนหน้านี้ได้นำทัพทหารจักรวรรดิแล้วล้มตายไปในสงครามที่ออสเตอร์ลิทช์
ผู้ทื่มาแทนตำแหน่งในปัจจุบันของกองทหารจักรวรรดิฮับบวร์กจึงเป็นผู้บัญชาที่ยังหนุ่ม
หนึ่งในพวกเขาตั้งใจฟังแผนการของเจ้าหญิงเงียบๆ อีกคนก็จดทุกอย่างลงไปอย่างจริงจัง และอีกคนก็เคี้ยวอะไรสักอย่างที่เหมือนเปลือกของข้าวสาลีโดยวางเท้าไว้บนโต๊ะ
ทั้งหมดถูกเรียกมารวมตัวกัน แม้จะมีบางคนมิได้สวมชุดทหารให้เรียบร้อยก็ตาม
ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครตำหนิต่อมารยาทแย่เช่นนั้น
พวกเขาทั้งหมดต่างมาอยู่ในตำแหน่งนี้ด้วยความสามารถตัวเองล้วนๆ
“แผนการทำลายทุ่งได้ส่งผลอย่างรุนแรงต่อกองทัพของพวกจอมมารที่แยกกองกำลังเพื่อหาเสบียง โอกาสที่จะโจมตีมาถึงอีกครั้ง”
ตั่บ
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิใช้ไม้คทาสีเงินแตะไปที่แผนที่ปฏิบัติการณ์
“โอกาสทองของกองทัพฝ่ายเรามาถึงแล้ว”
เป็นอย่างที่เธอพูดไว้ กองทัพจอมมารนั้นกำลังเสียสมดุล กองทัพภาค 2 และกองทัพภาค 6 นั้นถลำมาไกลจนเกินไป
นั่นเป็นปรากฏการณ์ที่เห็นได้ตามปกติยามที่คุณมีเสบียงไม่เพียงพอทั้งยังมีกลุ่มศัตรูมากมายหลายต่อหลายกลุ่ม
พอขาดอาหาร คุณจึงต้องปล้นฆ่าหมู่บ้านแถบนั้น เพื่อให้เหล่าทหารทั้งหลายได้แยกกันไปหาอาหารด้วยตัวเอง
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามพูดขึ้น
“แต่ ฝ่าบาท”
“ขออนุญาตก่อนแสดงความเห็นด้วย หัวหน้าหน่วยแพทย์เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์(Kurz Schleiermacher)”
“รับทราบครับ”
ชายหนุ่มลูบผมทองของตนด้วยความรู้สึกอึดอัด
“ต้องขออภัยด้วย แต่ผู้นี้ไม่ค่อยคุ้นชินกับมารยาทสักเท่าไหร่……ขอข้าพูดอะไรหน่อย ฝ่าบาท”
“ข้าอนุญาต”
“ขอบพระทัยครับ ความจริงที่ว่า กองทัพจอมมารแยกกันย่อมเป็นข่าวดีต่อฝ่ายเรา แต่ถึงอย่างนั้น ฝ่ายเราก็ไม่ต่างกันนัก”
นายพลหลายคนพยักหน้าในเชิงเห็นด้วย
ไม่ใช่กองทัพจอมมารฝั่งเดียวที่มีปัญหาขาดเสบียง กองทัพของฝ่ายมนุษย์ก็เผชิญปัญหาร้ายแรงเช่นเดียวกัน
พวกกองทัพทหารรับจ้างนั้นเริ่มเรียกร้องขอข้าวสาลีเป็นค่าจ้างแทนทองคำ และกองทัพชาติอื่นก็ส่งคำร้องกลับไปยังประเทศบ้านเกิดตัวเองเพื่อเบิกเสบียงเพิ่ม
ในสถานการณ์เช่นนั้น เจ้าหญิงจักรวรรดิอลิซาเบธได้ตัดสินใจครั้งใหญ่
– ด้วยการใช้กลศึกเผาดินแดนเพื่อเป็นข้ออ้างในการปล้นสดมภ์ชาวบ้าน
เธอสั่งให้คนของเธอนั้นปล้นชิงชาวบ้าน ในยุคสมัยนี้ มีน้อยคนเหลือเกินที่จะยังคงเชื่อว่า ทหารนั้นสมควรปกป้องประชาชน ถึงอย่างไรทหารก็ให้ความสำคัญกับผู้ปกครองมากกว่าใครทั้งสิ้น
สิ่งที่สำคัญกว่าการปกป้องสามัญชนคือ การอารักขาให้กับชนชั้นสูง
แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ที่ติดตามเจ้าหญิงส่วนมากก็เป็นพวกของสาธารณรัฐนิยม พวกนั้นก็ปฏิเสธคำสั่งของเจ้าหญิงในทันที
– ไม่สมควรมีกองทหารที่โจมตีทำร้ายประชาชนของตน!
