* * *
ผมหลับในห้องเดียวกันกับเดซี่เหมือนเช่นเคย
ผมยังคงนอนห้องเดียวกันกับเธอนับตั้งแต่ที่พาเธอมาอยู่ด้วย ผมบอกกับคนรอบข้างว่าเธอนั้นเป็นลูกสาวบุญธรรม ดังนั้นจึงไม่มีอะไรแปลกในเรื่องนั้น
เมื่อผมกลับมาหลังจากทำงานในช่วงกลางวัน มายังค่ายของเรา หรือห้องในโรงแรม เดซี่ก็มักจะนั่งอยู่บนเก้าอี้เพื่อทำการบ้าน การบ้านส่วนมากของเธอนั้นเป็นการบ้านที่เจเรมิมอบให้คือการเรียนการศึกษาภาษาจักรวรรดิโบราณ
“……อึก, ฮิก.”
บ่อยครั้งที่เธอจะแอบครางขึ้นมา นั่นเป็นช่วงเวลาที่ลุคใช้สไลม์จิ๋มกระป๋องเพื่อช่วยตัวเอง ความรู้สึกนั่นส่งผ่านมายังเดซี่ด้วย
แรงกระตุ้นทางเพศของเด็กชายในช่วงวัยรุ่นนั้นช่างเข้มข้นรุนแรง ดังนั้นเดซี่จึงได้แต่กลั้นเสียงครางอยู่ในห้องมุมห้อง สอง ไม่สิ มากกว่านั้นอาจจะสักห้าครั้งต่อวัน ช่างน่าโล่งใจเหลือเกินที่เธออยู่ในห้องตัวเอง
เธอก็มักจะไปหาที่ส่วนตัวเสมอยามที่ ลุคเริ่มช่วยตัวเองในขณะที่เดซี่เริ่มหน้าแดงขึ้น ลุคในวันนี้ก็เร่าร้อนเหมือนเช่นเคย ผมตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงครางเหมือนแมวหง่าวและเห็นเดซี่บิดตัวไปมาอยู่บนพื้นข้างเตียง
“ฮ่าาาา……อึก, ฮ่าา…….”
ผมสีดำสนิทของเด็กสาวนั้นสั่นไหวก่อนที่จะถอนใจออกมาเบาๆ ผมครึ่งลุกครึ่งตื่น หัวผมยังคงมึนงงเนื่องจากฝืนตื่นขึ้นมา
“นั่นใช่ครั้งที่หดแล้วใช่ไหมวันนี้? คึคึ ลุคนี่ช่างน่าประทับใจนัก พอมาคิดว่าอายุเท่านี้แต่ทำไปถึงหกครั้ง”
“……นี่มันครั้งที่ห้า อย่ามาเพิ่มจำนวนเองสิ มันน่ารังเกียจ”
เดซี่หันมามองผม
น้ำเสียงของเธอนั้นดุ แต่ไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อยเพราะดวงตาของเธอเปียกฉ่ำด้วยน้ำตา มันเป็นเรื่องสุดหรรษาสำหรับผม
“จะห้าหรือหกครั้ง ก็ยังเป็นจำนวนที่น่าทึ่งอยู่ดี ตอนข้าอายุเท่านั้นสามวันครั้งยังนับว่าเยอะด้วยซ้ำ อย่างที่คิดไว้จริงนั่นแหละ ตัวตนที่จะกลายเป็นฮีโร่นั้นมีแก่นแท้ที่ผิดกันจริงๆ ข้ากำลังพยายามปั้นว่าที่ฮีโร่ผู้หื่นกามอยู่นะ”
“ท่านนี่มันต่ำทรามที่สุด”
“ต่ำทรามอย่างนั้นรึ? ขอบคุณสำหรับคำชม โอ้ ใช่แล้วล่ะ ครั้งแรกของเขากับสไลม์ที่ลอกเลียนแบบสัมผัสกับน้องสาว สมแล้วจริงๆ คนละระดับกับเพื่อนๆในวัยเดียวกันจริงๆนั่นแหละ!”
