* * *
พวกเขาคงสังเกตเห็นแน่ๆว่า ความพยายามที่จะล่อพวกเราออกไปนั้นล้มเหลว ทหารจักรวรรดิจึงรีบจู่โจมตี
ต้องขอบคุณหน่วยสอดแนมของเรา ทำให้พวกเรารู้ว่า ทหารจักรวรรดิจะโจมตีตำแหน่งไหนได้อย่างแม่นยำ
ทุกหน่วยที่อยู่ปีกขวาจึงสามารถระดมกำลัง ณ จุดนั้น ทำให้สองกองทัพเข้าชนกันหลังจากนั้นเกือบชั่วโมง
ลอร่าและผมต่างจ้องมองสนามรบตรงหน้าเรา
“พวกเขามาหาเราตามรูปแบบเลยค่ะ”
“มันทรงพลังเพราะพวกเขายึดมั่นในรูปแบบนั่นแหละ”
การพุ่งเข้าครั้งแรกย่อมต้องเป็นทหารม้าอยู่แล้ว พวกเขานั้นตั้งใจจะจบการรบลงด้วยการส่งทหารเดินเท้าตามหลังทหารม้าที่เปิดฉากบุก
ทหารม้าที่ไร้ความกลัวได้พุ่งใส่ค่ายของพวกเราที่มีทั้งรั้วและเสาแหลมคุ้มกัน อย่างที่คิดไว้จริงๆ
ระลอกของทหารม้าที่ปรากฏตัวห่างออกไปเพียง 100 เมตร ก่อนจะพุ่งเข้าใส่เราในทันทีนั้นช่างโหดเหี้ยม
พวกเขาพุ่งเข้ามาราวกับรถถัง การชาร์จนั้นรุนแรงเสียจนเราต้องเสียแนวป้องกันแรกตั้งแต่การพุ่งครั้งแรก
“ไอ้หมูโง่! ยกหอกขึ้นสิวะ! ข้าบอกให้เอ็งยกหอกโว้ย! แกจะตื่นกลัวหาพระแสงอะไร!? ไหนล่ะที่โม้บอกว่าเอ็งจะขย้ำมนุษย์พวกนั้นไง!?”
นายทหารระดับล่างที่ตะโกนนั่น คือ มนุษย์กิ้งก่าที่กำลังเตะตูดออร์ค ออรค์บางส่วนทรุดล้มลง
พวกมันรีบปรับหมวกที่อยู่บนหัวแล้วคว้าหอกมา จอมมารอาจเป็นผู้ที่สั่งการพวกมันได้
แต่ไม่ได้หมายความว่า มอนสเตอร์จะไม่รู้จักความกลัวแล้วกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่กล้าหาญได้ทันที
“กรั่บบ,กุรับบ,กรั่บบบ!”
เหล่าออร์คต่างถือหอกไว้ในมือ ปกติแล้วหอกของมนุษย์นั้นจะยาวราวๆ 5 ถึง 6 เมตร แต่ ออร์คนั้นถือหอกที่ยาวกว่า 9 เมตร ก็เพราะพวกมันแข็งแรงกว่า
หอกที่ยาวเกือบ 10 เมตรนั้นเป็นเหมือนหนามของเม่น ด้วยเจ้าสิ่งนี้ หอกที่แข็งหนายิ่งกว่าหอกมนุษย์
ไม่สำคัญว่า ออร่าที่เหล่าอัศวินแผ่ออกมาจะมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีทางจะเข้ามาใกล้ป่าหนามพวกนี้ได้โดยง่ายอยู่ดี
“คิย่าาาาห์!”
แน่นอนว่า บางทีมันก็มีสัตว์ประหลาดที่รูปร่างเหมือนมนุษย์อยู่
ทหารม้านายหนึ่งแผ่ออร่าออกมาราวกับระเบิดแล้วทำลายหอกไปหกเจ็ดอันในการวาดดาบครั้งเดียว
ตอนนั้นก็เกิดช่องโหว่ขึ้นทันที
“ข้า เฟรเดอริคแห่งทัพม้าหมูป่า จะขอรับความดีความชอบนี้เอง!”
