บทที่ 345 -ใจกลางจักรวรรดิ(5)
ม่านบรรยากาศแห่งความอึดอัดใจเข้าครอบงำพวกเรา
ทหารรอบข้างเรายังคงเดินเท้าต่อไป
ผมและมาร์บาสยังคงนิ่งตรึงราวกับหินสองก้อนริมแม่น้ำ
“อ่าอืมม ”
ด้วยเหตุผลบางประการ แทนที่เขาจะมองตรงมายังผม มาร์บาสกลับมองผมด้วยหางตา
ทั้งมุมมองและแววตาส่อเจตนาชัดเลยว่า เขากำลังรอคำตอบจากผม
ราวกับเขากำลังรอคอยคำตอบจากอีกฝ่าย หลังจากที่โยนคำถามตูมลงไปในทันที
ดวงตาผมเราสบตากันแล้วก็มองออกไปทางอื่นแบบนั้นหลายต่อหลายครั้ง
หลังจากนั้นกลับยิ่งกระอักกระอ่วนยิ่งขึ้น มันทั้งให้ความรู้สึก ……ที่ชวนนุ่มฟู……และจั้กจี้หัวใจ
เดี๋ยวก่อน
เดี๋ยวก่อนสิ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย? บรรยากาศที่คืบคลานขึ้นไขสันหลังผม แล้วเปลี่ยนโลกใบนี้เป็นสีชมพู !?
มาร์บาส ทำไมท่านถึงมองผมด้วยแววตาแบบนั้นกัน ? แน่ะ ยังคงมองผมอยู่อีก
ไม่นะ หยุดมองผมเลยนะ…….ฝ่าบาทครับ? ฮัลโหล ? มิสเตอร์สูงวัยผู้ชั่วร้าย ? เซบาสโตคราเตอร์……?
กรณีที่เลวร้ายที่สุดอยู่ๆก็โผล่ขึ้นมาในหัว
ค่าความชอบของมาร์บาสปัจจุบันนี้อยู่ที่ 50 และ……เพราะมันไปถึง 50……
แทนที่จะมีแค่รู้สึกดีๆกับเรื่องนั้น ผมกลับรู้สึกแปลกๆแทน …….
ยุคสมัยนี้ก็มีคนที่เอาเด็กหนุ่มคู่ขาคู่รักของตัวเองอยู่ในฐานะลูกเลี้ยง …….
‘ไม่มีทางน่า!’
มีอะไรกรีดร้องขึ้นในหัวผม
ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน ที่ผมติดนิสัย คิดเรื่องอะไรแบบนั้นโดยไม่ขึ้นกับสถานการณ์
ตัวตนที่เหลืออยู่ของผมกลับโดนดูดเข้าไปอยู่ในห้วงพายุแห่งความสับสน
เศษเสี้ยวหนึ่งของอัตตาผมพยายามโต้แย้งถึงสถานการณ์ปัจจุบัน
‘ใครจะไปคิดว่า การกลายมาเป็นลูกบุญธรรมของเขา จะเป็นการปลดล็อคค่าความชอบของเขา ?’
‘นี่เป็นจุดบอดที่ลืมไป’
‘หากสามารถที่จะจีบมาร์บาส บาร์บาทอสและไพมอนได้ด้วย คราวนี้เราก็เหมือนกับได้ถึงมงกุฏราชาถึงสามตำแหน่งสูงสุดมาครอง ’
เศษเสี้ยวความคิดของผมล้วนแล้วแต่เป็นขยะทั้งนั้น
อันที่จริงแล้วมันสมควรกว่าด้วยซ้ำที่จะยกตำแหน่งรักษาการณ์แห่งจักรวรรดิให้สิตริด้วยซ้ำ แทนที่จะมานั่งถกเถียงกับอะไรในหัวตัวเองแบบนี้
“…….”
“…….”
แต่วินาทีที่ผ่านไปยิ่งทำให้บรรยากาศรอบข้างเราแปลกขึ้นทุกที
ทั้งความรู้สึกเขินอายและสับสนผสมปนเปกันไปราวกับเป็นค็อคเทลทำเอาผมทำไม่ไหวอีกต่อไป
บรรยากาศแบบนี้มันสุดจะเป็นพิษทางอารมณ์สำหรับผมเลยล่ะ ! ผมล่ะโคตรเกลียดเลย จะบอกว่า รังเกียจมันก็ไม่ผิดนักหรอก
การที่ยื้อสถานการณ์ตอนนี้ออกไปให้นานขึ้นมันน่าเกลียดน่าดู
ต่อให้ใช้หน้าที่หนาถึง 3 ซม.ของผมถากทนไปก็เถอะ ผมจึงตั้งสติก่อนพูดออกไป
“ที่-ที่บอกว่า ให้เป็นลูกบุญธรรมของท่านหมายความว่าอย่างไรครับ, ท่านมาร์บาส ?”