– กองทหารที่ไม่สามารถปกป้องมนุษยชาตินั้นไม่สมควรมีอยู่เช่นกัน
ตอบข้ามาสิ ว่าพวกเจ้ามีทางเลือกอื่นใดนอกจากวิธีการเผาที่ดินเหลืออยู่อีกไหม? หากยังมี ข้าจะถอนคำสั่ง
– …….
ผู้มีความสามารถที่อยู่ภายใต้เจ้าหญิงจักรวรรดินั้นต่างเป็นบุคคลมีความสามารถทั้งนั้น เพราะมีความรู้ความสามารถจึงรู้ดีว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น
ด้วยข้ออ้างที่ว่า ‘หากพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไป ก็ต้องถูกมอนสเตอร์ชั่วร้ายฆ่าตายอย่างไร้ปรานีอยู่ดี’
ทหารจักรวรรดิฮับบวร์กจะให้ผู้คนย้ายไปอยู่ที่ไหนสักแห่งแทน เขาเรียกสิ่งนั้นว่า การย้ายไปตั้งรกรากใหม่ แต่ความจริงมันก็ไม่ต่างจากการบังคับให้ย้ายออกนั่นเอง
มีชาวนาบางส่วนที่ปฏิเสธ โดยพูดว่า บ้านของพวกเขา พวกเขาจะปกป้องไว้ด้วยชีวิตของตน แต่เจ้าหญิงจักรวรรดิยืนยันหนักแน่น
– หากใครต่อต้านก็ใช้กฏอัยการศึก
– ฝ่าบาท!
– สงบใจไว้ ข้าเองก็มีหัวใจ
ผู้ใต้บังคับบัญชาต่างเห็นความเจ็บปวดจากสายตาของเจ้าหญิงจักรวรรดิ นั่นทำให้พวกเขาต้องถอนคำพูด
ถูกแล้วล่ะ ถึงเจ้านายของพวกเขาจะทำเพื่อประชาชนแม้กระทั่งก่อนสงคราม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังมีหัวจิตหัวใจของความเป็นมนุษย์…….
กองกำลังเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นค่อยๆถอยร่นออกจากส่วนกลางของฮับบวร์ก พวกเขาใช้กลยุทธแบบกองโจรเพื่อตอบโต้การไล่ตามของกองทัพจอมมาร
เธอรบยืดเยื้อให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งยังใช้การเผาดินแดนโดยตั้งใจไม่ให้เหลือต้นข้าวสาลีแม้สักต้นในพื้นที่ศูนย์กลางของประเทศ
ถอยไปหนึ่งก้าว ถอยไปอีกหนึ่งก้าว―
จนในที่สุด พวกเขาก็มาถึงจุดที่ไม่สามารถจะหนีไปไหนได้อีกต่อไป
พวกเขามาถึงเมืองหลวงจักรวรรดิแล้ว
“ในตอนนี้กองทัพหลายๆภาคของจอมมารได้มารวมตัวกันแล้ว โดยกองทัพภาค 2 นั้นมาถึงภายในอีกสองสัปดาห์และกองทัพภาคอื่นๆจะตามมาสมทบอีกภายหลัง
อืมม แล้วแบบนี้จะไม่เป็นปัญหาหรือ?”
