Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 150 คนทรยศ(6)
ผ่านไปสักพักก่อนที่ไพมอนจะถอนหัวออก สัมผัสชุ่มชื่นยังคงอยู่บนปากผม
“เลดี้ผู้นี้ชอบตีเหล็กเมื่อยังร้อน”
เธอยิ้มอย่างเขินอาย
“ข้าไม่เคยเป็นผู้ร้องขอเรื่องแบบนี้มาก่อน ด้วยศักดิ์ศรีฐานะของราชินีซัคคิวบัส ดังนั้นหากท่านร้องขอก่อน เลดี้ผู้นี้ก็จะถวายร่างกายด้วยความยินดี……. ท่านคิดเห็นอย่างไร?”
“ข้าขอปฏิเสธด้วยความเคารพครับ”
ผมประสานมือตัวเอง ผมไม่เคยเห็นว่าจะมีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นหลังจากปล่อยให้ผู้หญิงเล่นล้อหว่างขาผู้ชายโดยไม่ยั้งคิด
ยิ่งไปกว่านั้น อยากให้ผมเป็นชายที่มีความสัมพันธ์แบบนั้นกับทั้งบาร์บาทอสและไพมอนอย่างนั้นรึ?
มันบ้าเกินไปแล้ว ผมต้องจบลงด้วยปัญหาทางการเมืองในทันทีแน่ๆ ผมยังไม่พร้อมใจจะตีตั๋วไปว่ายเล่นในแม่น้ำแห่งความตายไวขนาดนั้น
“อืมม ดูเหมือนท่านจะการ์ดแข็งกว่าที่ข้าคิดไว้”
ไพมอนขมวดคิ้วคล้ายกับผิดหวังในการตัดสินใจของผม
“หรือท่านน่ะชอบร่างกายที่เด็กกว่านี้แบบบาร์บาทอสล่ะ? ยังไงนี่ก็เป็นความฝัน เลดี้ผู้นี้สามารถเปลี่ยนรูปร่างตามใจท่านได้นะ”
“ข้ามิได้มีรสนิยมแบบนั้น”
จริงอยู่ที่ผมจบลงที่กลายเป็นคนรักของทั้งบาร์บาทอสและลอร่า ที่มีรูปร่างเล็กกะทัดรัด แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นอย่างนั้น นับตั้งแต่ผมมาอยู่ในโลกใบนี้มันเหมือนกับมีพลังงานจักรวาลหรืออะไรบางอย่างมาป่วนโชคชะตา รสนิยมทางเพศของผมนั้นปกติ เอาจริงๆนะ บ้าเอ๊ย
ไพมอนทำหน้ามุ่ยออกมา
“อย่างนั้นก็ดี ถ้าอย่างนั้นในชั่วขณะที่ท่านสามารถพิชิตป้อมปราการได้เป็นตอนที่ท่านจะได้รับความพึงพอใจสูงสุด
ทั้งการที่ได้เป็นชายคนแรกของบาร์บาทอส และสามารถทำให้เลดี้ผู้นี้คุกเข่าขอร้องได้
……ฟุฟุ ช่างเป็นภาพที่น่าดูเสียจริง ข้าจะรอดูก็แล้วกันนะ”
ไม่ต้องมารอดง รอดูอะไรแบบนั้นเลย
ผมแน่ใจแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายภูเขาหรือที่ราบ สมองของพวกจอมมารระดับสูงนั้นโดนย้อมไปด้วยกามตัณหาทั้งสิ้น
บาร์บาทอสก็เป็นที่สุดของยัยลามก รักการเล่น BDSM นังโลลิบ้า
ยัยผมทองไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดแบบ จอมมารลำดับ 4 กามิกิน ก็เป็นนังมาโซคิสม์
และผู้หญิงตรงหน้าผมก็ไม่ยอมแพ้ให้กับอดีตคู่รักเก่าโดยมาพร้อมกับความดื้อรั้นที่จะทำเรื่องแบบนั้น
ผมไม่เข้าใจเลยว่า จะไปแยกฝักฝ่ายกันทำไม พวกนางควรจะรวมก๊วนร่วมแก๊งกันแล้วสร้าง ปาร์ตี้พวกโรคจิตด้วยกันเสียเลย
ผมแน่ใจเลยว่า จะสามารถรวมกองทัพจอมมารเป็นหนึ่งเดียวกันได้โดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อแน่ๆ มันไม่เยี่ยมกว่ารึไง?