— แทนที่ผมจะตอบกลับไปแบบสุขุม ผมกลับติดอ่างนิดๆแทน
ก็กระแสอารมณ์มันไม่ช่วยให้ใจเย็นลงได้เลย ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นป๊อบคอร์ดที่อยู่ในหม้อด้วยซ้ำ
ผมพลาดแล้วล่ะ ผมทำพังละ เหมือนตอนที่ผมไปนัดบอดกับสาวสมัย ม.ปลาย แล้วก็มีปัญหาในการพูดกับสาวๆ หายนะไม่สิ นี่มันภัยพิบัติชัดๆ
(TTL : ภัยพิบัติ ระดับหมอลำ! )
“ไม่มีอะไรที่เป็นการเข้าใจผิด ข้ากำลังให้เจ้ามาเป็นบุตรบุญธรรมของข้า”
“ต้องขอประทานอภัยด้วย, แต่คือ……ตะตัวข้านี่แก่เกินกว่าจะไปเป็นลูกของใคร ”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญเลย ”
มาร์บาสยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ดันทาเลี่ยน ตัวของเจ้าต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ณ ที่นี่ ”
“…….”
การพูดเหมือนสารภาพรักออกมาแบบนี้มันก่อปัญหากับผมนะเออ !
ผมทำปากพะงาบราวกับปลาขาดน้ำ ตอนนี้ผมไม่ได้หน้าแดงอย่างเดียวเท่านั้นหากแต่ยังไม่รู้จะพูดอะไรออกมาด้วย
ผมควรจะปล่อยให้ลิ้นสาลิกาผมทำงานเองแล้วล่ะ
“โอ้, ข้าเชื่อว่า เรื่องการผูกสัมพันธ์กันในฐานะพ่อแม่ กับ ลูกนั้นควรจะมีได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายรู้จักกันดีแล้วมิใช่หรือ ?
ข้ากลับรู้สึกว่า เรื่องนั้นไปเร็วไปสำหรับตัวข้าและฝ่าบาท ”
“ได้ยินแล้วน่าท้อใจนัก ”
น้ำเสียงมาร์บาสฟังดูผิดหวัง
“ข้าคิดว่า เราสองนั้นจริงใจต่อกันจนก้าวข้ามเรื่องอายุและฐานะไปแล้วมิใช่หรนือ
แล้วเมื่้อเป็นเช่นนั้นเหตุใดเราจึงไม่ทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ?”
“อ้าา ……จะว่าไปแล้ว…….ข้าว่า……ท่านก็พูดถูก”
อย่าไปตามน้ำเห็นด้วยสิฟะ เจ้าโง่!
อยู่ๆผมดันพูดติดๆขัดๆขึ้นมาเหมือนสาวน้อยแรกแย้มเสียอย่างนั้น โอ้ พระเจ้า
ถ้อยคำที่พูดจากมาจากปากตัวเอง ผมยังแทบไม่เชื่อหูตัวเองด้วยซ้ำ ผมผู้ซึ่งล้อเล่นกับหัวใจของจอมมารหญิงทั้งหลาย แม้แต่สิตริก็ยังตกเป็นของผมด้วย ……แต่ผมกลับต้องมาสะดุดให้กับเพศเดียวกันตรงหน้าผมเนี่ยนะ …….
บุคคลที่อายุมากกว่าผม…… ไม่ใช่แค่นับสิบปีหากแต่เป็นนับร้อยปีเลย!
“ดันทาเลี่ยน ”
มาร์บาสเอาหน้าตัวเองเข้ามาใกล้ผม ทำเอาผมลืมตาโตตกใจจนเกือบร้องเสียงหลงออกมา
“ค-ครับ?”
“ข้าได้เคยให้สัตย์สาบานกบตัวเองไว้ว่า ถึงข้าจะโกหกผู้อื่นแต่ข้าจะไม่โกหกตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ ความคิด และความรู้สึก
ตัวข้าผู้นี้,มาร์บาส ขอสาบานต่อนามของข้าว่า เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?”