อัศวินนั้นตะโกนออกมาราวกับอยากจะเปิดงาน
ออเกอร์ที่รออยู่ด้านหลังก็บุกเข้ามาในทันที
เกร้ง หอกของอัศวินปะทะกับขวาของออเกอร์ ออเกอร์นั้นจงใจติดขวานยักษ์เป็นอาวุธเพื่อรับมือกับทหารม้า
อาวุธใดๆที่ไม่ใช่ขวานยักษ์โดยปกติแล้วจะถูกทำลายได้โดยออร่าของอัศวิน อัศวินนั้นหยุดชะงักไปชั่วครู่
และดูเหมือนนั่นจะเป็นเวลาที่มากเกินพอสำหรับพวกเรา
“กรรร กรุฮับ!”
ออร์คเดินเท้าที่รออยู่ในแนวป้องกันที่สองพุ่งเข้ามาพร้อมกันแล้วรุมแทงม้าที่อัศวินขี่อยู่
ทหารม้าในโลกนี้ขี่ม้าชนิดพิเศษที่มีสายเลือดของมอนสเตอร์ไหลเวียนอยู่ ดังนั้นม้าศึกของทหารม้าจึงค่อนข้างพิเศษ
แต่ถึงอย่างไรก็ดี ม้าก็ไม่อาจทนหอกแทงนับครั้งไม่ถ้วนได้ หอกพวกนั้นได้แทงทะลุต้นขาและเนื้อของมัน
– นะฮี้!
ม้าเกิดคลั่งอาละวาดขึ้นแล้วใช้หัวโขกออเกอร์ที่อยู่ตรงหน้ามัน
ม้าศึกนั้นมีขนาดใหญ่กว่าม้าทั่วไปถึงเท่าหนึ่ง แต่ถึงม้าจะมีขนาดเท่านั้นก็ยังทำได้แค่เพียงทำให้ออเกอร์เจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
นั่นเป็นการกระทำครั้งสุดท้ายที่น่าสิ้นหวัง
“เจ้าจงเป็นดั่งเหล็กกล้า! โนวาเอ โคเปีย!(Novae copiae)”
นักเวทย์ที่ยืนประจำตำแหน่งอยู่ห่างออกไประยะห่างเว้นช่วงได้วิ่งเข้าไปแล้วร่ายเวทย์อย่างรวดเร็ว
มันเป็นเวทย์ที่จะเพิ่มพลังการทะลวงของหอกชั่วคราว
หลังจากได้รับผลของเวทย์มนตร์ไป พลหอกออร์คก็แทงอีกครั้ง คราวนี้มันแทงทะลุทั้งอก ท้อง และยังมีบางส่วนที่แทงไปที่หัวม้า เลือดไหลทะลักออกมา
“อั่กก ครรร!”
อาจเพราะเขาเสริมความแกร่งของร่างกายด้วยออร่าหรือเปล่านะ?
เพราะขนาดโดนแทงเข้าไปที่อกและท้องด้วยหอกจังๆ ก็ยังคงสามารถยกดาบขึ้นตัดหอกได้
แม้จะยังมีแรงเหลืออยู่บ้าง แต่สุดท้ายอัศวินคนนั้นก็ตายทั้งที่ยังพยายามดิ้นรนขัดขืน
ออเกอร์เหวี่ยงขวานยักษ์ในขณะที่อัศวินกำลังวุ่นอยู่กับหอก
ใบขวานยักษ์นั้นฟาดหมวกเหล็กของอัศวิน รวมถึงหัวอย่างจัง สมองกระจายไปทั่ว
“ฮว้าาาาาาา!”