ชายหนุ่มที่รู้จักกันในนาม เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์ เกาแก้มตัวเอง
“กองทัพศัตรูตอนนี้อาจจะแยกทัพกันอยู่ แต่พวกมันทั้งหมดต่างมีเมืองหลวงเป็นจุดหมาย ดังนั้นยิ่งเวลาผ่านไป พวกมันก็จะรวมกลุ่มกัน
ในขณะที่ ฝ่ายกองทัพมนุษย์นั้นไม่ได้มีจุดหมายชัดเจนแบบนั้น…….
เอาล่ะ จะมีผู้คนจากชาติอื่นสักกี่คนกันที่จะมาสู้รบเพื่อช่วยเมืองหลวงของเรา……?”
และนั่นไม่ได้เป็นปัญหาเดียว
นายพลอื่นต่างยกมือขึ้น
“ข้าขอสิทธิในการพูด”
“อนุมัติ”
“ขอบพระทัย ฝ่าบาท ข้าต้องขอประทานอภัย แต่กองกำลังชาติอื่นนั้นเรียกร้องความรับผิดชอบในการจัดหาเสบียงและอาวุธชุดเกราะ
กองทัพจอมมารตอนนี้พยายามหาเติมเสบียงด้วยตัวเอง พวกมันก็มีเสบียงพอไปอย่างน้อย 15 วัน ถึงหนึ่งเดือน”
และนายพลก็พูดต่อ
“แต่กองทัพทหารจักรวรรดิเราไม่มีเสบียงเหลืออีกแล้ว”
“นี่เจ้าพูดอะไร? กองทัพของเรามีเสบียงเหลือพอไปอีก 3 เดือน”
“……นั่นมันสำหรับแค่กองทัพจักรวรรดิ”
นายพลกลืนน้ำลายล้างคอ
“แต่ถึงอย่างนั้น มันก็มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับพวกเราที่ต้องมีกำลังเสริมจากชาติอื่นเพื่อปกป้องเมืองหลวง
…….หากพวกเราไม่ใช้เสบียงเพื่อรักษากองกำลังจากชาติอื่น
กองกำลังจักรวรรดิฮับบวร์กของพวกเราก็เหลือหนทางเดียว”
เจ้าหญิงจักรวรรดิยิ้มอย่างสนอกสนใจ
“โอ้ เหรอ? แล้วทางเลือกที่ว่านั่นคือ?”
“เราต้องไม่ป้องกันเมืองหลวง พวกเราต้องจู่โจมเต็มกำลัง”
เสียงของผู้พันหนักแน่นและยังคงพูดต่อ
“ยิ่งเวลาผ่านไปกองทัพของจอมมารก็ยิ่งเข้ามาใกล้
ถึงอย่างนั้นก็แปลว่า ตอนนี้พวกมันยังมาไม่ถึง มันยังมีช่วงต่างของเวลากว่าที่จะมาหาพวกเรา
…….พวกเราสามารถใช้เวลาช่วงนั้น แบ่งแยกแล้วพิชิตศัตรูของพวกเรา”
แบ่งแยกและพิชิตกองทัพทั้ง 5 ภาคของกองทัพจอมมาร
มันเป็นวิธีการเดียวที่เหลือแล้วในการปกป้องเมืองหลวง และสิ่งนี้จะชี้ชะตาของจักรวรรดิ
“…….”