ผมหัวเราะเยาะ
เดซี่คงโกรธจึงปาหมอนใส่ผม
ฮุ หมอนกระแทกเข้าหน้าผมอย่างแม่นยำ เสียใจด้วยนะ มันไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย ผมได้แต่หัวเราะให้ดังขึ้น
เดซี่ลุกขึ้นมาแล้วพุ่งใส่ผม เธอหยิบหมอนมาด้วยและเริ่มทุบทีผมด้วยหมอนในมือ
การเล่นตลกอย่างเด็กๆนั่นเป็นสิ่งที่เธอสามารถดิ้นรนทำได้ เธฮไม่อาจขว้างปาของหนักๆหรือของมีคมใส่ผม
หมอน หรือเจ้าก้อนฝ้าย หรืออาจจะเป็นหยดน้ำล่ะมั้ง? มีแค่เจ้าพวกนั้นแหละที่เดซี่สามารถซัดใส่ผมได้ ถ้าหากจะเรียกว่า ปาใส่น่ะนะ …… ตราทาสนี่ช่างเป็นสิ่งที่สะดวกโยธินเสียนี่กระไร
“ท่านดันทาเลี่ยน มีปัญหาแล้วค่ะ!”
เจเรมิเปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทีที่เร่งรีบ
เธอหันมามองผมก่อนจะนิ่งแข็งเป็นรูปปูนปั้น ผมกับเดซี่ต่างก็นิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึงไปเหมือนกัน
ผู้ใหญ่คนหนึ่งกำลังกลิ้งอยู่บนเตียงกับเด็กสาวอายุ 10 ปี ในชุดนอน คนอื่นเขาจะมองเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไรมันก็สะท้อนออกมาผ่านสีหน้าที่บูดบึ้งของเจเรมิเรียบร้อยแล้ว
“……อ้า ฝ่าบาทเป็นพวกประเภทนั้นจริงๆด้วย ฉันก็สงสัยมาสักพักแล้ว พอรู้อยู่หรอกว่า ท่านน่ะเป็นไอ้โรคจิตแต่ฉันไม่คิดว่า ท่านจะเป็นคนโรคจิตจำพวกนั้น”
“เอ๊ย เจเรมิ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร แต่ไม่ใช่นะเออ”
เจเรมิมองไปที่เดซี่
“เดซี่, เรื่องนั้นจริงหรือ?”
“อาจารย์คะ, หนูพูดเองมันออกจะหยาบโลนไปเสียหน่อย แต่”
เดซี่พูดต่อโดยตาไม่กระพริบ
“หากท่านพ่อสั่งอย่างนั้น หนูก็ไม่อาจขัดขืนได้”
ไหล่ซ้ายของเธอหดลงจนทำให้เสื้อผ้าไหลเลื่อนลงมาเมื่อเสี้ยววินาทีที่แล้ว!
แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เดซี่ก็แอบดึงเสื้อลงมา
เจเรมิพยักหน้าอย่างจริงจังก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตาที่เย็นชา
“ฝ่าบาทจอมมารใคร่เด็กคะ ท่านมีอะไรจะแก้ตัวไหม?”
“นะ-นังหมูตัวเมียแสนเย็นชานี่…….”
ผมแอบตัวสั่น พอทั้งอาจารย์และศิษย์ต่างเข้าขากันเป็นอย่างดี เคมีมันจะตรงกันเกินไปไหมเนี่ยห้ะ?
“ถึงปากเจ้าจะพูดว่า ฝ่าบาท แต่ท่าทางไม่เห็นแสดงความเคารพเลยซักนิด!”
ผมตะโกนพลางปาหมอนใส่เจเรมิแรงสุดกำลัง เจเรมิหลบหมอนอย่างง่ายดายทำให้ผมยิ่งหงุดหงิด
“นี่มันห้องนอนข้า ควรให้ความเคารพบ้างด้วยการเคาะหรือทำอะไรสักอย่างก่อนเข้ามา
ข้าแน่ใจได้ยังไงว่า เธอจะไม่เอาเหล็กแขวนหมวกนั่นมาใช้เป็นอาวุธสังหารข้าล่ะ!?”
“อ้า!”
จู่ๆเจเรมิก็ได้สติขึ้นมา
“ท่านดันทาเลี่ยน! เกิดปัญหาใหญ่แล้วค่ะ! ข้าถึงกับลืมเรื่องสำคัญไปชั่วขณะเพราะดันไปเห็นอะไรชั่วช้าลามกเข้า!”