จอมมารพวกนี้มันไม่ต่างกันเลย…….ผมเข้าใจเรื่องนี้ดูอยู่แล้ว แต่คุณจะไม่มีทางหาจอมมารตนใดที่น่าเชื่อถือและจริงใจเหมือนอย่างผมอีกแล้วล่ะ
“ข้าอยู่ในการดูแลของท่านแล้ว ท่านไพมอน”
“แน่นอน ดันทาเลี่ยน เรามาร่วมมือกันเพื่อเป้าหมายของแต่ละฝ่ายเถอะ”
พวกเราจับมือกัน
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าหวังว่า พวกเราจะแอบมีความสัมพันธ์กันอย่างลับๆโดยไม่ให้ใครรู้นะ”
“……นั่นมัน เอ่อ ช่างเป็นเกียรตินัก”
ยัง ยังไม่เลิกอีก!
ผมน่ะ เป็นชายผู้รู้ว่าควรจะจัดการกับราคะของตัวเองยังไงนะเออ ใช้สมองอันเปี่ยมไปด้วยเหตุผลที่อยู่บนบ่า ผมไม่หื่นขึ้นมาง่ายๆเพียงเพราะไพมอนกระดิกหางยั่วหรอก
(TTL : ‘คนอ่าน : เหรออออ’ )
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็แอบสงสัย ค่าความชอบของไพมอนที่มีต่อผมออกจะต่ำ แต่ดูจากบุคลิกของเธอ เธอไม่น่าจะเป็นคนที่จูบใครก็ได้นี่
‘สเตตัส’
ผมจึงตัดสินใจที่จะเลือกดูสเตตัสของไพมอนแทน
หากค่าความชอบของเธอนั้นต่ำเกินไป ผมก็จะเห็นแต่ค่าสเตตัสพื้นฐาน หากเป็นอย่างนั้นก็เป็นอะไรที่น่ากลัวมากเพราะนั่นหมายถึง ไพมอนหลอกผมมาจนถึงตอนนี้
เธอแกล้งทำเป็นแสดงกับผมเหมือนอย่างที่ทำกับฮีโร่
แต่ความกังวลของผมก็กลับหายไปในพริบตา
– ติ้ง!
Ο
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
ชื่อ: ไพมอน
เผ่า: จอมมาร ฝ่าย: กองกำลังจอมมารไพมอน, ฝ่ายภูเขา, พันธมิตรแห่งการปลดแอก (Liberation Alliance)
สถานะ: ชั่วร้าย Evil (-34)
เลเวล: 349 ชื่อเสีย: 5354100
อาชีพ: จอมมาร(S), ผู้จัดการดันเจี้ยน(A+), อาร์คเมจ(ถูกทำลาย)
ความเป็นผู้นำ: 300 อำนาจ: 224 ความฉลาด: 107
ไหวพริบ: 448 เสน่ห์: 572 เทคนิค: 349
ค่าความชอบ: 44
ความคิดตอนนี้: ‘หรือข้าควรจะทำกับเขาเลยดีนะ? หืมม’
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
ผมไม่แน่ใจว่าทำไม แต่ค่าความชอบของไพมอนนั้นอยู่ที่ 44 ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ
‘ผมไม่เคยเห็นหน้าต่างแจ้งเตือนบอกผม เรื่องค่าความชอบของไพมอนสูงขึ้น เพราะอะไรกัน?’