ออเกอร์คำรามออกมา เหมือนมันกำลังจะอวดว่า ตัวเองพิชิตเหยื่อที่แข็งแกร่งได้
พลหอกออร์คที่ตามหลังมาก็คำรามด้วยเช่นกัน
รูโหว่ที่เกิดขึ้นในแนวป้องกันแรก ได้รับการซ่อมแซมด้วยแนวป้องกันแนวที่สอง
กระบวนทัพของพวกเรานั้นยังหนาแน่นดี
อัศวินผู้ทรงเกียรติคนแรกที่เข้ามาหวังตีแนวป้องกันแรกนั้นได้จ่ายค่าตอบแทนที่แสนแพง
การชาร์จของทหารม้าครั้งแรกจบลงอย่างนั้น มีบางจุดบางตำแหน่งของกระบวนทัพที่ไม่ค่อยเสถียรเท่าไหร่
แต่โชคยังดีที่ไม่มีจุดไหนแตกพังเลย
พอพวกทหารม้าหันหัวม้ากลับไป มอนสเตอร์ก็ส่งเสียงร้องเชียร์ราวกับชนะแล้ว
“พวกเขายอมถอนตัวง่ายๆ ทั้งที่ตอนแรกชาร์จเข้าใส่เราอยากจริงจัง”
ผมยืนอยู่แนวป้องกันที่สี่เพื่อสังเกตการณ์สถานการณ์
เดธไน้ท์ของผมนั้นอยู่ในร่างวิญญาณอยู่ที่แนวป้องกันแรก มันยังไม่ถึงเวลาที่เดธไน้ท์จะเผยตัว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงไม่มีอะไรให้ทำ ที่ทำได้ก็มีแต่สวดอวยพรให้สหายศึกและเฝ้าดูพวกเขาอย่างนั้น
“นั่นเป็นแค่การบุกครั้งแรก การบุกนั้นแค่พุ่งเข้ามาทดสอบว่า พวกเราป้องกันกันอย่างไร การต่อสู้หลังจากนี้จะยิ่งรุนแรงขึ้นค่ะ นายท่าน”
ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับความเห็นที่ฉลาดเฉลียวของลอร่า เหตุผลว่าสองอย่างที่ว่า ทำไมพวกเราถึงป้องกันการพุ่งชาร์จได้สำเร็จ
อย่างแรกคือ พวกอัศวินทหารม้าแค่ตั้งใจจะทำสอบความแข็งแกร่งของเรา
และสอง เพราะพวกเรามีรั้วและไม้แหลมนับไม่ถ้วน
ทหารม้านั้นจำต้องลดความเร็วลงและถอนขวากหนาม หรือไม่ก็เลี่ยงให้พ้น ตรงจุดนั้นทำให้ลดความแรงในการพุ่งชาร์จเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ
“พวกแกทำอะไรกันอยู่วะ ไอ้ลูกหมา!? ทำไมพวกแกยังไม่วิ่งตามมันไปอีก!?”
“นี่แกตั้งใจจะนอนอู้แล้วดูพวกเราโดนฆ่ารึไง ห้ะ!?”
พวกทหารระดับล่างเตะก็อบลิน ก็อบลินที่แอบหลังออร์คทันทีที่ถูกทหารไล่กดดัน ก็อบลินร้อยตัววิ่งออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เครุรุรุรก!”
“เครุบ เคะฮุรุรุก!”