ผมได้ยินเสียงต่ำทุ่มมาจากทางขวาข้างจมูก
ในดวงตาสีเทาคู่นั้นไม่มีสิ่งใดอยู่เลยนอกจากความจริงจัง
นะ นี่น่ะหรือคือเสน่ห์ของชายวัยกลางคนที่ยังรักษาความนิยมในหมู่สาวๆได้ในโลกปีศาจไม่เปลี่ยนแปลงเลย ในช่วงพันปีที่ผ่านมา ?
ผมเคยได้ยินเหมือนกันว่า เขานั้นได้รับการสนับสนุนจากเหล่าเลดี้ที่ทั้งสาวทั้งแก่ แม้แต่กับผู้ชายด้วยกัน
ผมคิดว่า เริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไม …….
ผมแน่ใจเลยว่า เขาตัดเล็มทั้งขนตาและหนวดในทุกวัน
ทั้งขนตาและหนวดมีความยาวที่เหมาะสม มุมดี
รอยย่นบนใบหน้าของเขาดูเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้แค่เป็นริ้วรอยแห่งความสูงวัยหายแต่ ยังเป็นร่องรอยสลักเสลาของอารมณ์ต่างๆมากมาย
ใช่แล้วล่ะ ร่องย่นพวกนั้นมันลึก
แม้แต่กลิ่นก็ยังอ่อนโยนชวนให้สบายใจ …….
‘ไม่ เลิกคิดเรื่องนั้นไปแล้ว !’
ผมพยายามดึงสติตัวเองกลับมา เฮ้ย สติสติ !
ผมชอบผู้หญิงนะ ร้อยเปอร์เซ็นเต็มเลย
ไม่ว่ายังไงผมก็เลือกผู้หญิง ! เอ่อ สิตริเป็นข้อยกเว้นนะ ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่อยากกอดผู้ชายคนไหน !
“ฝะ-ฝ่าบาท ”
“ข้าเชื่อในเจ้านะ จริงๆแล้วไม่ได้เกี่ยวหรอกว่า เจ้าเชื่อข้าหรือไม่ —”
มาร์บาสมองผมด้วยแววตาลุ่มลึก
หากตอนนี้ ผมปฏิเสธมาร์บาส ค่าความชอบของเขาที่มีต่อผมต้องต่ำเตี่ยเรี่ยดินแน่ๆ ความมีอิทธิพลที่ผมมีต่อฝ่ายเป็นกลางย่อมลดลงฮวบฮาบ เรื่องนั้นผมยังพอทนไหว
ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งไม่สิ ในฐานะจอมมาร ผมต้องปกป้องสิ่งล้ำค่าของตัวเอง …….
ผมถึงกับกลืนน้ำลายเอื้อก
แค่พูดขอโทษออกมาน่า ดันทาเลี่ยน
กล้าๆมั่นๆหน่อย แกต้องป้องกันปัญหา ในอนาคตไม่ให้มันเกิดขึ้น
บอกเขาไปสิ ว่า แกน่ะไม่อาจรับความรู้สึกนั้นได้
“ตะ-ต้องขอประทานอภัยด้วย , แต่ข้าน่ะ—!”
“—เจ้าน่ะเป็นผู้ที่ถูกกำหนดว่าแล้วว่า ต้องเป็นจักรพรรดิ์แห่งฮับบวร์กองค์ต่อไป ”
…….
ชั่วขณะแห่งความเงียบสนิท
ผมกระพริบตาหลายต่อหลายครั้ง
“……หะหาา? จักรพรรดิ ?”
“อย่างที่เจ้าก็ทราบดี ข้านั้นเป็นบิดาบุญธรรมขององค์จักรพรรดิ ดังนั้นต่อสาธารณะเองข้าก็เป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์
ตั้งแต่ตอนที่คอลซูลทิ้งนามสกุลของตัวเองไปแล้ว หากไม่นับรูดอล์ฟ ตอนนี้ข้าเป็นคนในราชวงศ์เพียงคนเดียว ”
ทีแรกผมไม่เข้าใจเลยว่า มาร์บาสพูดถึงอะไรอยู่ มันเหมือนกับถ้อยคำของมาร์บาสกำลังกระทุ้งหัวกระโหลกผมอยู่
เพียงไม่นานสมองผมก็หลุดพ้นจากหมอกหนาที่ห้อมล้อมความนึกคิดได้
“ดันทาเลี่ยน,ข้าจะให้เจ้าเป็นบุตรชายบุญธรรมของข้า แล้วเจ้าจะได้เป็นรัชทายาท ผู้สืบทอดราชบัลลังค์คนต่อไป ”
“อะ-โอ้, แบบนี้นี่เอง ทำไมท่านถึงได้ถามข้าแบบนั้น …….”