ยิ่งไปกว่านั้น ค่าสแตทของเธอมันกระจายแบบไม่เสมอกัน ค่าไหวพริบทางการเมืองและค่าเสน่ห์ของเธอนั้นสูงจนผิดปกติ นั่นพออธิบายได้ว่า ทำไมเธอถึงเชี่ยวชาญการวางแผนทางการเมืองมากแต่ไม่ถนัดการวางแผนปกติเลย
ซึ่งนั่นก็เหมาะดีสำหรับหัวหน้าฝ่ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในกองทัพจอมมารที่จะมีสแตทแบบนี้
……ความคิดตอนนี้ของเธอ ทำเอาผมรู้สึกกังวล แต่ผมตัดสินใจแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปก่อน เอ่อ แต่ผมเหมือนเห็นอะไรที่เดจาวูนะ ผมพยายามทำใจให้สงบก่อนจะถามออกไป
“ขอถามหน่อยนะ ท่านไพมอน จริงๆแล้วท่านชอบอะไรในตัวข้า?”
“ช่างเป็นคำถามที่หุนหันเหลือเกินนะ”
ไพมอนหยุดคิดชั่วครู่ก่อนจะพูดออกมา
“เอาล่ะก็ย้อนตั้งแต่ตอนที่ท่านน่ะพูดสุนทรพจน์ในกองทัพพันธมิตร ข้าเชื่ออย่างสุดใจว่า ท่านจะได้มาเป็นพันธมิตรกับเลดี้ผู้นี้”
“อ้อ จากตรงนั้นเองสินะ”
มันเกิดขึ้นในระหว่างที่ผมพูดอยู่นั่นเอง ห้ะ? นั่นก็แสดงว่าหลังจากผมเอาชนะเจ้าหญิงจักรวรรดิได้แล้ว หน้าต่างนับพันเด้งเข้ามาตอนนั้นที่แสดงถึงค่าความชอบที่ผู้คนมีต่อผม
ผมไม่สามารถไปไล่เช็คได้ทุกละอันจนครบทุกอันได้ ผมจึงปิดมันพร้อมกันในคราวเดียว หนึ่งในนั้นของมีค่าความชอบของไพมอนด้วย……. มันประหลาดใจมากที่ผมไม่ได้สังเกตเรื่องนี้มาก่อนเลย
“ไม่มีคำถามอื่นแล้วใช่ไหม? เอาล่ะ ตอนนี้ก็ได้เวลาที่ข้าจะต้องแนะนำให้ท่านรู้จัก”
“หา? แนะนำข้าให้รู้จัก?”
“พวกเรานั้นมีมากมายและพวกเรานั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน”
รอยยิ้มที่อ่านไม่ออกปรากฏบนริมฝีปากของไพมอน
“ได้เวลาตื่นขึ้นมาแล้ว ดันทาเลี่ยน”
ฟลิ้ป
เธอดีดนิ้ว
ผมลืมตาขึ้นมาทันที ช่องว่างสีขาวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งหมดที่ผมเห็นคือ เพดานของรถม้านที่อยู่ตรงหน้าผม มันเป็นตอนกลางคืน
ผมยกท่อนบนขึ้นทันที ลาพิสนั้นหลับอย่างสันติอยู่อีกด้านหนึ่งของในตัวรถม้า มีเพียงเสียงหายใจของเธอที่ยังดังแผ่วๆอยู่ในความเงียบ
……นี่ผมพึ่งตื่นจากฝันอย่างนั้นหรือ?