ก็อบลินวิ่งออกไปสามตัว หนึ่งในนั้นแบกเสาไม้ที่เหลาแหลมติดหลังไปด้วย หนึ่งในนั้นรับมาแล้วปักลงบนพื้น และอีกตัวก็ใช้ค้อนทุบฝังแท่งไม้ลงให้ลึกใต้ดิน
พวกก็อบลินนั้นเป็นดั่งทหารช่างในการรบครั้งนี้ เสียงติดตั้งเสาไม้นั้นดังไปทั่วทั้งสมรภูมิ ใช้เวลาไม่เกินนาที ก็มีเสาแหลมๆวางตั้งอยู่แนวหน้ามากมาย
หลังจากเสร็จงานแล้วพวกก็อบลินก็รีบกลับมาอย่างรวดเร็วเหมือนที่ออกไป ไม่สิ พวกมันกลับมาไวกว่าอีกแฮะ
“สุดยอดเลย”
ลอร่าถึงกับตะลึง
“การแบ่งงานนั้นสมบูรณ์แบบมาก ด้วยการใช้ก็อบลินติดตั้งเสาไม้ เพื่อทอนกำลังการชาร์จของทหารม้าศัตรู
พลหอกออร์คก็สู้ทหารม้ากลับไป ถ้าหากรูปขบวนแตกก็ยังคงมีออเกอร์คอยอยู่ข้างหลังที่พร้อมจะเข้ามาเพื่อสนับสนุน
และด้วยออเกอร์ที่อยู่ในแนวป้องกันที่สองก็จะเข้ามาโอบล้อมพวกเขาด้วย
ส่วนนักเวทย์ก็จะช่วยปิดงาน……นายพลเซปาร์นี้ช่างเปี่ยมไปพรสวรรค์”
“อื้มม เขาน่ะมีความชำนาญพิเศษเรื่องการป้องกันมากกว่าการโจมตีน่ะ”
ผมพูดพลางระลึกนึกย้อนถึงความทรงจำจากในเกม
จอมมารลำดับ 16 ลอร์ดเซปาร์ และ จอมมารลำดับ 13 เบเลธ ทั้งคู่ต่างเป็นคู่ขั้วตรงกันข้าม
หากเบเลธนั้นมีพละกำลังมหาศาล เซปาร์ก็เป็นนักกลยุทธที่มีความชำนาญในการตั้งรับเป็นอย่างมาก จากที่ผมบอกไปนี่แหละเป็นเหตุผลง่ายๆที่ว่า ทำไมเซปาร์ถึงเป็นจอมมารระดับสูง
นั่นก็เพราะปราสาทจอมมารของเขานี่มันพิชิตยากนรกเลย
ปกติแล้วมันจะมีลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นสำหรับจอมมารลำดับสูงๆ มันเป็นความจริงที่ว่า จอมมารทั้งหลายนั้นต่างมีชนิดของมอนสเตอร์ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษอยู่
ยกตัวอย่างก็เช่น บาร์บาทอสนั้นจะมีแต่อันเดดมอนสเตอร์อยู่ในปราสาทจอมมารของเธอ
นั่นคือ สาเหตุที่ว่า ทำไมจึงยากที่จะปราบบอส อย่างบาร์บาทอส
ในขณะที่การทะลวงผ่านปราสาทของเธอนั้นช่างง่าย
แค่คุณพานักบุญไปด้วยคนหนึ่งก็ได้ผลดีอย่างมากกับพวกอันเดดมอนสเตอร์แล้ว
ใน <Dungeon Attack> นั้น หากคุณเข้าใจบุคลิกลักษณะเฉพาะของจอมมารได้คุณก็จะวางแผนและเผชิญหน้าได้สบาย
แต่ถึงอย่างนั้น เซปาร์น่ะไม่มีมอนสเตอร์ชนิดที่เขาชอบเป็นพิเศษ
และเขายังเป็นจอมมารระดับสูงกว่า 20 คนเดียวที่ยังคงใช้ทหารออร์ค
ในขณะที่จอมมารตนอื่นนั้นพยายามรักษาหน้ารักษาตาตัวเองด้วยการสร้างหน่วยมอนสเตอร์ที่อย่างน้อยๆก็ต้องเหนือกว่าออร์คถึง 2 แร๊งค์
แต่เซปาร์น่ะมีแม้กระทั้งก็อบลิน!