“…….”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ผู้คนรู้ดีว่า แผนการนี้มันฟังดูไร้สาระเพียงใด
กองทัพทหารของจักรวรรดิฮับบวร์กนั้นมีกองทหารราวๆ 10,000 นาย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ละภาคของกองทัพจอมมาร มีทหาร 10,000 นาย
‘เฮ่อ นี่มันเป็นไปไม่ได้เลยไม่ใช่รึไงกันน่ะ?’
ชายผมสีบลอนด์ เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
หากจะเทียบกำลังทหารมนุษย์กับกำลังทหารออร์คแล้ว พวกหลังน่ะแข็งแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด
…….แต่ถึงอย่างนั้น กองทัพเพียงภาคเดียวที่มีเพียงทหารพันนาย ก็เพียงพอแล้วที่จะสู้กับกองทัพของฝ่ายจักรวรรดิ
หรือถ้ามองในแง่ดี อย่างมากที่สุดที่คาดหวังว่าจะทำได้ ก็คือ เสมอ
‘เพื่อชนะการต่อสู้กับกองทัพศัตรูที่มีจำนวนทหารเท่ากันนั้น พวกเราต้องมีมากกว่าถึงห้าเท่า
……เฮ่อ ต่อให้เทพธิดาจะช่วยพวกเรา มันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยนี่หน่า พระเจ้า!’
เคิร์ทส่ายหัว ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดี
แม้ตอนแรกที่กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา์กับกองทัพมนุษย์นั้นได้เข้าปะทะกัน
จักรวรรดิฮับบวร์กสู้ได้ดีเป็นอย่างมาก สู้ได้ดีจนชาติอื่นนั้นยกย่อง
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นเป็นอัจฉริยะผู้มาพร้อมกลศึกมากมาย และแทนที่ยิ่งรบจะยิ่งเสื่อมถอย เธอกลับยิ่งเฉียบคมมากขึ้น
ในขณะที่กองทัพอื่นนั้นแพ้แล้วแพ้อีก มีเพียงกองทัพนี่ทำโดยเจ้าหญิงจักรวรรดิเท่านั้นที่ยังคงชัยชนะต่อไปได้
หากระลึกถึงสิ่งที่เธอพูดไว้ตอนสุนทรพจน์ ก็จะยิ่งรู้สึกว่ายอดเยี่ยมเข้าไปใหญ่
‘แต่มันมีเส้นกั้นที่ชัดเจนระหว่าง สมเหตุสมผล กับไม่สมเหตุสมผลอยู่’
มันเป็นไปได้ยากมากที่จะให้ไปไล่ตีกองทัพจอมมารให้แตกทัพไปทีละกอง ต่อให้เป็นเจ้าหญิงอลิซาเบธก็เถอะ เคิร์ทมั่นใจว่าอย่างนั้น
‘นี่แหละปัญหา ปัญหาใหญ่เลยล่ะ ฮ่าฮ่า’
เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่า บ้านเกิดของเขาจะถูกทำลายหรือไม่
หรือแม้แต่มนุษยชาติจะล่มสลาย เขาก็แค่เพียงยักไหล่โดยไม่ยี่หระ
มนุษยชาติและชาติประเทศต่างๆนั้นไม่เป็นอะไรมากไปกว่าเรื่องตลกสำหรับเขา บางครั้งตลกพวกนั้นก็ชวนให้เบื่อหน่าย
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็แอบสงสัย
‘ท่านจะทำอย่างไรนะ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ?’
เขามองไปที่ใบหน้าของเจ้าหญิง จากข้อมูลที่เคิร์ทมี เจ้าหญิงนั้นเป็นอัจฉริยะที่สุดที่มีมาในโลกแล้ว
เขาไม่อาจจินตนาการถึงใครที่เก่งไปกว่าเธอได้อีก สำหรับเคิร์ทแล้ว―เจ้าหญิงนั้นเป็นยอดสุดแห่งมวลมนุษยชาติ เป็นมนุษย์ที่มีค่ายิ่ง
แล้วยอดสุดแห่งมนุษยชาติผู้นั้นจะตอบรับกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรกัน?