มันเป็นความรู้สึกประหลาด ราวกับว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานแต่ขณะเดียวกันก็เหมือนผ่านไปแปปเดียว หัวผมโล่งเหมือนได้นอนฟื้นเต็มที่ ผมลุกขึ้นโดยอัตโนมัติแล้ว เปิดประตูรถม้าอย่างระวัง
“ยินดีต้อนรับ ดันทาเลี่ยน”
อยู่ตรงนั้นเอง ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม คือ ไพมอนในชุดดำ
ไม่ใช่แค่เธอคนเดียว แต่ยังมีผู้คนอีกมากมายยืนเรียงแถวด้านหลังเธอ ทั้งหมดต่างสวมชุดดำ พวกเธอต่างยืนอย่างเคร่งขรึมในความเงียบ จนดูเหมือนผมกำลังอยู่ในงานศพ
พวกเราอยู่ในซากปราสาท กองไฟนั้นดับสนิทแล้ว มีเพียงแสงซีดๆจากพระจันทร์เท่านั้นฉายลงมาที่ตัวเธอ
―ไพมอนได้จับชายชุดเดรสและแสดงความเคารพราวกับว่าเธอเป็นเลดี้แห่งปราสาทหลังนี้ผู้ข้ามเวลามา
“พวกเราคือ พันธมิตรแห่งการปลดแอก เป็นเพียงสมาพันธ์เดียวเท่านั้นแห่งโลกมนุษย์และโลกปีศาจ”
ทั่บ
กลุ่มคนทั้งหลายที่ยืนอยู่หลังไพมอนใช้มือขวานาบอกตนอย่างพร้อมเพรียง
“พวกเราเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตนั้นต่างเท่าเทียมกัน ดังนั้นพวกเราตัดสินใจเปลี่ยนโลกให้กลับสู่สถานะเดิม
พวกเราเป็นคู่หูที่ตัดสินใจว่า จะอุทิศเลือดและหยาดเหงื่อสู่การปฏิวัติเพื่อรอวันในคำทำนายที่จะมาถึง”
“…….”
ผมถึงกับงงเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า โดยเริ่มจากบุคคลทางขวามือผม พวกเขาเริ่มพูดตามคำสั่ง เสียงของพวกเขานั้นหลอมกลืนไปกับท้องฟ้ายามค่ำคืน
คนที่มีหนวดเป็นฝอยๆโค้งทักทายผม
“เป็นเกียรติยิ่งที่ได้พบท่าน ฝ่าบาท ผู้น้อยนี้มีนามว่า สเตฟาน ทิโมเฟเยวิช (Stephan Timofeyevich) เป็นเลือดผสมระหว่างเอลฟ์ที่ราบกับมนุษย์
ผมอยู่ในสาขาของพันธมิตรแห่งการปลดแอกในจักรวรรดิมอสโคว ผมทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดแห่งทหารม้าดอนคอสแส่ค(Don Cossacks Cavalry) ยินดีที่ได้พบท่าน”
ต่อไปก็เป็นคนแคระตัวล่ำหันมาพูด
“ผู้ต่ำต้อยผู้นี้ชื่อ แจ็ค บอนฮอมเม่(Jack Bonhomme) ข้ามาจากเผ่าคนแคระเคราะเขียว ข้าเป็นผู้จัดการสาขาในจักรวรรดิแฟร้งของพันธมิตรแห่งการปลดแปลก ข้าเป็นผู้นำหน่วยทหารรับจ้างขวานคู่ ข้าได้ยินเรื่องราวของฝ่าบาทมามาก”
“ยินดีขอรับ ผู้นี้ชื่อ วัท เทเล่อ!(Wat Tyler) ผู้นี้อยู่ในพันธมิตรแห่งการปลดแอกสาขาราชอาณาจักรเบอร์นิเซีย!”