“……ไอ้เรื่องความเข้าผิดไว้ไปแก้ทีหลังก็แล้วกัน
โอ้ คุณหญิงเจเรมิผู้สูงศักดิ์เอ๋ย มันมีเรื่องด่วนอะไรกันถึงขั้นต้องบุกห้องจอมมาร?”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเสียดสีประชดประชัน แต่เจเรมิตอบด้วยน้ำเสียงซีเรียส
“การฆ่าล้างกำลังจะ……ไม่ค่ะ มันเกิดขึ้นแล้วในปารีส!”
ผมจึงเดินออกไปโดยใช้เสื้อคลุมทับชุดนอน
ที่ที่พวกเราใช้หลับนอนนั้นเคยเป็นบ้านของคนรวย กองทหารรับจ้างและกลุ่มมือสังหารเข้ามาพักที่นี่หลังจากที่สามัญชนก่อความวุ่นวายและทำการแยกหัวกับร่างของคนรวยออกจากกัน
ผมที่เดินลงบันไดมาก็เห็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเราต่างมารวมตัวก่อนแล้ว บนโต๊ะนั้นมีแผนที่ทางการทหารและลูกแก้วเวทย์มนตร์ที่ใช้เพื่อรายงานสถานการณ์วางอยู่ที่ห้องลอบบี้ แจ็กเกอรี่ฟังรายงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดสลับกับพยักหน้า
“ทำได้ดีมากทุกคน ดูเหมือนปาร์ตี้ชุดนอนคงต้องพอก่อนแค่นี้”
ผมพูดขณะที่เร่งลงบันได คนแคระและเอลฟ์นั้นแสดงความเคารพผม ผมยกมือขวาขึ้นพร้อมบอกให้พวกเขาทำตัวตามสบาย
“ก่อนอื่นรายงานสถานการณ์ปัจจุบันมาก่อน ตามด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์ทีหลัง”
“ครับ ฝ่าบาท เมื่อราว 4 ชั่วโมงก่อน เกิดการกวาดล้าครั้งใหญ่ในย่านเขตเมืองของปารีส มันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ใดที่หนึ่งหากแต่เกิดทั่วทุกพื้นที่ของเมือง”
แจ็กเกอรี่พูดด้วยเสียงดังฟังชัด
“ฝูงชนทั้งหลายนำโดยเหล่าข้ารับใช้ของชนชั้นสูงและพวกเขาต่างปลุกระดมให้ประกาศผู้ทรยศที่หักหลังจักรพรรดิ
ในตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่า นายพลนักบุญองเดรได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีครั้งล่าสุด
ทั้งยังมีการประกาศต่อสาธารณะชนแล้วว่า บารอนคอร์นัตต้อน,ไว้ส์เค้าท์เทลีน และไว้ส์เค้าท์โรชฟูโคลตายแล้ว”
ผมถึงกับเอามือก่ายหน้าผาก
“ทั้งหมดนั่นมันคนของฝ่ายจักรพรรดินีโดวาเจอร์ไม่ใช่หรือไง?
มันไม่ใช่อุบัติเหตุจากการจราจลแล้ว
นั่นมันเป็นแผนการที่วางไว้ ว่าแต่พวกเจ้าเจอสาเหตุแล้วหรือยัง?”
“……พวกเราไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่”
แจ็กเกอรี่พูดอย่างระแวดระวัง
“ว่ากันว่า จักรพรรดิของฟรานเคียเป็นผู้สั่งการด้วยพระองค์เอง
พวกเราอนุมานว่า น่าจะเป็นพวกหัวรุนแรงของฝั่งนิยมกษัตริย์เองที่แอบทำกันเรื่องนี้กัน…….”