พูดอีกอย่างก็คือ มาร์บาสวางแผนการณ์ไว้แล้ว
ณ ตอนนี้ยังไม่มีผู้สืบทอดราชบัลลังค์ที่ประกาศต่อสาธารณะ
เป้นธรรมดาที่พวกเชื้อพระวงศ์จะถูกกวาดล้างไปจนเกลี้ยงก่อนแล้ว ดังนั้นหากผมกลายเป็นบุตรบุญธรรมของมาร์บาส อย่างน้อยๆผมก็ได้รับสิทธิ์ในการขึ้นครองบัลลังค์
ผมถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เฮ่ออออ สุดท้ายข้าก็เข้าใจผิดไปเอง ”
“หืมม? นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”
“ไม่มีอะไรครับ ”
ผมขุดหลุมฝังตัวเองลงหลุมด้วยความเข้าใจผิดซะแล้ว
ผมรีบจัดเรียงสถานการณ์ในหัวทันที ณ เวลานี้ ผมควรจะปรับสีหน้าเสียก่อน
“ฝ่าบาท , นั่นเป็นแผนการที่น่าสนใจมาก ; แต่อย่างไรก็ดี มนุษย์คงไม่นั่งเฉยให้จอมมารรับบัลลังค์ของจักรวรรดิไปโดยง่าย ”
“มันจะไม่เป็นปัญหาหากเจ้ารับบัลลังค์ในฐานะจักรพรรดิร่วม ”
มาร์บาสตอบผมในทันที
“เจ้าก็แค่แต่งงานกับลูกสาวคนเด่นดังสักคนหนึ่ง
มงกุฏของนางในฐานะจักรพรรดินี เจ้าเองก็กลายเป็นพระสวามีของนาง
ภรรยาของเจ้าก็จะเป็นจักรพรรดินีแต่ในนาม ”
“……!”
ผมเข้าใจแล้ว มีอีกหนทางก็คือ การเป็นพระสวามีของจักรพรรดินีนี่เอง
ผมสามารถไปเอาเจ้าหญิงจากประเทศไหนก็ได้ที่มีฐานะในเกณฑ์ดี
มีมากมายหลายชาติที่อยากสร้างความสัมพันธ์กับจักรวรรดิ ณ ตอนนี้
หลังจากได้ตัวเจ้าหญิงมาแล้ว บาร์บาทอสเองก็สามารถใช้เวทย์ขอนางล้างสมองเจ้าหญิงเปลี่ยนให้กลายเป็นจักรพรรดินีหุ่นเชิดได้โดยสมบูรณ์
ฟันเฟืองในหัวผมหมุนเร็วจี๋ เพียงไม่ถึงนาทีผมก็ตอบกลับไป
“นี่มัน ……เป็นไปได้ ใช่แล้วล่ะ, มันเป็นไปได้อย่างแน่นอน ”
“เจ้าน่ะ ได้รับความไว้ใจจากทั้งสามฝ่ายในกองทัพจอมมาร
อาจมีคนวิจารณ์เจ้าที่ขึ้นครองบัลลังค์ , แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรเกินกว่าเลยไปกว่านั้นได้ ”
แล้ว รูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวร์ก ก็จะตายตามกาลเวลา พวกเราก็เลิกควบคุมศพเขา
ผมบอกไปแล้วว่า พวกเราควรจะรอจนกว่า อลิซาเบธและบาโธรี่แก่ตายไป , แต่ก็เช่นเดียวกันกับพกเรา
หากจักรพรรดิรูดอล์ฟไม่ได้ป่วยตายไปตามปรกติ มีหวังผู้คนได้สงสัยเราแน่
ปัญหาก็จะเกิดขึ้นก็ที่ว่า เราจะดันใครขึ้นบัลลังค์
มันจะเป็นปัญหาว่า ใครกันระหว่าง บาร์บาทอส,ไพมอน หรือมาร์บาส ที่ครองบัลลังค์
และนั่นก็เห็นได้ชัดเลยว่า จะเป็นเหตุก่อให้เกิดความแตกแยก
เวสซาโก้กับกามิกินเองไม่ต้องพูดถึงเลยล่ะ ทั้งคู่ไม่มีความสามารถในการรักษาสมดุลในกองทัพจอมมาร …….