พวกเขาแนะนำตัวต่อไปทีละคน ทีละคน
มอสโคว,แฟร้ง,เบอร์นิเซีย,บริทแทนนี่,แคสไทล์,ซาร์ดิเนีย,ฮับบวร์ก,ทิวทัน,คัลเมอร์,รัฐปกครองตนเอง โพลิช-ลิทัวร์เนีย, อนาโตเลีย และสุดท้าย เด็กสาวผู้มีผมบลอนด์หมองพูดขึ้น
“ผู้น้อยนี้มีนามว่า แอนนา เดอ บิส ฉันเป็นผู้จัดการทั่วไปของพันธมิตรแห่งการปลดแอก และยังเป็นผู้จัดการสาขาแห่งสาธารณรัฐบัตตาเวีย ฉันมีตำแหน่งต่ำสุดในที่นั่ง 13 สมาชิกประจำชาติ ฉันอยู่ในการดูแลของท่านแล้ว”
ทั้งหมด 12 คน พวกเขาทั้งหมดมีพื้นเพอยู่ในแต่ละชาติในทวีป หนึ่งในนั้นเป็นผู้นำของเผ่านอร์แมนดิกใหญ่ อีกคนก็เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในราชอาณาจักร และอีกคนก็เป็นตำแหน่งสำคัญในโครงสร้างของสาธารณรัฐ
“…….”
สาธารณรัฐที่ไพมอนพูดถึงนั้นใหญ่และฝังรากลึกไปในตำแหน่งสำคัญทุกสังคมยิ่งกว่าที่ผมคาดไว้ หากผู้คนพวกนี้ยอมทำตาม ก็ไม่ยากนักที่ทั้งทวีปจะตกอยู่ในความวุ่นวาย ผมแทบไม่มีอะไรจะพูดเมื่อจินตนาการถึงความสามารถของพวกเขา
ไพมอนเป็นบุคคลสุดท้ายที่พูดออกมา
“เลดี้ผู้นี้เป็นหัวหน้าของกองทัพแห่งการปลดแอก จอมมารลำดับ 9 ไพมอน”
ผมตอบกลับออกมาอย่างเรียบๆ
“ข้าคือ จอมมารลำดับ 71 ดันทาเลี่บน”
“ดันทาเลี่ยน ท่านจะสาบานได้หรือไม่ว่าจะไม่เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับพันธมิตรแห่งการปลดแอกแม้จะมีมีดมาจ่อคอ?”
มันไม่ใช่คำสาบานลอยๆอย่างง่ายๆ มันมีพันธะสัญญาเวทย์มนตร์ปรากฏด้วย นั่นคือสิ่งที่ไพมอนกำลังจ้องไปด้วยขณะที่พูด
หากผมเดินหน้าไปอีกก้าว ผมจะเข้าสู่โลกที่ผมไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนในเกม
ชิ้นส่วนของข้อมูลที่ผมมี มาจนถึงตอนนี้ไม่เพียงพอจะทำแบบนั้น ดังนั้น การเอาชีวิตรอดของผมนั้นจะขึ้นอยู่กับความสามารถของผมเท่านั้น
ขณะที่ยืนอยู่บนทางแยกนั่นเอง
“ใช่ ข้าขอสาบาน”
ผมตอบกลับไปอย่างแน่วแน่
ไพมอนยิ้ม
“นับจากนี้ท่านจะเป็นสหายตลอดกาลแห่ง พันธมิตรแห่งการปลดแอก ดันทาเลี่ยน ข้ายินดีต้อนรับท่าน”
เธอต้องเตรียมขวดไวน์และแก้วไวน์ไว้ก่อนแล้ว สีของไวน์ที่เป็นดั่งสีของเลือดได้เทลงในแก้ว ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้ดื่มอวยพรกับพวกเขา
ผมไม่อาจทำนายเหตุการณ์ในอนาคตได้อีกแล้ว
ผลกระทบของกาฬโรคนั้นน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรากลับเกิดขึ้นก่อนเวลานับสิบปี ความแตกต่างที่เกิดขึ้นในเกม กองทัพจอมมารนั้นกลับได้รับชัยชนะ
อลิซาเบธ ผู้ที่มีโชคชะตาที่ต้องได้เป็นยอดผู้ปกครองแห่งทวีป กลับโดนผลกระทบทางการเมืองฟาดเอาอย่างแรง ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นสูงกับชาวนากลับเลวร้ายลงทุกที
และยังมีผู้คนที่นี่ที่ยังปรารถนาการปฏิวัติ
“พวกเรามีมากมาย และพวกเรานั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน”
ไพมอนยกแก้วของเธอขึ้นราวกับจะเป็นผู้นำการเอวยพร ซึ่งถ้อยคำนั้นเป็นดั่งสโลแกนของพันธมิตรแห่งการปลดแอก
“แด่การปฏิวัติ”
ทุกคนต่างตะโกนพร้อมๆกัน
“แด่การปฏิวัติ!”