“นี่มันบ้าบออะไรอย่างนี้”
ผมถึงกับเอามือถูหน้า
บ้าบอ คำๆเดียวที่หลุดออกมาจากปากผม ผมอยากหาอะไรดื่มเพื่อกระตุ้นให้ความคิดเฉียบแหลมขึ้น
เวลานั้นเองที่เดซี่มาพร้อมกับถ้วยที่ทำจากเขาสัตว์ส่งให้ผม ถ้วยนั้นเต็มไปด้วยน้ำส้มสายชูองุ่น เดซี่ในชุดนอนนั้นยังคงฟังบทสนทนาของพวกเราอย่างเงียบๆ
ผมรับถ้วยมาแล้วกระดกมันลงไป รสเปรี้ยวของน้ำส้มสายชูแล่นปรี๊ดเปรี้ยวจี๊ดขึ้นสมอง
เอาล่ะ ผมเคลียร์หัวจนโล่งพอแล้ว
ดันทาเลี่ยนเอ๊ย มาดูกันดีกว่าว่า มันเกิดอะไรขึ้น
“ก่อนอื่นเลย พวกเราต้องคาดากรณ์ให้ได้ว่า การตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผลดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจากตัวจักรพรรดิเองหรือไม่
แจ็กเกอรี่ การฆ่าล้างในครั้งนี้นั้นมีบริททานี่มาเกี่ยวด้วยหรือเปล่า? หรือเป็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายนิยมกษัตริย์เพียงฝ่ายเดียว?”
“ครับ ฝ่าบาท ณ จุดนี้ ไม่พบผู้ก่อจราจลที่อยู่ในชุดเครื่องแบบทหารบริททานี่เลยครับ”
ว่าง่ายๆ บริททานี่อาจจะไม่เกี่ยวข้องหรืออย่างน้อยๆก็แค่เท่าที่เห็นตอนนี้…….
“แล้วเฮนริเอตต้าล่ะ? ราชินีคนนั้นอยู่ไหนกัน?”
“เฮนริเอตต้าและพวกกองทหารที่เหลือของบริททานี่นั้นพักอยู่ในป้อมปราการขอบเมืองหลวง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ยังไม่ได้ไปตรวจสอบเลยว่า ราชินีนั้นยังอยู่ที่ป้อมจริงหรือไม่”
กองกำลังบริททานี่นั้นได้เคลื่อนกองกำลังไปอยู่ที่ป้อมใกล้กับเมืองหลวงจักรวรรดิ ปารีส
“ตามที่เจ้าพูดมา ดูเผินๆก็เหมือนว่า ทั้งหมดเป็นฝีมือของจักรพรรดิและเหล่าพวกนิยมกษัตริย์ถูกไหม?”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นครับ ประชาชนชาวเมืองปารีสเอาแต่ตะโกนร้องว่าแบบนั้น”
“……แจ็กเกอรี่ นี่มันประหลาดเกินไปรู้ไหม”
“ยังไงนะครับ?”
ผมเคาะเท้าขวากับพื้นขณะพูด
“ในขณะที่อำนาจของจักรพรรดิอยู่ในจุดตกต่ำ แต่เขายังคงทำการกวาดล้างในช่วงเวลาแบบนี้น่ะรึ?
มันโง่เขลาเกินไปแล้ว การทำแบบนี้มันไม่ต่างจากการโยนก้อนเหล็กใส่ท้องเรือที่กำลังจม”
จักรพรรดิที่เริ่มกวาดล้างพวกนิยมสาธารณรัฐนิยมด้วยกองกำลัง เขาใช้กองกำลังของตนเองแทนที่จะยืมมือของพวกบริททานี่
นี่อาจเป็นข่าวดีของพวกนิยมกษัตริย์แต่แล้วฝ่ายสาธารณรัฐและฝ่ายอื่นๆล่ะ
“ประชาชนจะไม่เพียงแต่ต่อต้านจักรพรรดิเพียงเพราะพวกเขาอยู่ฝ่ายจักรพรรดินีโดวาเจอร์หรือฝ่ายสาธารณรัฐนิยมเท่านั้น
แต่ยังมีฝ่ายที่เป็นกลางอีกมากมายที่พยายามอดทนต่อการกระทำของจักรพรรดิ
แล้วพวกเขาจะมีท่าทียังไงล่ะ ในเมื่อเกิดการฆ่าล้างครั้งใหญ่เช่นนี้?”