เคิร์ทนั้นห้ามความอยากรู้ของตัวเองไว้ไม่ไหวแล้ว
หากเจ้าหญิงจักรวรรดิไม่รังเกียจความเป็นไปไม่ได้นั่นแล้วเข้าท้าทาย หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เคิร์ทก็ยินดีจะตอบรับการตัดสินใจของเธอ
เขาจะไปอยู่แนวหน้าคู่กับเจ้าหญิงด้วยความสมัครใจและเฉือนหัวออร์ค แทงออกก็อบลิน เขาอาจจะตายอยู่ที่นั่น
……และเจ้าหญิงอาจจะตายด้วย ผลสุดท้ายก็จบลงตรงที่เมืองหลวงโดนยึด และมนุษยชาติล่มสลาย
……แต่ใครจะไปสนกันล่ะ?
มันคงมาถึงขีดจำกัดของมนุษยชาติแล้ว
เขายอมรับความต่ำต้อยนั้น ในท้ายที่สุดแล้วมนุษยชาติเป็นเพียงเผ่าเดียวที่ไปได้ไกลถึงเพียงนั้น
‘อย่าบอกข้านะว่า ท่านนั้นสิ้นหวังแล้วน่ะ ฝ่าบาท’
เขาลอบยิ้มในใจ อีกด้านหนึ่งเขาก็แอบรอคอยอย่างมีหวัง ความคิดที่ว่าตนจะได้เป็นพยานในการเห็นยอดสุดแห่งมนุษยชาติที่พังทลายด้วยความสิ้นหวัง!
มันอาจจะเป็นความสิ้นหวังของทั้งมวลมนุษยชาติ แต่มันก็เป็นงานศิลป์ที่โหดร้าย แต่ก็เพราะอย่างนั้นแหละมันถึงได้กลายเป็นงานชิ้นเอกที่งดงามที่สุด
แต่เมื่อเคิร์ทมองไปที่ใบหน้าของเจ้าหญิงจักรวรรดิ
‘……!’
เขาได้แต่เงียบด้วยความตกใจ
‘เธอนั้นเฉยเมย……แม้จะเป็นสถานการณ์อย่างนี้หรือ?’
ไม่มีแม้เศษเสี้ยวอารมณ์ใดออกมาจากสีหน้าของเจ้าหญิง สิ่งที่อยู่บนใบหน้าเธอนั้นคือ ความเย็นชา ไร้อารมณ์
‘ข้าไม่อยากเชื่อ’
เคิร์ทนั้นไม่เข้าใจ เขารู้ดีว่า เจ้าหญิงนั้นรักประชาชนและหวงแหนมนุษยชาติเพียงใด ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นต้องเผชิญกับภัยคุกคามต่อสิ่งสำคัญที่สุดของเจ้าหญิง
ทุกคนต่างหวาดกลัวเมื่อต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไป มนุษย์นั้นหนีห่างออกไปเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ชีวิตตนเองต้องถูกคุกคาม
จะมีสิ่งใดที่มีค่ายิ่งไปกว่าชีวิตตนอีกเล่า
แต่ถึงอย่างนั้น หากมีสิ่งที่สำคัญกว่าชีวิตพวกเขา…….ตัวอย่างก็เช่น เทพธิดาสำหรับเหล่าพระนักบวช ใช่แล้วล่ะ
มันอาจจะดูตลกที่จะพูดแบบนี้ แต่การพูดว่า เทพีทั้งหลายได้ตายลงต่อหน้าพวกนักบวช แล้วพวกนักบวชนั่นจะยังคงรักษากิริยาให้นิ่งเฉยได้อยู่หรือไม่?
หากคุณทรมานพ่อหน้าลูกชาย หรือฆ่าเจ้านายต่อหน้าข้ารับใช้ พวกเขายังคงจะไร้อารมณ์ในสถานการณ์ได้อีกหรือไม่?
มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิยังสงบอยู่ มันไม่ใช่ความสงบที่เกิดมาจากการยอมแพ้ ละทิ้งทุกสิ่งหากแต่เป็นความสงบที่มาพร้อมกับความเข้าใจภายใน
ความอดทนและการควบคุมตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ ช่างเป็นยอดมนุษย์สุดประเสริฐ นี่ใช่มนุษย์ที่มีวันตายจริงๆน่ะหรือ?
‘มันต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ!’
กระแสไฟฟ้าไหลแวบวาบผ่านไขสันหลังเคิร์ท
‘นางต้องมีแผนอะไรบางอย่างเพื่อเอาชนะกองทัพจอมมารได้แน่!’
ไม่ใช่แค่เคิร์ทคนเดียวที่รู้เรื่องนั้น คนอื่นที่เห็นเจ้าหญิงเงียบไปนานไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน
นายพลคนอื่นต่างเงยหัวขึ้นมาช้าๆ พวกเขายังคงงุงงนเพราะพยายามจะจับความรู้สึกของเจ้าหญิง
แล้วตอนนั้นเจ้าหญิงก็ได้พูดขึ้น
“ข้ามีวิธีหยุดกองทัพจอมมาร”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“พวกเราจะยอมแพ้เรื่องเมืองหลวง หทารแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กทุกนาย จะหนีออกจากเมืองหลวง หนีไปให้ไกลในทันที”
เสียงที่แสดงความตกตะลึงดังไปทั่วทั้งเต๊นท์
เคิร์ทเองก็พบว่า เผลอพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ เขาลืมไปด้วยซ้ำว่า ตัวเองต้องขอสิทธิ์ในการพูดก่อน
“ฝะ-ฝ่าบาท ท่านหมายความว่ายังไง? ยอมแพ้เรื่องเมืองหลวง?”
“ข้าจะพูดอีกครั้งหนึ่ง นับจากวันนี้ไปสี่วัน พวกเราเหล่าทหารจักรวรรดิฮับบวร์กจะทอดทิ้งเมืองหลวง วินโดโบน่า(Vindobona)”
นายพลทุกนายต่างลุกขึ้นพร้อมกันเมื่อเจ้าหญิงจักรวรรดิยืนยันคำพูดของเธอ ทุกคนลุกฮือขึ้น
“ฝ่าบาท! ข้าขอค้าน!”
“เมืองหลวงเป็นดั่งหัวใจของฮับบวร์ก! ชาติจะหายใจได้อย่างไรหากปราศจากหัวใจ!”
แต่ถึงจะอย่างนั้นเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นก็พูดต่อโดยไม่สะดุด
ไม่หรอก ใช่ว่า เธอจะไม่สะดุดเลย แต่มันยากที่จะสังเกตต่างหาก แต่เคิร์ทเองก็แอบเห็นรอยยิ้มน้อยๆที่ริมฝีปากของเจ้าหญิงเข้า
“หากเมืองหลวงเป็นดั่งหัวใจของฮับบวร์ก พวกเราก็แค่ย้ายหัวใจ”
“ผู้น้อยไม่อาจหยั่งถึงเจตนาของฝ่าบาท…….”
“ย้ายพลเมืองทั้งหมด บังคับให้พวกเขาออกมา ยิ่งไปกว่านั้นสั่งการระดมเงินให้มากที่สุด ขุดหลุมฝังศพของพวกนักปกครองคนเก่าๆซะ และสุดท้ายอย่าทิ้งอะไรไว้ให้กองทัพจอมมารแม้แต่อย่างเดียว―”
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิสรุปในท้ายที่สุด
“หลังจากอพยพเสร็จ พวกเราจะเผาเมืองหลวงทิ้งให้หมด”
( TTL : ชักไม่แน่ใจ นี่อลิซาเบธเผาวินโดโบน่า หรือตั๋งโต๊ะเผาลกเอี๋ยง)