ใช่ F แร๊งค์ ก็อบลินนั่นแหละ
ไม่ว่าจะออร์คหรือก็อบลิน เซปาร์นั้นสามารถดึงศักยภาพของพวกมันออกมาได้สูงสุด
ซึ่งผลที่ได้คือ การสร้างป้อมปราการจอมมารที่ไม่มีวันเจาะเข้า
จากมุมมองผู้เล่นแล้ว เขาช่างเป็นศัตรูที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นที่สุด เหตุผลอะไรล่ะที่ทำให้ผู้เล่นนั้นได้เปรียบNPC ในเกม RPGs?
ก็ต้องเป็นเพราะผู้เล่นนั้นใช้ความได้เปรียบชนิดน่ะสิ
ผู้เล่นหรือเพลเย่อนั้นสามารถใช้สกิลไฟได้ถ้าสไลม์โผล่มา และก็สามารถใช้น้ำใส่ได้ ถ้าซาลามานเดอร์เพลิงโผล่มา
ว่าง่ายๆ NPCนั้นสามารถทำได้เพียงการใช้สกิลที่มีตามเผ่าและตามธาตุเท่านั้น ผู้เล่นจึงสามารถใช้ความได้เปรียบนั่นอย่างขาดลอย
แต่ด้วยการที่เอามอนสเตอร์ที่เหมาะสมมาผสานสร้างทีมกัน เซปาร์จึงสามารถทำให้ความได้เปรียบทางธาตุของเพลเย่อนั้นไม่มีผล แล้วทีนี้คุณจะทำอะไรได้ล่ะ?
เพลเย่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเค้นสมองตัวเองเพื่อหาทางวางแผนกลยุทธสู้กับเขาในทุกการศึก หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องฟาร์มเลเวลให้มากพอจนเกินเลเวลของมอนสเตอร์
เอาล่ะ ถ้ามองจากมุมอื่นในการกำจัดเซปาร์ที่เป็นบอสนั้น ง่ายกว่าการบุกปราสาทเขาเสียอีก…….
“นั่น พวกทหารม้ากลับมาแล้ว”
ลอร่าชี้ไปที่พื้นที่ตรงหน้าพวกเรา
“ดูพวกเขาจะงงกับการที่มีเสาใหม่โผล่ขึ้นมา ทั้งที่ตอนแรกยังไม่มี”
เธอพูดถูก
ทหารม้านั้นพุ่งเข้ามาอย่างกล้าหาญ แล้วพยายามที่ผ่านตรงนั้น ตรงนี้ไป แต่ถึงอย่างนั้นก็เพราะเสาไม้นี่แหละ ที่ทำให้พวกเขาต้องไปหาระยะพุ่งตัวที่ไกลออกไป
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า หากเขาจะพุ่งเข้ามาก็เข้ามาได้เพียงแค่คนหรือสองคนเท่านั้นเพื่อเปิดทาง
ผลลัพธ์จึงชัดเจน ออเกอร์ก็เข้ามาโดยด่วน มาสนับสนุนแนวป้องกันที่สอง ที่มีทั้งพลหอกที่ได้รับการเสริมพลังจากนักเวทย์
เหตุการณ์เดิมที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้าวนซ้ำมาอีกครั้ง
ไม่ใช่แค่นั้น ในระหว่างการชาร์จครั้งแรกของทหารม้า ออร์คได้ปาหอกจาเวลิน ก็อบลินยิงหนังสติ้กยิงหินใส่ในช่วงที่พวกมันกำลังยืนรอ
แต่ตอนนั้นพวกอัศวินถอยออกไปก่อน
คราวนี้อัศวินที่มีออร่าล้อมรอบก็ฟันหอกที่พุ่งเข้ามาตรงหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถสะท้อนสิ่งที่ยิงมาจากมุดอับสายตา
มีหอกบางส่วนปักเข้าที่ม้าศึก ม้าศึกที่มีฝีเท้าที่ทรงพลังก็ได้เสียสมดุลในชั่วพริบตา ทำให้อัศวินบนหลังม้าร่วงลงมา อัศวินที่รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงอันเนื่องจากความเร็วอันน่ากลัวของม้าเพิ่มไปอีก
ผมจึงเป็นพยานที่ยืนดูอัศวิน 6 คน ตายหรือไม่ก็บาดเจ็บหนักจากการตกจากม้า อ้อ
แต่มีอัศวินอยู่คนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้ววิ่งกลับไปทางเดิมที่มา
ผมได้แต่งงขณะที่จับตาดูเขามาโดยตลอดจนกระทั่งหายเข้าไปในสายหมอก นี่ร่างกายของหมอนั่นทำมาจากเหล็กเหรอวะ……?