พวกเขาก็ต้องรวมกลุ่มรวมพลังกันเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่ใช่แต่เพียงฝ่ายที่เป็นกลาง
แม้แต่พวกสาธารณรัฐนิยมเองก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจับอาวุธขึ้นสู้กับลอร์ดของตนที่คิดกวาดล้างประชาชนของตนอย่างโหดเหี้ยม
การกวาดล้างครั้งนี้ย่อมนำมาซึ่งกลุ่มต่อต้านจักรพรรดิ
มันไม่สำคัญแล้วว่า เฮนรี่ที่ 3 นั้นจะ……ไม่สุด เขามันเป็นไอ้ตัวโง่งมนับตั้งแต่ที่พึ่งพาของทัพต่างชาติแล้ว? ช่างหัวเขาดีกว่า
ปัญหาคือ ตัว เฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่ ผมไม่เชื่อหรอกว่า เธอน่ะจะเป็นแค่เพียงผู้เฝ้าดูเหตุการณ์นี้อยู่เฉยๆ
อย่างน้อยจักรพรรดินั้นก็น่าจะแจ้งให้ราชินีคนนั้นรู้ว่า จะมีการกวาดล้างเพื่อร่วมมือกัน
เฮนริเอตต้านั้นควรจะรู้ดีอยู่แล้วว่า ผลในทางลบของการกระทำนั้นมีอะไรบ้าง แต่ทำไมเธอถึงไม่หยุดเขาไว้ล่ะ? ทำไมกันนะ ทำไมกัน?……?
“ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่เข้าใจเลย”
ผมพึมพัมกับตัวเอง และรู้สึกว่า คนแคระและพวกเอลฟ์กำลังจับจ้องมองผมอยู่
“เป็นไปได้ไหมครับว่า จักรพรรดินั้นโง่ถึงขนาดที่ทำโดยไม่ยั้งคิด โดยไม่ปรึกษาราชินีคนนั้นก่อน?”
“……นี่น่ากลัวคือ ที่เจ้าพูดมันฟังดูสมเหตุสมผลน่ะสิ”
แจ็กเกอรี่ขมวดคิ้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางที่ราชินิจะสามารถส่งสายลับไปอยู่ข้างกายจักรพรรดิได้ เธอก็ควรจะรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วนี่ แล้วทำไมล่ะ ทำไมกัน?
เอาศัตรูมารวมไว้ด้วยกัน
…….ไม่ใช่แค่เพียงบัทตาเวียหากแต่เป็นชนชั้นสูงของฝ่ายจักรพรรดินีโดวาเจอร์ด้วย
…….อ๋อออ เป็นแบบนี้นี่เองรึ? ข้าเข้าใจแล้ว!
“สงครามกวาดล้าง แจ็กเกอรี่ ราชินีบริททานี่ตั้งเป้าไปที่สงครามกวาดล้าง”
“ขออภัยนะครับ ฝ่าบาท? สงครามกวาดล้างอะไรหรือครับ?”
คนรอบๆต่างมองผมด้วยแววตาที่สงสัย นี่ผมไปไวเกินไปสินะ?
ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้ยังไม่อาจระบุจำนวนของกลุ่มต่อต้านจักรพรรดิได้น่ะ แต่ถึงอย่างนั้น พอเกิดการกวาดล้างครั้งใหญ่ขึ้น ฝ่ายต่อต้านจักรพรรดิก็จะมารวมกำลังในทันที จึงเป็นการง่ายที่จะจัดกองกำลังทหาร 30,000 นาย”
ขุนนางระดับสูงต่างมาเรียงรายกันดั่งดวงดาวที่พร่างพราวอยู่บนท้องฟ้า ความแข็งแกร่งพวกเขาจะบดบังแสงของพวกขุนนางภาคเหนือที่เรียกกำลังเสริมของฝ่ายบัทตาเวียมาช่วย
“แล้วกลุ่มบัทตาเวียเองจะรับมือกับพวกนี้ได้ยังไงกันล่ะ?”
“…….”
แจ็กเกอรี่นิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนดวงตาจะเบิกกว้าง
“ฝ่าบาท อำนาจในการบัญชาการของพวกเขาจะถูกแบ่งออกไป!”
ผมพยักหน้าให้
“หากกลุ่มต่อต้านจักรพรรดิยังแยกตัวกันอยู่ บัทตาเวียก็สามารถรวมอำนาจการสั่งการไว้ในมือตัวเองได้”
ซึ่งตามปกติแล้ว กองกำลังที่เข้มแข็งที่สุดจะถือครองอำนาจการบัญชาการทหารทั้งหมด กองกำลังทหารของสาธารณรัฐบัทตาเวียนั้นใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับของลอร์ดทางเหนือของฟรานเคีย ดังนั้นพวกทหารบัทตาเวียจึงมีสิทธิสั่งการเองได้ทั้งหมด…….