“ดันทาเลี่ยน,มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้นคู่เหมาะสมต่อการครองบัลลังค์ ”
นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมมาร์บาสถึงเลือกผมเป็นตัวสำรองเผื่อไว้
ผมนั้นได้รับความไว้วางใจพอสมควรจากทั้งสามฝ่ายและ ยิ่งไปกว่านั้นผมเป็นที่รักของหัวหน้าฝ่ายทั้งสามด้วย
ผมอยู่ในตำแหน่งที่รักษาสมดุลปลอดภัยให้กับจักรวรรดิ
มันเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก นี่เป็นอนาคตที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าที่ต่างไปจากที่ผมวางแผนเอาไว้
เดิมผมวางแผนที่จะควบคุมแต่ละฝักฝ่ายด้วยการซ่อนพรางอยู่ในเงามืดของจักรวรรดิ
หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง มาร์บาสกำลังแย้งว่า ผมควรจะก้าวออกมาข้างหน้าได้แล้ว
มันเป็นขั้วตรงข้ามกันทั้งสองเส้นทาง
ผู้ปกครองที่ในเงามืด หรือจักรพรรดิแห่งปวงประชา?
เส้นทางแห่งความมืด หรื เส้นทางแห่งความสว่าง …….
“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยพูดว่า กลุ่มฝูงที่ไม่มีระบบ คอยประคองสนับสนุนก็ต้องพังทลายลง
ดันทาเลี่ยน, การมีผู้สืบทอดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในจักรวรรดิ
จักรวรรดิที่ไร้ผู้สืบทอดราชบัลลังค์ไม่ต่างจากปราสาททราย ”
“…….”
ที่เขาพูดก็ไม่ได้ผิดอะไร หลังจากรูดอล์ฟสิ้นไปแล้ว จักรวรรดิจะเป็นอย่างไรต่อไป ?
นั่นเป็นเรื่องที่ผมยังไม่ได้ไตร่ตรอง…….
“……ฝ่าบาท , ข้าน่ะ—.”
“ข้าเข้าใจดีว่า นี่เป็นคำขอที่หุนหันพลันแล่น ”
มาร์บาสพยักหน้า
“เจ้ามีเวลาไปคิดทบทวนเรื่องนี้
จะใช้เวลาสักปีหรือสิบปีก็ได้
ถึงอย่างไรเสียเราก็มีเวลาอยู่เยอะ ”
มาร์บาสชักบังเหียน
ม้าของเขาร้องฮี้เบาๆก่อนจะย่ำเท้าไปด้านหน้า
ผมขี่ม้าตามหลังเขาไปช้าๆ
“แต่จงจำไว้ให้ขึ้นใจว่าเวลาที่เรามีนั้นมิใช่ชั่วกาลนาน ,ดันทาเลี่ยน
มีเพียงผู้วางแผนล่วงหน้า เท่านั้นที่จะปกครองยุคสมัยนี้ได้
และเจ้าเป็นเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่ทำเช่นนั้นได้ ”
“…….”
ผมพยักหน้าเบาๆ
กลายเป็นพระสวามีของจักรพรรดินี
แต่หากดึงชาติอื่นมาเข้าร่วมไม่ได้ พวกเราก็สามารถใช้นักบุญหญิงคนไหนสักคนก็ได้
แม้โดยหลักการแล้ว ไม่อนุญาตให้นักบุญแต่งงาน แต่นั่นก็แค่การส่งทอดตำแหน่งนักบุญหญิง เราก็แค่ทำให้เธอเลิกเป็นนักบุญหญิงก็พอ
ทั้งทวีปมีแต่จะสนับสนุนการร่วมมือกันระหว่างนักบุญหญิงกับจอมมาร
เป็นการยืนยันอำนาจทางการเมืองมหาศาล
วิธีไหนจะสร้างความได้เปรียบมากกว่า ระหว่างการควบคุมจากในเงามืด หรือท่ามกลางแสงสี ?
ผมยังคงคิดถึงเรื่องนั้นต่อขณะนั่งอยู่บนหลังม้า …….
MANGA DISCUSSION