ปีกขวาของกองทัพภาค 6 ยังคงต้านการพุ่งชาร์จเข้ามาครั้งที่ 2 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
กำลังใจของทหารฝ่ายเราพุ่งขึ้นแตะขอบฟ้า ผมมองเห็นได้เพียงระยะ 100 เมตรเพราะหมอก
แต่ก็บอกได้เช่นกันว่า เสียงเชียร์รอบตัวเรานั้นดังกระหึ่ม น
ายช่างก็อบลินนั้นคึกคักเต็มที่จึงพุ่งเข้าไป วางเสาไม้อีกครั้ง
วงดนตรีของทหารต่างเล่นเพลง พวกมันเล่นเพลงที่ไม่น่าฟังที่ประกอบด้วยแตร ฆ้อง และอื่นๆ แต่มันก็คงจะเป็นเพลงสดุดีของเหล่ามอนสเตอร์อย่างออเกอร์ ออร์ค ก็อบลินและมนุษย์กิ้งก่า รวมถึงมนุษย์สัตว์นั่นแหละ
พวกมันต่างเหยียบกระทืบเท้าไปกับจังหวะ
พวกมันต่างตัว ต่างร้องเพลงสดดีที่สืบต่อกันมาตามสายเลือดหรือหมู่บ้าน มันเป็นการร้องประสานเสียงที่ประหลาดและหนวกหู
การบุกครั้งที่สามจาก กองทัพจักรวรรดินั้นไม่ใช้การที่ใช้ทหารม้าชาร์จเข้ามาอีกแล้ว
หากแต่เป็นพลธนูบนหลังม้าที่มาอีกรอบ
พวกเขาก็คือ หน่วยที่ผมกำจัดไม่ได้แล้วปล่อยให้รอด
พวกเขายิงธนูมาจากที่ไกลๆ แล้วถอย ทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ก่อนหน้านี้รั้วไม้ถูกทำลายลงด้วยทหารม้า จากนั้นมอนสเตอร์จึงเผยตัวออกมาแล้วถูกลูกธนูยิง
ผมเดาะลิ้น
“ให้ตายเถอะ หรือเราต้องใช้เดธไน้ท์อีกแล้ว?”
“ไม่ค่ะ นายท่าน ดูตรงนั้นค่ะ”
กลยุทธพลธนูบนหลังม้าที่ดูประสบความสำเร็จกลับโดนตีตกในทันที สถานการณ์มันผิดไปจากเมื่อหลายชั่วโมงที่แล้ว
ในตอนนั้นทัพจอมมารกระจายตัวกันหลวมๆ แต่ตอนนี้พวกเรารวมกลุ่มกันแล้ว แถมพวกเรายังมีออเกอร์และนักเวทย์ประจำตำแหน่งด้วย
นักเวทย์นั้นร่ายเวทย์แสงเพื่อขยายทัศนวิสัยของพวกเรา และแสดงตำแหน่งของพลทหารบนหลังม้า
ตอนนั้นเองท่านลอร์ดแห่งภูเขาไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้เสียไปเปล่าๆ
“ครุอาาาาา!”