“แต่ถึงอย่างนั้น กระแสดังกล่าวกลับแปรเปลี่ยนเมื่อชนชั้นสูงทางฝ่ายฟรานเคียเองสามารถรวมกลุ่มแล้วสร้างกองกำลังที่ใหญ่กว่าขึ้นมาได้”
สาธารณรัฐบัทตาเวียมีทหารรวม 22,000 นาย ส่วนฟรานเคียหากนับรวมชนชั้นสูงไปด้วยก็ราว 30,000 นาย
เมื่อเป็นดังนั้น……ฝ่ายฟรานเคียก็มีจำนวนมากกว่า!
บัทตาเวียก็ไม่อาจผูกคาดอำนาจการสั่งการได้อีกต่อไป
ไม่เพียงแต่ฟรานเคียจะดึงอำนาจการสั่งการไว้ในมืออย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ในสถานการณ์เช่นนี้…….
“ก็ยังต้องวางตัวผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งฝ่ายฟรานเคียและฝ่ายบัทตาเวียด้วยเช่นกัน!”
“มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ”
ผมเห็นด้วยกับเขา
ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ฝ่ายฟรานเคียเองไม่แค่ใช่เพียงฝ่ายนิยมสาธารณรัฐหากแต่ยังมีฝ่ายจักรพรรดินีโดวาเจอร์และฝ่ายเป็นกลาง
“ชนชั้นสูงพวกนั้นจะคอยระวังมิให้พวกบัทตาเวียน่ะมีอำนาจกองกำลังทหารมากเกินจำเป็น และพยายามที่จะทำอะไรด้วยตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความขัดแย้งภายในประเทศ โดยบริททานี่น่ะมีกองกำลังทหารแค่เพียง 10,000 นาย ”
ถึงจะนับรวมทหารรับจ้าง องค์รักษ์ของจักรพรรดิแล้วก็มีมากสุด 20,000 นาย
……. ในเมื่อมีจำนวนมากขนาดนั้น พวกชนชั้นสูงก็จะสามารถกวาดล้างอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องพึ่งพาบัทตาเวีย
พวกชนชั้นสูงฝ่ายจักรพรรดินีโดวาเจอร์ต้องคิดอย่างนี้แน่
แล้วราชินีเฮนริเอตต้าจะทำอะไรต่อหลังจากแบ่งแยกอำนาจการสั่งการของอีกฝ่ายได้แล้วล่ะ?
……สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ การรบในรูปแบบ นางตั้งใจที่จะกวาดล้างอีกฝ่ายให้หมดสิ้นภายในครั้งเดียว
ราชินีเฮนริเอตต้าเลือกใช้แผนที่บ้าบิ่นอย่างการกวาดล้างลอร์ดฝั่งเหนือของฟรานเคีย,ฝ่ายของจักรพรรดินีโดวาเจอร์ รวมถึงกองทัพบัทตาเวีย ที่มีกำลังรวมทั้งหมดถึง 50,000 นาย โดยเธอมีกองกำลังแค่ราว 20,000 เท่านั้น
เธอต้องมั่นใจในฝีมือตัวเองมากแน่ๆ
ผมหนาวไปถึงไขสันหลัง
การรวมกำลังฝ่ายตกและแบ่งแยกกองกำลังฝ่ายศัตรูเป็นกลศึกทางทหารขั้นพื้นฐาน
แต่ถึงอย่างนั้นราชินีเฮนริเอตต้ากลับทำตรงกันข้าม ให้ศัตรูเข้ามารวมกันให้หมด
เธอกำลังจะสร้างกองกำลังขนาดใหญ่ที่มีร่างกายมหึมาแต่มีหัวถึงสองหัว โดยแน่ใจว่า แม้กองกำลังของพวกเราจะมี 40,000 หรือ 50,000 นาย เธอก็สามารถโค่นได้หมด!
ส่งท้ายจากผู้เขียน
พอรู้ตัวอีกที DDก็ไปถึง ตอนที่ 200 แล้ว ต้องขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ให้กำลังใจผมด้วยนะครับ
ขอให้โชคดีมีความสุข ^^
MANGA DISCUSSION