“แด่การปฏิวัติ―!”
รวมผมเข้าไปด้วย ไวน์ทั้งแก้วทั้ง 14 คนหมดเกลี้ยงในทันที พวกเราโยนแก้วทิ้งลงกับพื้นและมันก็แตกกระจาย รูปแบบที่มาจากกองทัพจอมมารก็ยังคงอยู่ในองค์กรนี้
เศษแก้วที่แตกกระจายส่องระยับสะท้อนกับแสงจันทร์
‘ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ราบหรือฝ่ายภูเขา ผมก็จะใช้งานพวกเขาทั้งหมด’
นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังจะทำ
และผมจะยังคงทำแบบนั้นต่อไป
* * *
รุ่งอรุณมาถึง
เหล่าสมาชิกของพันธมิตรแห่งการปลดแอกจากไปแล้ว
พวกเขาใช้เวทย์มนตร์เทเลพอร์ทกลับไปอยู่ในสถานที่ที่ควรอยู่ ไพมอนยังคงมอบถ้อยคำที่หนักหนาสำหรับผมในตอนสุดท้าย
“สาขาพันธมิตรแห่งการปลดแอกมิได้มีแต่ในโลกมนุษย์เท่านั้น”
“พวกเขาอยู่ในโลกปีศาจด้วยรึ หืม?”
“เลดี้ผู้นี้รู้ว่า ท่านน่ะเที่ยวไปหาอาร์คดยุคแห่งนรกแล้วพูดอะไรกับพวกเขานะ”
ไพมอนยิ้มอย่างยินดี พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ก็มีสาธารณรัฐนิยมอยู่ในหมู่อาร์คดยุคด้วยเช่นกัน
มันยากที่จะล่วงรู้ว่า อำนาจของไพมอนกับบาอัลนั้นจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ผมยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ภายในขณะที่มองไพมอนจากไป
ผมนั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่ขณะที่มองท้องฟ้า พระอาทิตย์ค่อยๆลอยขึ้น ขณะที่ผมผึ่งแดดยามเช้าที่แสนจะเซื่องหงอย ผมได้ยินเสียงมาจากด้านหลังผม
“……ท่านดันทาเลี่ยน”
ลาพิสนั่นเอง ผมหันกลับไปแล้วฉีกยิ้มให้ พอหันกลับมามองฟ้าอีกที ลาพิสก็มาอยู่ข้างผมอย่างเงียบๆ เธอก็มองไปที่เส้นขอบฟ้าด้วยเช่นกัน
ผมขอโทษด้วยที่เป็นเหตุให้เธอต้องเจอปัญหา ไม่สิ ผมควรจะเป็นคนที่ขอโทษด้วยซ้ำ การที่ผมไม่บาดเจ็บเพราะเธอคุ้มกันผมเนี่ยแหละ
……ลาพิสและผมต่างรู้ว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องพูดคำพูดอื่นใดนอกจากคำนั้น
คำพูดเพียงประโยคเดียว
“ขอบคุณนะ”
“ค่ะ ขอบคุณท่านมากค่ะ”
แค่เพียงคำขอบคุณให้กันก็เพียงพอแล้ว
เราสองคนต่างเฝ้าดูแสงแรกอรุณกันอย่างเงียบๆ