ออเกอร์คว้าจาเวลินปาใส่พลธนูบนหลังม้า หอกที่เขวี้ยงไปนั้นเป็นเหมือนกระสุนและปักที่พลธนูราวกับไม้เสียบ
ความเร็วมันไม่ลดลงเลยด้วยซ้ำแถมยังพุ่งไปในอากาศต่อด้วยศพที่แนบติดไปด้วย
ฉากที่เกิดขึ้นทั้งหมดในสมรภูมินั้นส่งผลให้สุดท้ายแล้วพลธนูบนหลังม้าก็ทนรับความพ่ายแพ้ไม่ไหว และหนีหางจุกตูดไป
เสียงคำรามของออเกอร์ดังก้องไปทั่วทั้งสนามรบ
Ο
Ο
Ο
Ο
บันทึกนักเขียน :
สิ่งที่ดันทาเลี่ยนไม่รู้
Q. ทำไมเซปาร์ถึงใช้มอนสเตอร์ที่พิเศษเฉพาะบางแบบนั้นทั้งที่เป็นจอมมาร?
A. ในบทที่ 85 มีบทพูดที่บาร์บาทอสจงใจแหย่เย้าเซปาร์เล่น
“ข้าถึงบอกไงว่า เขาน่ะเป็นไอ้ปัญญาอ่อนที่เท่ เคะเคะ!
แม้จะเท่แค่ไหน แต่ปัญญาอ่อนก็คือ ปัญญาอ่อน ก็ยับเละเทะน่ะสิ นี่แกรู้ไหม? เขาทุ่มกำลังทหารทั้งหมดเพื่อสู้เลยนะ แม้ตอนนี้จะมีออเกอร์เหลือแค่ 20 ตัว โอ้ ลำดับ 16เพื่อนเรากลับมีออเกอร์เพียง 20 ตัว!”
ในช่วงระดมทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราครั้งที่ 6 ตอนนั้นเขาพึ่งได้เป็นจอมมารใหม่ๆได้ดำเนินกลยุทธผิดพลาดครั้งใหญ่
เขาได้พุ่งใส่ ทหารหลวงของราชอาณาจักร บริทแทนนี่ <ทหารม้ากุหลาบเขียว> <Green Rose Calvary> ที่รู้จักกันว่า เป็นทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป
ไม่ว่าทหารม้าจะแข็งแกร่งเพียงใดก็เทียบไม่ได้กับออเกอร์หรอก! จอมมารหนุ่มคิดอย่างนั้น แล้วสั่งให้ทหารของตนพุ่งเข้าไปทันที
ก็อย่างที่บาร์บาทอสพูดนั่นแหละ ผลลัพธ์คือ ความฉิบหายโดยแท้ พวกเขาโดนอัศวินขี่ม้าศึกผู้ใช้ออร่าที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดมอนสเตอร์จัดการ
‘อย่าสู้กับทหารม้าในสมรภูมิเปิดโล่งเป็นอันขาด’ ไม่เพียงแต่เซปาร์ได้รับบทเรียนนี้ แต่ชื่อของเขายังคงมีรอยด่างเป็นตัวอย่างอยู่ในประวัติศาสตร์ทางการทหารด้วย
เซปาร์จึงค่อยๆกลับมาฟื้นฟูกองกำลังหลังจากเหตุการณ์นั้น ด้วยการรวบรวมมอนสเตอร์ตัวไหนก็ได้เท่าที่จะหาได้ในมือเพื่อปกป้องปราสาทจอมมารของเขา
พอเป็นอย่างนั้นก็เลยเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเซปาร์จึงเป็นอัจฉริยะในการรบเชิงป้องกัน นั่นก็เพราะเขาเสียมอนสเตอร์ระดับสูงอย่างออเกอร์ไปจนหมด ( . . . )
พวกเขาถึงบอกกันไงว่า ความพ่ายแพ้เป็นแม่ของชัยชนะ ก็นับว่างดงามดีไม่ใช่หรือ?
Ο
MANGA DISCUSSION